4 เหตุผลที่ทำให้คุณควรกลับไปดู Avatar อีกครั้งในโรงภาพยนตร์

4 เหตุผลที่ทำให้คุณควรกลับไปดู Avatar อีกครั้งในโรงภาพยนตร์

4 เหตุผลที่ทำให้คุณควรกลับไปดู Avatar อีกครั้งในโรงภาพยนตร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Avatar ถือเป็นหนังที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ในปี 2009 อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะนอกจากเรื่องเทคโนโลยีในการถ่ายทำที่ล้ำสมัยแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมาพร้อมกับความน่าตื่นตาตื่นใจในหลากหลายด้าน จนเราต้องงัด 4 เหตุผลว่าทำไมเราจึงควรกลับไปดู Avatar ในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง

 

แม้ว่าไม่กี่วันก่อนจะมีข่าวดราม่าสนั่นโซเชียลว่า บรรดาผู้ชมหลายคนในประเทศไทยเข้าใจผิดว่านี่คือการหลอกลวงผู้บริโภคในการเอาหนังเก่า กลับมาฉายใหม่ในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ความ “ไม่ดูตาม้าตาเรือ” ของผู้ชมและเอาแต่จะโทษแต่ฝ่ายโรงหนังอย่างเดียวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากตัวโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่มีการทำประชาสัมพันธ์นั้นก็มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่านี่คือ Avatar Re release (การนำกลับมาฉายซ้ำ)

การนำภาพยนตร์กลับมาฉายซ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ในวงการโรงภาพยนตร์ทั่วโลก โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบรรดาหนังบล็อกบัสเตอร์ หรือหนังคลาสสิก ในความทรงจำของผู้ชมได้หวนกลับมาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งไม่ว่าจะเป็น Jurassic Park ที่มีการปรับปรุงระบบภาพและเสียงใหม่ ไตรภาค The Godfather และที่ใกล้ตัวที่สุดคือแฟรนไชส์ Harry Potter ที่ไล่ฉายมาตั้งแต่ภาคแรกและตอนนี้ที่ยังฉายอยู่ในโรงคือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ดังนั้นเรื่องความ “ละเอียด” ในการซื้อตั๋วเข้าโรงภาพยนตร์ของผู้บริโภคก็ควรจะมีความละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะซื้อบัตรด้วยเช่นกัน (ไม่แน่ใจก็ควรถามพนักงาน เป็นต้น)

แล้วทำไมเราจึงจำเป็นที่ควรจะกลับไปดู Avatar อีกครั้งในโรงภาพยนตร์

 

1.ทวนความจำก่อนไปดูภาคต่อ

เนื่องจาก Avatar ภาคแรกนั้นเข้าฉายกันตั้งแต่ปี 2009 ถึงเวลานี้ปี 2022 ถือได้ว่าหนังได้ผ่านล่วงเลยมาถึง 13 ปีแล้ว ตัวผู้เขียนเองก็สารภาพว่าแอบลืมเรื่องราวในหนังภาคแรกอยู่เหมือนกัน สิ่งที่พอจะจดจำได้คือ มันเป็นเรื่องของโลกอนาคตในช่วงศตวรรษที่ 22 มนุษย์ต้องการจะครอบครองดาวเคราะห์ที่ชื่อแพนดอร่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ ทำให้พลทหารพิการอย่างเจค ซัลลี (แซม เวิร์ธธิงตัน) อาสาสมัครที่จะย้ายจิตของตัวเองไปในร่างกายของชนเผ่านาวีซึ่งเป็นประชากรพื้นเมืองของดาวแพนดอร่า

 

2.กลับไปเสพงานภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ

ในปี 2009 เป็นช่วงเวลาที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก เรียกได้ว่าตัวหนังเองได้เข้าฉายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฉายระบบดิจิทัล แบบดิจิทัล 3 มิติและ IMAX 3 มิติ ซึ่งด้วยความหลากหลายของรูปแบบการฉายนี้ ทำให้ผู้ชมเองเห็นความแตกต่างของแต่ละระบบอย่างชัดเจน จากกระแสปากต่อปากของผู้ชมที่ได้ชมในเวอร์ชั่น IMAX 3D อันเป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้คนที่ได้รับชมหนังในเวอร์ชั่นดิจิทัลธรรมดาแล้วอยากจะกลับไปสัมผัสความน่าตื่นตาตื่นใจของงานด้านภาพ ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว หนังในระบบสามมิติถือได้ว่าเป็นเทรนด์หนังที่กำลังฮิตสำหรับโรงภาพยนตร์ หนังฮอลลีวูดหลายเรื่องจึงพยายามทำหนังในรูปแบบของดิจิทัล 3 มิติออกมากันยกใหญ่ (แต่สำหรับผู้เขียนไม่ค่อยชอบหนังที่ต้องใส่แว่นสามมิติดูเพราะปวดตา) และในยุคสมัยนั้นการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ในรูปแบบ 3D มีราคาสูงกว่าราคาตั๋วปกติ (ถ้ายังจำได้โรงภาพยนตร์จะคิดค่าแว่นสามมิติเพิ่ม จนโรงหนังมีการขายแว่นสามมิติให้ผู้ชมซื้อไว้เป็นแว่นส่วนตัวเลยก็มี) แต่ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้คือการนำมาเข้าฉายใหม่ในระบบ 4K High Dynamic Range

 

3.เปรียบเทียบเทคโนโลยีด้านภาพที่ก้าวกระโดดในยุคปัจจุบัน

ด้วยเจตนาในการสร้างโลกของดาวแพนดอร่าออกมาให้มีความสมจริงมากที่สุด สำหรับเจมส์ คาเมรอน เคยได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องการจะทำหนังเรื่องนี้ให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์สำคัญนั่นคือการได้รับความรู้สึกเหมือนกับได้หลุดเข้าไปอยู่ในหนัง เฉกเช่นเดียวกันกับตัวละครอย่างเจค ที่ได้เรียนรู้โลกใบใหม่ของเขา ดังนั้นด้วยงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิกขั้นสูงที่เนียนตา จนทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นเป็นโลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้มีอยู่จริง จึงกลายเป็นประสบการณ์ใหม่ด้านภาพ ที่ผู้ชมไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อนในยุคสมัยนั้น

นอกเหนือไปจากนี้ผู้กำกับอย่างเจมส์ คาเมรอนเองยังพัฒนาเทคโนโลยีในการถ่ายทำร่วมไปกับการพัฒนางานภาพสามมิติ ทำให้ผู้ชมที่ได้ชมหนังเรื่อง Avatar ในโรงภาพยนตร์ควบคู่ไปกับแว่นสามมิติได้รับประสบการณ์ใหม่ ในแบบที่หนังสามมิติในห้วงเวลานั้นไม่สามารถทำได้

 

4.ปรับตัวให้ชินกับวัฒนธรรมของชาวนาวี

โปรดอย่าลืมว่าหนังเรื่อง Avatar คือการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา และมนุษย์ในหนังเรื่องนี้คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้าไปอยู่ในร่างของชาวนาวี ดังนั้น การเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวแพนดอร่า ไม่ว่าจะเป็นภาษา การดำรงชีวิต ล้วนแล้วแต่ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ควบคู่ไปกับการ การหยิบประเด็นเรื่องการรุกรานคนพื้นเมือง (มนุษย์บุกดาวแพนดอร่า) มาบอกเล่าใหม่ในฐานะหนังไซไฟ ผจญภัย อีกทั้งยังเป็นหนังที่ดูง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย บันเทิง และไม่ได้ยากเย็นต่อการทำความเข้าใจเรื่องราว

 

Avatar Re-Release เข้าฉายแล้วในโรงภาพยนตร์แล้ววันนี้ นี่คือปรากฏการณ์ภาพยนตร์ที่ไม่ควรจะพลาดไปสัมผัสในโรงอีกครั้ง ส่วน Avatar: The Way of Water ภาคต่อนั้นจะเข้าฉายในช่วงสิ้นปีนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook