คุยกับ "เวียร์ ศุกลวัฒน์" ผู้เป็น "จ่าแซม" ในภาพยนตร์ Thirteen Lives

ภาพยนตร์ที่หลายคนจับตามองอย่าง Thirteen Lives (สิบสามชีวิต) ที่เข้าฉายทางสตรีมมิ่ง Prime Video เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงระดับโลก ภารกิจช่วยเหลือทีมฟุตบอลไทย หมูป่า อะคาเดมี่ 13 คนที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ผ่านโปรดักชั่นฮอลลีวูด โดยผู้กำกับ รอน ฮาเวิร์ด ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์จริงอันน่าเหลือเชื่อผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ด้วยมุมกล้องที่ชวนลุ้นระทึก จากผลงานการกำกับภาพของ สยมภู มุกดีพร้อม (Call Me By Your Name) บทภาพยนตร์โดยนักเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ วิลเลียม นิโคลสัน (จาก Gladiator) เนื้อเรื่องโดย วิลเลียม นิโคลสัน และ ดอน แม็คเฟอร์สัน (จาก The Gunman)  นำแสดงโดย โคลิน ฟาร์เรล (Colin Farrel), วิกโก มอร์เทนเซน (Viggo Mortensen), โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน (Joel Edgerton) และ ทอม เบตแมน (Tom Bateman) โดยมีนักแสดงไทยที่ร่วมแสดงมากถึง 13 คน 

นักแสดงไทยหนึ่งในนั้นคือ เวียร์ ศุกลวัฒน์ นักแสดงมากฝีมือชาวไทย ที่ได้รับบทบาทเป็น จ่าแซม วีรบุรุษถ้ำหลวง ซึ่งงานนี้ Sanook.com มีโอกาสได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ เวียร์ แบบเจาะลึกการรับบทเป็นจ่าแซมและการทำงานในโปรดักชั่นระดับฮอลลีวูด และเรื่องราวหลังกองถ่ายแบบเอ็กคูลซีฟสุดๆ จะเป็นอย่างไป ไปติดตามบทสัมภาษณ์นี้กัน

Q: พูดถึงตัวละคร “จ่าแซม” ในเรื่องนี้ มีบทบาทสำคัญอย่างไรบ้าง

"ในภาพยนตร์ Thirteen Lives ผมรับบทเป็น จ่าแซม ครับ เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง จ่าแซม คือหนึ่งตัวละครที่มีชีวิตจริง ในเรื่องเป็นอดีตหน่วยซีลที่มา Volunteer เป็นอาสาสมัครเพื่อมาร่วมปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง  คาแรกเตอร์ที่คุยกันกับผู้กำกับ คุณรอน จริงๆ เราไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทางครอบครัวของจ่าแซม เราก็จะรู้คร่าวๆ จากสื่อ จากอะไร ว่าคุณสมาน หรือจ่าแซมเนี่ย เขาเป็นคนไนซ์ เป็นคนยิ้มอยู่ตลอดเวลา เป็นคนช่วยเหลือคนอื่น นี่จะเป็นบุคลิกที่เราได้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งในชีวิตจริงและภาพยนตร์ จะเห็นได้ว่า โอ้โห พร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง เหมือนเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ภารกิจนี้ ฉุกคิดว่า ตายได้นะ มันอันตราย และเวลามันก็ผ่านมาหลายวัน ทำให้การช่วยเหลือมันต้องตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำยังไง และก็ต้องรอบคอบ ด้วยจุดเปลี่ยนนั้นก็ทำให้ทุกอย่างรอบคอบขึ้น ทุกคนมีกำลังใจ ทุกคนเต็มที่กับการช่วยเหลือในภารกิจ สุดท้ายก็ เด็กๆ ก็ปลอดภัย"

Q: ครั้งแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นเรื่องนี้ รู้สึกยังไง ตัดสินใจนานไหม?

"ตอนแรกก็ตื่นเต้นครับ เพราะผมไม่ค่อยได้มีโอกาส ได้ทำงานโปรดักชั่นของฮอลลีวูด ที่ผ่านมาก็เคยมีแคส หนังฝรั่งบ้าง แต่รอบนี้มันเป็นอะไรที่ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แล้วเขาต้องการนักแสดงที่เป็นคนไทย จำนวนหนึ่ง อะไรอย่างงี้ แล้วเขาก็ส่งบทมา แล้วขอให้นักแสดงผมว่าเกือบทั้งประเทศเลยมั้ง เขาไปแคสในทุกๆ บทที่มีอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แล้วผมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนหลายๆ คน เรียกให้ไปแคสในบทของจ่าแซม จริงๆ ผมแคสหลายตัว สุดท้ายก็... เขาขอคอลแบ็คใช่ไหม เราก็ไม่รู้หรอกว่าได้หรือไม่ได้ ก็ไปเล่นให้เขาดูอีกรอบหนึ่งในบทที่เขาส่งมา ก็ตื่นเต้นครับ สุดท้ายก็สรุปว่าได้ ก็...โหย จริงเหรอ ก็ต้องเดินทาง พอต้องเดินทางก็ต้องเคลียร์ทุกอย่าง เพราะมันไปนาน อยู่เป็นเดือนๆ 2-3 เดือนอะไรอย่างงี้ โชคดีที่ช่วงนั้นโควิด-19 งานที่ประเทศไทยก็ชะงักหมดเนอะ เราก็เลยได้ไปทำงานที่นู่น"

 

Q: รู้สึกอย่างไรตอนที่ได้รู้ว่า ได้เล่นเป็น “จ่าแซม”

"หลังจากที่รู้ว่าได้รับบทจ่าแซม ผมก็คิดแล้วว่า ผมคงไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาแน่ๆ ผมก็คิดอีกทางหนึ่งว่า จริงๆ การทำงานในรูปแบบที่เรา ทำภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เอ๊ะ เราจำเป็นที่จะต้องเป็นเหมือนบุคคลนั้นจริงๆ ทั้งหมดเลยหรือเปล่า ผมก็เลยลองคุยถึงประเด็นนี้กับคุณรอน ฮาเวิร์ด เขาก็... มาผมกำลังอยากคุยกับคุณเวียร์อยู่พอดี ว่าเราจะสร้างตัวละครนี้ ในรูปแบบที่เป็นจ่าแซมที่เวียร์ต้องเล่นยังไงดี ซึ่งพื้นฐานที่เรารู้กันอยู่แล้วคือ ไนซ์ ใจดี แข็งแรง ยิ้มแย้ม พร้อมช่วยเหลือ Helpful ทุกอย่าง แล้วที่เหลือเราไปคุยกันหน้าเซ็ต แต่สิ่งที่เราพยายามจะทำออกมาให้ได้ดีที่สุด ในฉากที่จ่าแซมต้องเสียชีวิตในถ้ำ ระหว่างทำภารกิจ คือนำชุด Wetsuit ไปให้เด็กๆ เราก็คิดกันหลายตลบ ผ่านกระบวนการความคิดมานั่งคุยกันว่า มันต้องเป็นแบบนี้ๆ นะ แล้วผมก็เลยบอกว่า รอนครับ ผมเรียนดำน้ำมาเรียบร้อย คือพร้อมมาก อะไรแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมเล่นเองได้เลยนะ อะไรแบบนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เราใช้เวลาถ่ายทำนาน มากที่สุดในเซ็กชั่นของจ่าแซม"

Q: ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ รอน ฮาเวิร์ด มีความประทับใจอะไรบ้าง?

"จริงๆ ผมคิดแล้วแหละว่าเขาต้องเป็นคนไนซ์แน่ๆ เห็นหน้าก่อน ยังไม่ได้คุยนะครับ เห็นแค่ภาพ โห เวลาเขายิ้ม เวลาเขาอะไร จริงๆ เราเจอเขาตั้งแต่วันที่เขาขอคอลแบ็คแล้ว โห เขาไนซ์มาก เราเฝ้าคอยเลยที่จะได้ร่วมงานจริงๆ ออนเซ็ตกับเขา แล้วมันก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ คือเขาทำงานสนุก เรามีโอกาสได้แชร์ไอเดีย เรามีโอกาสได้มีส่วนร่วมในตัวละครที่เราเล่นเต็มร้อยเลย เพราะเขาก็ถือว่าเราต้องกำกับตัวเราเอง เพราะว่าเวียร์เป็นจ่าแซมนะ รอนดูแลภาพรวมทั้งหมด เรามาช่วยกันปรับขึ้นปรับลงในแต่ละเทคที่เราถ่ายกัน ทุกคนอาจจะคิด ถ่ายต้องเยอะมาก หลายเทค เป็นร้อย แต่ถ้าเขาได้ ปึ้บ! ได้เลย เราก็แบบยืนงงเลยนะคนไทย เฮ้ย จริงเหรอ ผ่านแล้วพี่ รอนให้กำลังใจพวกเราตลอด จะชมพวกเราตลอดถ้าเราทำดี มันมีบางอย่างที่ทีมเขาไม่รู้เหมือนเรา เช่น เรื่องของภาษาไทยที่เราใช้กัน ถ้าเราพูดผิดหรือเราพูดอะไร เขาฟังไม่ออก สอง วัฒนธรรมต่างๆ ที่มันควรจะเป็น วิธีการ แอคติ้งทั้งหมด คนไทยทำแบบนี้ใช่ไหม เวียร์เมื่อกี้พูดถูกแล้วใช่ไหม ผมก็..ถูกครับ แล้วก็จะมีทีมที่ดูเรื่องภาษา เขาจะชอบถามนักแสดงก่อนไง ว่าเราต้องพูดถูกด้วย และได้อารมณ์ด้วย เพราะเขาก็จะดูว่าเป็นอย่างงี้ๆ เพราะฉะนั้นเนี่ยเราโชคดีที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมตรงนี้ในภาพยนตร์ ซึ่งรอนเขาเปิดมาก เหมือนเราช่วยกัน"

Q: พูดถึงนักแสดงต่างชาติอย่าง โคลิน ฟาร์เรล และ วิกโก มอร์เทนเซน หน่อย

"เกร็งนะ จริงๆ มันมีฉากที่ผมได้เข้าไปคุย แต่ในภาพยนตร์มันไม่เห็น เบื้องหลังไม่รู้จะได้เห็นไหม หรือแม้กระทั่งในซีนที่เราอาจจะไม่ได้มีบทคุยกับ วิกโก หรือ โคลิน แต่ทุกครั้งที่เราไปกอง เขาก็จะแบบ น่ารัก "สวัสดีครับ" พูดไทย "สวัสดีครับ" เราก็สอนเขาไง เขาก็จะคอยเดินมาถามตลอดเวลา เขาไนซ์มากนะ แล้ววิธีการเล่นของเขา บางคัทอ่ะ บอกเลยว่าผมลืมตัวนะ พอถ่ายปุ๊บ Insert เขา ผมนั่งดู เหมือนเรานั่งดูหนังกลางแปลง เฮ้ย เขาเล่นกันแบบ ธรรมชาติ ก็ทำให้เราแบบ เออ นี่แหละที่เราอยากจะเห็น แม้กระทั่งโปรดักชั่นที่แบบ โอ้ว ทุกอย่างเซ็ตขึ้นมา โอ้ย ดีจังที่เราได้มาเห็น"

Q: ต้องไปถ่ายทำถึงต่างประเทศ การทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

"เซ็ตของเราอ่ะ 13 ชีวิตนะ ที่เป็นผู้ใหญ่ เหมือนติดถ้ำด้วยกันช่วงโควิด-19 เหมือนกันเลย 13 คน ผมเพิ่งมาเจอหลายๆ คนในโปรเจกต์นี้ เจมส์ (ธีรดนย์) ผมเพิ่งมาเจอเขาจริงๆ ในเรื่องนี้ พี่ตู่ (ภพธร) ตุ้ย (ธีรภัทร์) เราเพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องนี้ พลอย (ภัทรากร) ผมก็รู้สึกว่า เราจะเข้ากันได้ไหม อะไรงี้ ถ้าเข้ากันไม่ได้สองเดือนครึ่งนี่กร่อยเลยนะ สรุปก็คือมันเริ่มจากเรา Quarantine กักตัวกัน 14 วัน 15 วันที่นู่นไปถึงน่ะ มันก็เหงาไง เฮ้ย เราจะต้องคุยกันทุกวัน ไม่ก็สองวันครั้ง Zoom คุยกัน ร้องเพลง อะไรกับแบบนี้ มันก็เริ่มสนิทกัน แล้วพอยิ่งออกมาได้พักอยู่ที่เดียวกัน ต้องกินด้วยกัน มันจะไปไหนอ่ะ มันก็อยู่กันแค่นั้น เช่ารถไปเที่ยววันหยุดยาวด้วยกัน ไปทะเลอะไรงี้ มันทำให้เราเริ่มสนิทกัน ไม่รู้ว่าทีมเขาไปศึกษานิสัยใจคอกันมาก่อนจะเลือกเรามาเล่นไหมนะ 13 คนนี้เข้ากันได้ดี๊ดี สนุก ผู้ใหญ่ก็ช่วยทำกับข้าวให้เด็กๆ กิน เด็กๆ ก็พาผู้ใหญ่ไปช้อปปิ้ง"

Q: ตอนเกิดเหตุการณ์ถ้ำหลวง ติดตามข่าวยังไงบ้าง

"ค่อนข้างติดตาม ออกทุกที่เลย ทุกคนจะรู้ ทั่วโลกอ่ะ วันต่อวัน ดูจนแบบมันเริ่มนานก็ใจเสียนะ โห เริ่มมีแบบ ต่างชาติเข้ามา มีนักดำน้ำ จริงๆ เราสนใจเพราะเราดำน้ำ ว่าจะช่วยยังไง ก็ติดตามจนภารกิจมันแบบ สำเร็จ ปลอดภัย เราก็.. เออเฮ้ย ดีจัง ก็ยังรู้สึกเลยนะว่า เฮ้ย มันเป็นไปได้ไง ช่วงนั้น หรือ ทำไมมันถึงดังขนาดนี้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ มันไม่ได้เลือกเนอะว่าใครอาชีพอะไร เขาก็มากันเอง สมมติว่า เรามีความสามารถด้านนี้ เราสนุกที่ทำมัน เราอยากจะมาช่วย มันทำให้รู้สึกว่า การไม่เห็นแก่ตัว มันต้องมี พวกเราต้องมี ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าใครได้ชมนะ ดีจัง โลกนี้น่าอยู่เนาะ อยากใจดีกับทุกๆ คนในช่วงเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ อะไรที่เราช่วยกันได้ เล็กๆ น้อยๆ เรามีความสามารถที่คนอื่นไม่มี เราก็ใช้ตรงนั้น ไปเติมเต็มให้ตรงนั้น อะไรอย่างงี้ ผมว่า เจ๋งอ่ะ"

Q: ได้ร่วมงานกับทาง Prime Video เป็นอย่างไรบ้าง

"แจ๋วครับ โปรเจกต์แรกก็ได้ร่วมงานกับทาง Prime Video เลย รู้สึกโชคดีครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ใหญ่ๆ กับผู้กำกับระดับโลก กับนักแสดงฮอลลีวูด ทุกอย่างมันเพอร์เฟกต์ แล้วทุกคนก็ดู Prime Video เขาจัดมาให้แล้ว อยากจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ Prime Video เรื่อยๆ แต่ตอนนี้ครับ เรื่องนี้เลยที่เข้าฉายใน Prime Video นะครับ ก็ตื่นเต้นแทนทุกคนที่จะได้ดูเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเราเนอะ ทุกคนที่ช่วยเหลือกัน ทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ ทำให้สิ่งที่มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ด้วยการลงมือทำของมนุษย์ ที่ช่วยกันจริงๆ ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพราะว่าทุกคนทำในหน้าที่ที่ตัวเองถนัด แล้วมีใจที่อยากจะช่วยเหลือเด็ก แล้วตอนนี้ก็ออกมาเป็นภาพยนตร์ให้ได้ชมแล้ว ฝากด้วยครับ Thirteen Lives ใน Prime Video ครับ"