[เปิด Netflix มารีวิว] Synchronic ยาหลอนทะลุมิติเวลา
สองนักกู้ชีพเพื่อนซี้ ได้พบเจอกับเหยื่อที่ประสบอุบัติเหตุแปลกประหลาด หลังจากสืบสาวราวเรื่อง พวกเขาพบว่าบรรดาเหยื่อกลุ่มนี้ได้เสพย์ยาที่มีชื่อว่า Synchronic เข้าไป เมื่อความจริงยิ่งชัดขึ้น ก็พบว่ายาดังกล่าวมีอานุภาพมากกว่าที่คาดคิด
อันที่จริงแล้ว Synchronic เป็นหนังที่ออกฉายไปตั้งแต่ปี 2020 แต่เพิ่งจะมาลงทางสตรีมมิ่ง Netflix เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของสองนักกู้ชีพอย่างสตีฟ (แอนโธนี แม็คกี้) และเดนนิส (เจมี่ ดอร์แนน) โดยทั้งคู่ถูกเรียกตัวไปรับเคสประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส บ้างก็ตกอยู่ในอาการช็อก บ้างก็อาการจวนเจียนตาย แม้ทั้งคู่จะเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นการเสพย์ยาเกินขนาดจนเกิดอาการหลอน แต่ความเป็นจริงมีอะไรมากกว่านั้น
หลังจากทั้งสองคนถูกเรียกไปรับเคสแปลกๆเหล่านี้ถี่มากขึ้น ประกอบกับลูกสาวของเดนนิสซึ่งเสพย์ยาดังกล่าวเข้าไป เกิดหายตัวอย่างลึกลับ สตีฟก็เริ่มสงสัยว่าจริงๆแล้วนี่อาจจะไม่ใช่แค่การเสพย์ยาเกินขนาด แต่เป็นไปได้ว่ามียาเสพย์ติดตัวใหม่ได้ออกระบาดในหมู่วัยรุ่นสายชอบทดลอง เมื่อสตีฟขับรถผ่านร้านที่ขายอุปกรณ์และเครื่องมือในการเสพย์กัญชา เขาจึงแวะลงไปถามพนักงานขายว่ามียาที่ชื่อ Synchronic ไหม และเขาก็พบว่ามียาดังกล่าวขายอยู่จริง สตีฟจึงเหมายาทั้งหมดมาไว้กับตัว จนกระทั่งมีชายแปลกหน้ามาขอซื้อยาจากเขาต่ออีกที
เหตุการณ์ไม่จบลงเท่านั้นเมื่อชายแปลกหน้าได้แอบเข้ามาในบ้านของสตีฟ และอ้างว่าเขาเป็นคนสร้างยา Synchronic ขึ้นมา แม้ว่ามันจะผิดกฎหมาย แต่ด้วยการดัดแปลงสูตร ฤทธิ์ยาที่ควรจะเป็นยาหลอนประสาทกลับทำให้คนเสพย์สามารถเดินทางข้ามกาลเวลาไปในอดีตได้ ณ จุดพื้นที่ดังกล่าว แต่ไม่สามารถระบุยุคสมัยได้ เป็นเวลา 7 นาที ดังนั้นสตีฟจึงทดลองใช้ยาดังกล่าวกับตัวเองเพื่อหวังว่า Synchronic อาจจะทำให้เขาออกตามหาลูกสาวของเดนนิสได้ทันเวลา
ความน่าสนใจของ Synchronic คือการเป็นหนังดราม่าที่หยิบเอาเรื่องราวไซไฟ มาเป็นองค์ประกอบ แม้จะไม่ได้มีฉากตื่นเต้นมากมาย แต่หนังจะพยายามพาคนดูไปทำความเข้าใจกับคนที่จวนเจียนใกล้ตายอย่างสตีฟ (เขาค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งในต่อมไพเนียล) เมื่อเวลาในชีวิตเหลืออีกไม่มาก สตีฟจึงกล้าเสี่ยงที่จะทดลองยาอันตรายกับตัวเอง เพื่อค้นหาคำตอบที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง และเดิมพันของเขาคือทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตของลูกสาวเพื่อน สามารถมีชีวิตกลับมาในยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างปลอดภัย
เอาเข้าจริงคนที่คาดหวังว่ามันจะเป็นหนังข้ามเวลาชวนตื่นเต้นคงจะแอบผิดหวัง แต่ถ้าใครมองหาหนังไซไฟ ดราม่าโทนหม่นๆชวนคิดตามไปเรื่อย ก็อาจจะชอบก็เป็นได้ครับ