Titanic กับ 25 ข้อเท็จจริง-เบื้องหลังที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
19 ธันวาคม 1997 ย้อนไปเมื่อ 25 ปีก่อน วันที่หนัง Titanic ได้เปิดตัวสู่สายตาชาวโลก ใครจะไปคิดได้ว่าเรื่องราวของเรือสำราญลำยักษ์ที่ชนภูเขาน้ำแข็งแล้วจมลงสู่ใต้พื้นมหาสมุทร จะมีใครกล้าหยิบมาสร้างเป็นหนัง เพราะเป็นเรื่องราวที่คนทั้งโลกต่างรู้จุดจบกันดีอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับ เจมส์ คาเมรอน ผู้นี้ ซึ่งกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างเสมอ ในวันนั้น คาเมรอนอยู่ในฐานะผู้กำกับฮอลลีวูดมาเกือบ 20 ปีแล้ว ด้วยเครดิตหนังอย่าง Aliens, Terminator 2 : Judgement Day และ True Lies ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาเมรอนมีอิทธิพลพอที่จะหว่านล้อมให้ 2 สตูดิโอใหญ่อย่าง พาราเมาท์ และ ฟอกซ์ ให้ยอมควักทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็นหนังที่ใช้ต้นทุนในการสร้างสูงที่สุดในโลกในวันนั้น แล้วคาเมรอนก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาไม่ทำให้ผิดหวัง
Titanic กลายเป็นหนังที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่มากมาย ทั้งด้านรายได้และรางวัล ด้วยตัวเลข 1,840 ล้านเหรียญ ทำให้Titanic เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุหลักพันล้านเหรียญและเป็นหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล มาเสียแชมป์ให้กับ Avatar (2009) หนังของ เจมส์ คาเมรอน เอง ไม่เพียงแค่นั้น หนังยังคว้าออสการ์มาได้มากถึง 11 สาขารางวัล ซึ่งรวมไปถึงรางวัลใหญ่อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ผู้กำกับยอดเยี่ยม กลายเป็นหนังที่คว้าออสการ์ได้มากที่สุดเทียบเท่ากับ Ben Hur (1959) นอกเหนือจากความสำเร็จมากมายดังที่กล่าวมา เรื่องราวเบื้องหลังของ Titanic ยังมีอะไรน่าสนใจสมควรหยิบมาเล่าต่ออีกมากมาย และนี่คือ 25 เกร็ดน่ารู้จาก Titanic
1. คู่รักสูงวัยที่นอนกอดกันบนเตียงขณะที่เรือกำลังจมนั้นอิงจากบุคคลจริง
ในตอนท้ายของเรื่องช่วงที่เรือกำลังจมนั้น เราได้เห็นภาพของสามี-ภรรยาสูงวัยนอนกอดกันอยู่บนเตียง ขณะที่น้ำกำลังไหลบ่าเข้ามาในห้องของพวกเขา 2 คนนี้อิงมาจากบุคคลจริงที่เป็นผู้โดยสารเรือไททานิค เขาและเธอมีนามว่า อิซิดอร์ และ ไอดา สเทราส์ เรื่องราวของทั้งคู่ที่กลายเป็นตำนานนั้นก็สะเทือนใจไม่แพ้เรื่องราวของแจ็คและโรส
อิซิดอร์และไอดานั้นแต่งงานกันมาแล้ว 40 ปี ด้วยความที่เป็นผู้สูงวัย พวกเขาเลยได้อภิสิทธิ์ให้ลงเรือชูชีพก่อนผู้โดยสารอื่น แต่อิซิดอร์กลับปฏิเสธ เขายืนกรานว่าขอให้ผู้หญิงและเด็กได้สิทธิ์นั้นก่อนเขา ซึ่งไอดาก็ปฏิเสธตาม เธอเลือกอยู่กับสามีบนเรือต่อ จนกระทั่งเรือชูชีพลำสุดท้ายแล่นออกไป บรรดาผู้รอดชีวิตมองเห็น อิซิดอร์และไอดานั่งกุมมือกันบนม้านั่งที่ดาดฟ้าเรือแล้วทั้งคู่ก็จมหายไปพร้อมกับเรือไททานิค
2. นิทานที่คุณแม่ชาวไอริชเล่าให้ลูกๆ ฟังคือเรื่อง Tír Na nÓg ดินแดนสุขาวดีในตำนานเคลติก
ในช่วงที่เรือใกล้จะจม เราได้เห็นภาพของบรรดาลูกเรือและผู้โดยสารหลายคนที่ยังติดค้างบนเรือ และรอคอยจุดจบที่กำลังมาถึงด้วยท่าทีแตกต่างกัน เราได้เห็นกัปตัน, ผู้ออกแบบเรือ, คู่สามีภรรยาสูงวัยในหัวข้อแรก และครอบครัวแม่ลูกชาวไอริช ที่กำลังปลอบประโลมลูกน้อยทั้งสองไม่ให้ตื่นตระหนกด้วยการเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งนิทานเรื่องที่เธอเล่าก็คือ “Tír na nÓg” เป็นเรื่องราวในตำนานเคลติก ที่กล่าวถึงดินแดนในอุดมคติ ที่นี่ความอ่อนเยาว์และความสวยจะเป็นนิรันดร์ และหนทางที่จะไปสู่ดินแดนนี้ได้ คือต้องใช้เส้นทางผ่านมหาสมุทรเท่านั้น
ในบทภาพยนตร์ดั้งเดิมนั้น ไม่ได้มีฉากนี้ แต่นักแสดงสมทบชาวไอริชรายหนึ่งได้เสนอแนะไอเดียถึงฉากนี้กับ เจมส์ คาเมรอน ซึ่งเขาก็เห็นชอบเพราะเนื้อหาในนิทานนั้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ขณะที่เรือจมได้เป็นอย่างดี เมื่อแม่ลูกที่กำลังจมไปพร้อมกับเรือ ก็เปรียบเสมือนครอบครัวนี้กำลังเดินทางไปยังดินแดน ที่ซึ่งพวกเขาจะมีความสุขด้วยกันตลอดไป
3. ภาพเหมือนของโรสที่แจ็คเขียนนั้น แท้จริงเป็นฝีมือของ เจมส์ คาเมรอน เอง
แม้ว่าหนัง Titanic จะยาวถึง 3 ชั่วโมง 14 นาที แต่กระนั้น หนังก็มีฉากที่น่าจดจำมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือฉากที่โรสยอมเปลือยกายเป็นแบบให้แจ็คเขียนภาพเหมือน และภาพสเก็ตช์ที่คนดูได้เห็นนั้นก็น่าทึ่งมาก คาดเดากันว่าทีมงานต้องว่าจ้างศิลปินตัวจริงให้มาเขียนภาพนี้ แต่แท้จริงทีมงานไม่ต้องไปจ้างใครที่ไหนเลย เพราะภาพสเก็ตช์ที่เราเห็นกันในหนังนั้นคือฝีมือของผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน นั่นเอง ในหนังนั้นเรายังเห็นอีกภาพหนึ่งด้วยที่รวมอยู่บนแผ่นกระดานสเก็ตช์ภาพของแจ็ค ซึ่งแจ็คเล่าว่าเป็นภาพของ “หญิงฝรั่งเศสผู้หนึ่ง” ภาพนั้นก็เป็นฝีมือของ เจมส์ คาเมรอน ด้วยเช่นกัน
แล้วในฉากที่แจ็คกำลังเขียนภาพโรสนั้น ฉากโคลสอัปมือที่กำลังเขียนภาพอยู่นั้นก็เป็นมือของคาเมรอนเองด้วย ต่างกันตรงที่ว่าตัวคาเมรอนนั้นเป็นคนถนัดซ้าย ส่วนแจ็คนั้นตามเรื่องราวแล้วเป็นคนถนัดขวา ซึ่งคาเมรอนก็ไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้หลุดรอดออกไป ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ ทีมงานก็กลับภาพโคลสอัปมือของเขาจากซ้ายเป็นขวาเสีย
ภาพ "โรส" ฝีมือ เจมส์ คาเมรอน นี้ถูกประมูลไปในปี 2010 ด้วยราคา 16,000 เหรียญ ประมาณ 500,000 บาท
4. ฉากที่โรสถ่มน้ำลายใส่หน้าคาลนั้น เคต วินสเล็ต ด้นสดขึ้นมาเองขณะถ่ายทำ
ช่วงต้นเรื่องมีฉากหนึ่ง ที่แจ็คสอนให้โรสถ่มน้ำลาย บอกว่า “นี่คือวิธีที่ผู้ชายแมนๆ เขาทำกัน” ซึ่งนั่นก็เป็นฉากที่ ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ ด้นสดขึ้นมาเองเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ดันเป็นฉากที่ เคต วินสเล็ต จดจำเอาไปใช้ได้เป็นอย่างดีเสียด้วย ในช่วงท้าย ตอนที่เรือใกล้จะจมแล้ว โรสเลือกที่จะแยกทางกับแม่และคาล คู่หมั้นของเธอ เพื่อจะไปตามหาแจ็ค ในขณะนั้นคาลรั้งไม่ให้โรสไปด้วยการคว้าแขนของเธอไว้ บทภาพยนตร์เขียนไว้ว่าในฉากนี้ โรสใช้ปิ่นปักผมขู่จะแทงคาลเพื่อให้เขาปล่อยมือเธอ แต่ เคต วินสเล็ต กลับเลือกวิธีการของเธอเอง ด้วยการถ่มน้ำลายใส่หน้าของคาลแทน ซึ่งก็เข้ากับเนื้อหาของหนังได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นวิธีการที่แจ็คสอนโรสมาว่า นี่คือวิธีที่ผู้ชายแมนๆ เขาทำกัน ในฉากนี้เราจะได้เห็นสีหน้าของ บิลลี่ เซน ผู้รับบทคาล แสดงออกถึงความตกใจและขยะแขยงที่โดนถ่มน้ำลายใส่ ซึ่งเป็นความรู้สึกจริงล้วนๆ เพราะเขาไม่รู้มาก่อนจริงๆ
5. น้ำที่ใช้ถ่ายทำในฉากลอยคอท้ายเรื่องนั้นเย็นจัดมาก จน เคต วินสเล็ต ป่วยเป็นไฮโปเธอร์เมีย
ฉากจบของเรื่องที่เป็นฉากที่ผู้ชมจะจดจำไปอีกยาวนานนั้น เราได้เห็นแจ็คและโรสลอยคอกันอยู่ในน้ำ ในฉากนี้โรสจะนอนอยู่บนแผ่นไม้กระดาน ภาพโคลสอัปใบหน้าแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังหนาวจัด จนปากคอสั่น ซึ่งนั่นเป็นการแสดงออกจริงที่วินสเล็ตกำลังรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ถึงกับมีข่าวลือกันว่า เพราะแสดงฉากนี้เลยทำให้วินสเล็ตต้องป่วยเป็นปอดบวม ซึ่งภายหลัง เคต วินสเล็ต ได้ออกมาแก้ข่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ The Late Night Show ซึ่งเธอได้อธิบายว่า เธอไม่ได้ป่วยรุนแรงอะไรขนาดนั้น น้ำในฉากนั้นเย็นจัดจริงและเธอแค่มีอาการ Hypothermia (ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ)
ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้ชมก็ยังสงสัยว่า แล้วทำไมทีมงานต้องปล่อยให้นักแสดงทนทรมานกันจนป่วยด้วย ทำไมไม่ใช้น้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่น แล้วให้วินสเล็ตและดิคาพริโอแสดงอาการหนาวเย็นกันแทน ซึ่งวินสเล็ตก็อธิบายว่า น้ำในแทงก์นั้นมีปริมาณมหาศาลมาก เป็นไปได้ยากที่จะปรับอุณหภูมิน้ำทั้งหมดได้
6. ภาพฟุตเทจซากเรือไททานิคที่จมอยู่ใต้น้ำนั้น เป็นฝีมือของ เจมส์ คาเมรอน ที่ดำลงไปถ่ายมาเอง
แรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ Titanic นี้มาจากตัว เจมส์ คาเมรอน เองที่รู้สึกหลงใหลกับซากเรือไททานิคที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร เขาได้พบกับ โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Robert Ballard) หัวหน้าทีมที่ค้นพบซากเรือไททานิค งานถ่ายทำเริ่มต้นกันในปี 1995 ในช่วงแรกนั้น คาเมรอนดำลงไปศึกษาซากเรือจริงด้วยตัวเอง มีการประเมินแล้วว่า เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาอยู่กับซากเรือไททานิค ยาวนานกว่าบรรดาผู้โดยสารของเรือไททานิคเมื่อปี 1912 จริงๆ เสียอีก คาเมรอนออกไปสำรวจซากเรือไททานิคก่อนถ่ายทำจริงทั้งหมด 12 ครั้ง แต่ละครั้งเขาใช้เวลาสำรวจซากเรือ 15-17 ชั่วโมง
คาเมรอนตั้งใจที่จะใส่ภาพซากเรือไททานิคจริงลงไปในหนังด้วย เพื่อเพิ่มความรู้สึกสมจริงให้กับหนัง เขาอยากจะสื่อให้ผู้ชมได้รับรู้ว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวดราม่าความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งแค่นั้น แต่มันเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดกับใครก็ได้ทุกคน และไม่ใช่ทุกคนจะสามารถรอดชีวิตไปได้
7. พรมที่เห็นในหนังนั้นทอโดยโรงงานเดิมที่ผลิตให้กับเรือไททานิคลำจริง
ไม่ใช่แค่พรมอย่างเดียวนะ แต่การก่อสร้างฉากภายในลำเรือนั้น ควบคุมการสร้างโดยทีมงานจาก The White Star Line เจ้าของเรือไททานิค เพราะ เจมส์ คาเมรอน ต้องการให้หนังออกมาตรงตามประวัติศาสตร์จริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขายืนยันว่าจะต้องใช้วอลเปเปอร์ โคมไฟระย้า หน้าต่างบานกระจกตะกั่ว (Lead Window) ให้เหมือนกับที่ใช้ในเรือไททานิคจริง ไม่แค่นั้น คาเมรอนยังละเอียดถึงขั้นที่เจาะจงให้ใช้ลายน้ำโลโก้ของ The White Star Line ประทับบนข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นภายในฉาก ต่อให้ไม่เห็นในหนังก็ตาม
คาเมรอนยังสั่งให้ทีมงานไปสืบหาบริษัทที่ทอพรมให้กับเรือไททานิคจริงจนเจอ ว่าเป็นผลงานของบริษัท BMK-Stoddard ในประเทศอังกฤษ แล้วขอให้บริษัทนี้ทอพรมลวดลายเดียวกับที่เคยทอให้กับเรือไททานิคจริง เพื่อมาใช้ในหนัง เราจะได้เห็นพรมผืนนี้ในฉากร้านทำผม ที่อยู่ใต้บันไดหลักของลำเรือ
8. เอาคำพูดของผู้ที่รอดชีวิตจริงมาใส่ในบทสนทนาในหนัง
ในบทสนทนาต่างๆ ในหนังนั้น เจมส์ คาเมรอน เอาหลายๆ คำที่ผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิคได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ มาสอดแทรกลงไปในบทสนทนาของตัวละครในหนัง ตัวอย่างเช่น บทสนทนาในฉากที่แจ็ครั้งไม่ให้โรสกระโดดลงจากเรือ แจ็คเล่าให้โรสฟังว่า ครั้งหนึ่งตอนที่เขาออกไปตกปลา แล้วเขาตกลงในน้ำที่เย็นจัด ความรู้สึกตอนนั้นมันอย่างกับ “ถูกแทงด้วยมีดนับพันเล่มไปทั่วร่าง” ประโยคนี้ละ ที่ยกมาจากบทสัมภาษณ์ของ ชาร์ล เฮอร์เบอร์ ไลต์โทลเลอร์ (Charles Herber Lightoller) ผู้ช่วยกัปตันของเรือไททานิค ที่เขาบรรยายความรู้สึกตอนตกลงในมหาสมุทรว่า “การตกลงไปในน้ำเย็นมันเหมือนกับมีดนับพันเล่มแทงเข้าสู่ร่างเขา ในช่วงขณะนั้นเขารู้สึกสูญเสียสติไปโดยสิ้นเชิง”
9. ฉากบันไดหลักในห้องโถงถูกน้ำพัดทำลายนั้น มีโอกาสถ่ายได้แค่ครั้งเดียว
ในห้องโถงของเรือนั้นมีบันไดหลักที่สร้างด้วยไม้ฉลุลายสวยงาม ซึ่งบันไดนี้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะของพรอปประกอบฉาก ไม่ได้มีความแข็งแรงแน่นหนาเสมือนบันไดที่ใช้งานจริง เหตุเพราะว่าจะมีการถ่ายทำฉากที่บันไดนี้ถูกน้ำพัดทำลาย และเพื่อให้ภาพที่สมจริง ทีมงานจึงใช้น้ำมากถึง 340,000 ลิตร เทเข้าสู่โถงบันไดนี้ แน่นอนว่าน้ำจำนวนมหาศาลขนาดนี้จะต้องทำลายบันไดได้แหลกลาญจริง จึงเป็นงานยากของทีมถ่ายทำที่จะต้องเก็บภาพนาทีสำคัญนี้ให้ได้ครบถ้วน ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด เพราะไม่มีโอกาสที่ 2 ให้แก้ตัว
10. ปล่องไฟที่ 4 ของเรือไททานิคไม่ได้เชื่อมต่อกับเตาหลอม จึงมีควันออกมาน้อยกว่าอีก 3 ปล่องแรก
นี่ก็เป็นเรื่องของความใส่ใจในทีมงานสร้างที่ไม่ปล่อยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้เล็ดลอดไป แม้คนดูจะไม่ได้รับรู้ไปด้วยก็ตาม อย่างในเรื่องของปล่องไฟเรือ ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 นั้น เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่นั้นมักจะมี 4 ปล่องควันขนาดใหญ่ จุดประสงค์เพื่อระบายความร้อนและควันไฟจากเตาหลอม แต่ระบบเดินเรือของไททานิคนั้นมีพัฒนาการที่ล้ำขึ้นมาหน่อย จึงใช้แค่ 3 ปล่องก็เพียงพอ แต่ด้วยเหตุที่เรือมีขนาดใหญ่มาก จึงยังคงสร้างให้มี 4 ปล่องเช่นเดิม เพื่อภาพลักษณ์ของเรือเมื่อมี 4 ปล่องแล้วจะดูยิ่งใหญ่น่าประทับใจ และดูสมดุลกับขนาดของเรือ แต่ใช้งานจริงๆ ก็แค่ 3 ปล่องเท่านั้น ส่วนปล่องที่ 4 ก็ต่อเข้ากับห้องครัว ด้วยเหตุนี้ปล่องที่ 4 จึงมีควันออกมาเพียงแค่น้อยนิด
11. เดิมที เจมส์ คาเมรอน ไม่ต้องการให้มีเพลงแบบมีเนื้อร้องประกอบในหนังเลย
ความตั้งใจดั้งเดิมของ เจมส์ คาเมรอน นั้น เขาไม่ได้ต้องการให้มีเพลงป๊อปที่มีเนื้อร้องใดๆ ประกอบในหนัง Titanic เลย แล้วก็ไม่ได้ต้องการให้หนังแบบมีเพลงด้วย ความต้งใจแรกเริ่มนั้น คาเมรอนทาบทาม Enya เจ้าแม่เพลงนิวเอจในยุค 90s ให้มาทำดนตรีประกอบให้กับหนัง แต่เธอตอบปฏิเสธ คาเมรอนเลยหันไปหา เจมส์ ฮอร์เนอร์ (James Horner) แทน ซึ่งฮอร์เนอร์เองก็เข้าใจจุดประสงค์ของคาเมรอนดี เขาก็เลยแอบทำโปรเจกต์ลับๆ กับ ซีลีน ดิออน (Celine Dion) ด้วยการบันทึกเพลง "My Heart Will Go On" ไว้ พอเพลงเสร็จ เขาจึงค่อยเอาไปนำเสนอกับคาเมรอน แล้วก็เป็นไปตามคาด ความไพเราะของบทเพลงสามารถเปลี่ยนใจคาเมรอนได้สำเร็จ ยอมให้ใช้เพลงนี้ในหนัง
ผลลัพธ์ก็อย่างที่เราทราบกันดี "My Heart Will Go On"กลายเป็นเพลงประจำตัวของ ซีลีน ดิออน และกลายเป็นภาพจำของหนัง Titanic ไปโดยปริยาย เมื่อใดที่เราได้ยินเสียงเพลงนี้ขึ้นมา เราก็จะนึกถึงหนัง Titanic ไปด้วย
12. ภาพดวงดาวบนท้องฟ้า ไม่ตรงตามความเป็นจริง คาเมรอนจึงแก้ฉากนี้ใหม่ในหนังเวอร์ชันปี 2012
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เจมส์ คาเมรอน ตั้งใจว่าจะต้องสร้างหนัง Titanic ให้ตรงตามประวัติศาสตร์จริงแบบเป๊ะๆ จะไม่ให้คนดูสังเกตเห็นข้อผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด แต่จนแล้วจนรอด ก็มีคนเจอจุดที่ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์เข้าจนได้ บุคคลผู้นี้คือ ดร.นีล เดอกราส ไทสัน ( Neil deGrasse Tyson) เขาเป็นนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ไทสันบอกกับคาเมรอนว่าภาพท้องฟ้าในฉากที่โรสนอนลอยคออยู่บนแผ่นกระดาน แล้วมองไปบนท้องฟ้านั้น ไม่ตรงตามความเป็นจริงในปี 1912 คาเมรอนรับฟังความเห็นของไทสันและยินยอมแก้ไขฉากนี้ โดยขอความร่วมมือจากไทสันให้ส่งภาพแผนที่ดวงดาวในปี 1912 มาให้เขา แล้วคาเมรอนก็แก้ไขฉากนี้ในหนังเวอร์ชันที่ออกฉายอีกครั้งเมื่อปี 2012
13. เรือไททานิคจมเมื่อเวลา 02:20 น. ในฉากที่เรือกำลังจม มองเห็นนาฬิกาเข็มบอกเวลา 02:15 น.
เป็นอีกจุดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของทีมงาน ในเหตุการณ์จริงนั้น เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งเมื่อเวลา 23:40 น. และจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเมื่อเวลา 02:20 น. รวมเวลาแล้ว 2 ชั่วโมง 40 นาที ในหนังก็ได้แสดงให้เห็นถึงเวลาที่เรือจมด้วย เมื่อความวุ่นวายบนเรือเริ่มสงบลง น้ำเริ่มไหลเข้าทั่วลำเรือ มีช็อตหนึ่งถ่ายให้เห็นนาฬิกาเรือนใหญ่ บอกเวลา 02:15 น. แสดงให้เห็นว่าอีก 5 นาทีจากนี้ เรือก็จะจมดิ่งสู่ใต้ท้องทะเล ปรบมือให้กับความเป๊ะของทีมงานจริงๆ
14. ฉากเด็กชายเล่นลูกข่างบนเรือนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายจริงบนเรือไททานิค
ในฉากที่ แจ็ค ดอว์สัน แอบดอดเข้าไปในบริเวณของผู้โดยสารระดับเฟิสต์คลาสนั้น จะเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังเล่นลูกข่างอยู่ ฉากนี้จำลองมาจากภาพนิ่งที่ถ่ายโดย ฟรานซิส บราวน์ พระในนิกายโรมันคาทอลิกรูปหนึ่ง ถ่ายเมื่อวันที่ 11 เมษายน 1912 ในภาพนี้จะเห็นเด็กชายวัย 6 ขวบ นามว่า โรเบิร์ต ดักลาส สเปดเดน กำลังเล่นลูกข่างอยู่ โดยมีพ่อของเขาและผู้โดยสารคนอื่นๆ ยืนมองอยู่รอบๆ
หลังเรือจม เด็กชายโรเบิร์ตและพ่อของเขารอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่หนูน้อยโรเบิร์ตมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอื่น หลังจากนั้นไม่นาน ส่วน ฟรานซิส บราวน์ ผู้บันทึกภาพก็โชคดีที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะเขาและผู้โดยสารอีก 7 คน ลงจากเรือไททานิคที่ท่าเรือเมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในวันเดียวกับที่ถ่ายภาพนี้
15. พ่อครัวที่เห็นในหนังก็อ้างอิงมาจากบุคคลจริงที่รอดชีวิต
พ่อครัวผู้นี้มีนามว่า ชาร์ล จอห์น จอกิน (Charles John Joughin) เขาเป็นพ่อครัวชาวอังกฤษ-อเมริกัน เราจะได้เห็นเขาในฉากที่เรือกำลังจม จอกินจะเกาะอยู่บนราวกันตกใกล้ๆ กับ แจ็คและโรส แล้วก็กระดกเหล้าจากกระติกโลหะ จอกินถูกจดจำในฐานะลูกเรือคนสุดท้ายที่ออกจากลำเรือได้ทันก่อนเรือจม ในเหตุการณ์จริงเขาก็ทำแบบที่เห็นในหนัง คือเกาะอยู่กับราวกันตก รอจนเรือจมมิดแล้วก็ผละออกจากเรือมา เขาลอยคออยู่ในน้ำเย็นกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังรอดมาได้ จอกินบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นเลย อาจจะเป็นผลจากแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไปเยอะ
16.รถเรโนลต์ที่เห็นในหนังก็อยู่บนเรือไททานิคจริง
ในตอนต้นเรื่อง เราได้เห็นรถยนต์สีเลือดหมูถูกยกขึ้นไปบนเรือไททานิค รถคันที่เห็นนั่นคือ Renault Type CB Coupe de Ville ปี 1912 เราได้เห็นรถยนต์คันนี้อีกครั้งในฉากโรแมนติกของแจ็คกับโรส ตามเอกสารของทางคาร์โก ได้ยืนยันว่ามีรถยนต์เรโนลต์คันดังกล่าวอยู่ในพื้นที่จัดเก็บสัมภาระของลำเรือด้วยจริง
รถเรโนลต์คันนี้เป็นของมหาเศรษฐีชาวอเมริกันนามว่า วิลเลียม คาร์เตอร์ แห่งเมือง บริน มอวร์ รัฐเพนซิลวาเนีย เขาพาครอบครัวไปเที่ยวยุโรป และซื้อรถคันนี้กลับมาด้วย, วิลเลียม คาร์เตอร์ เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาเรียกร้องค่าเสียหายจาก White Star Line ตามมูลค่าจริงของรถคันนี้ที่ 5,000 เหรียญ ถ้าตีเป็นมูลค่าเงินในวันนี้ก็ประมาณ 130,000 เหรียญ
ในปี 1985 โรเบิร์ต บัลลาร์ด ค้นพบซากเรือไททานิค เหล่านักกู้สมบัติให้ความสนใจในรถคันนี้มาก แต่ก็ยังหาซากรถไม่พบ เพราะถ้าพวกเขากู้รถเรโนลต์คันนี้ขึ้นมาได้ มันจะมีมูลค่านับล้านเหรียญในการประมูล เพราะตัวอย่างแค่เมนูอาหารจากซากเรือไททานิคยังมีมูลค่าสูงถึง 25,000 – 35,000 เหรียญ เลยเชียว
17. มีดพกที่ฟาบริซิโอได้มาจากการเล่นไพ่ ถูกใช้ตัดเชือกผูกเรือชูชีพ
ยังคงเป็นเรื่องความละเอียดของทีมงาน โดยไม่สนว่าคนดูจะสังเกตเห็นหรือไม่ แจ็คและฟาบริซิโอเพื่อนรักของเขา เล่นไพ่แล้วชนะได้ของรางวัลเดิมพันมาเป็นมีดพก เงินสดจำนวนหนึ่ง นาฬิกาพก และตั๋วขึ้นเรือไททานิค ในฉากนี้นาฬิกาพกบอกเวลา 11:53 น. ซึ่งตามกำหนดการจริงนั้น เรือไททานิคออกจากท่าเวลา 12:00 น. ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบไปขึ้นเรือให้ทัน
ภายหลัง ในฉากที่เรือชนภูเขาน้ำแข็งแล้ว เราได้เห็นฟาบริซิโอพยายามเอาชีวิตรอด ด้วยการใช้มีดพกตัดเชือกที่ผูกเรือชูชีพ ซึ่งเป็นมีดพกเล่มเดียวกันที่เขาเล่นไพ่ชนะแล้วได้มา
18. แจ็คสัญญากับโรสว่าจะพาเธอไปขี่ม้าที่ซานตาโมนิกา แม้แจ็คจะไม่รอดชีวิต แต่เราได้เห็นภาพโรสขี่ม้าที่ท่าเรือซานตาโมนิกา
ในช่วงต้นเรื่อง หลังจากที่แจ็คพบกับโรสได้ไม่นาน เขาให้สัญญากับเธอว่า จะพาเธอไปเที่ยวที่ท่าเรือซานตาโมนิกา และที่นั่นเธอจะต้องพบกับความสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาจะพาเธอไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกา พาไปขี่ม้าริมหาดทราย
ตรงนี้ล่ะ เป็นจุดหนึ่งที่คลาดเคลื่อนจากประวัติศาสตร์จริงอยู่เล็กน้อย ตรงที่รถไฟเหาะตีลังกาในสวนสนุก ริมชายหาดซานตาโมนิกานั้น สร้างเสร็จหลังเรือไททานิคจมไปแล้ว แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ในช่วงท้ายของเรื่อง ตอนที่โรสในวัยชรา ได้โชว์ภาพสมัยเธอยังสาวให้ดู เป็นภาพเธอกำลังขี่ม้าอยู่บนชายหาด ในด้านหลังมองเห็นท่าเรือซานตาโมนิกาที่เธอได้ไปในที่ที่แจ็คเคยสัญญาว่าจะพาเธอไป
19. หมาของโรสเป็นพันธุ์พอเมอเรเนียน เป็นพันธุ์ที่รอดชีวิตจากเรือไททานิคจริง
ในฉากที่โรสในวัยชราปรากฏตัวนั้น เธออุ้มหมาพันธุ์พอเมอเรเนียนสีขาว แม้ว่าโรสจะเป็นตัวละครสมมติ แต่การที่เลือกหมาสายพันธุ์นี้นั้น เป็นความตั้งใจของ เจมส์ คาเมรอน ที่ต้องการสดุดีให้กับหมาจริงที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เรือไททานิคล่ม เพราะตามเหตุการณ์จริงมีหมา 3 ตัวรอดชีวิต และ 2 ใน 3 เป็นหมาพันธุ์พอเมอเรเนียน ในขณะที่เรือไททานิคกำลังจมนั้น ผู้คนได้ช่วยกันปล่อยหมาออกจากกรงขัง ซึ่งคาเมรอนเองก็ได้ถ่ายทำฉากนี้ด้วย แต่สุดท้ายก็โดนตัดออกไป
20. เคต วินสเล็ต เกือบจมน้ำเพราะเสื้อโค้ตของเธอเกี่ยวติดกับประตูในฉากหนีตาย
นักแสดงหลายคนต่างก็เคยประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝันในระหว่างถ่ายทำ เคต วินสเล็ต เองก็ประสบอุบัติเหตุเกือบจมน้ำเช่นกันในระหว่างถ่ายทำ Titanic ในฉากที่แจ็คกับโรสกำลังวิ่งหนีคลื่นน้ำในที่พัดมาตามทางเดินนั้น ทั้งคู่ถูกคลื่นซัดไปติดประตูเลื่อน ตอนนี้เองเสื้อโค้ตตัวใหญ่ที่วินสเล็ตสวมอยู่นั้น มีบางส่วนไปเกี่ยวติดกับประตูเลื่อน ซึ่งปริมาณน้ำที่ใช้ในการถ่ายทำฉากนี้ก็เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาเธอเกือบจมน้ำจริง แต่เดชะบุญที่เธอสามารถดึงเสื้อหลุดออกจากประตูได้สำเร็จ
เคต วินสเล็ต บอกว่าแม้ว่าเธอเกือบจะเจออุบัติเหตุในฉากนี้จนต้องจมน้ำจริงๆ แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น เพราะเธอไม่อยากให้ตัวเองดูเป็นนักแสดงที่จู้จี้มากเรื่อง ขณะเดียวกัน เจมส์ คาเมรอน ก็ยืนยันกับสื่อว่าตลอดการถ่ายทำ เคต วินสเล็ต ไม่เคยประสบเหตุรุนแรงใดๆ
21. แผ่นไม้กระดานที่โรสขึ้นไปนอนหลังเรือจมนั้น อ้างอิงจากเศษซากจริงจากเรือไททานิค
ฉากที่เป็นเรื่องโต้แย้งกันมายาวนาน คือฉากที่โรสขึ้นไปนอนบนแผ่นไม้กระดานคนเดียว แล้วปล่อยให้แจ็คเกาะขอบกระดานส่วนตัวนั้นแช่อยู่ในน้ำจนสภาพร่างกายรับอากาศเย็นไม่ไหว ทั้งที่ผู้ชมพิจารณาแล้วว่าขนาดของแผ่นกระดานนั้นน่าจะพอให้ขึ้นไปนอนได้ทั้งคู่ แต่ประเด็นหลักในหัวข้อนี้ก็คือ แผ่นกระดานดังกล่าวนั้นเป็นแผ่นไม้ที่ลาดลายฉลุสวยงามนั้น อ้างอิงมาจากเศษซากปรักหักพังส่วนหนึ่งจากเรือไททานิค ที่ปัจจุบันแสดงโชว์ไว้ในพิพิธภัณฑ์การเดินเรือแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก แฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา
22. ในฉากดินเนอร์นั้น มีการเสิร์ฟไข่ปลาคาเวียร์ เบลูกา กันจริงๆ
แม้ว่าทีมงานสร้างฉากจะช่วยกันประหยัดงบต้นทุนด้วยการสร้างฉากเรือแค่ครึ่งลำ แต่บางฉากทีมงานก็ยอมทุ่มทุนกันจริงๆ อย่างเช่นในฉากอาหารค่ำที่แจ็คกับโรสได้ไปร่วมนั่งโต๊ะอาหารในชั้นเฟิสต์คลาส ในฉากนี้ก็มีไข่ปลาคาเวียร์เสิร์ฟให้เห็นกันด้วย เพื่อแสดงให้เห็นชีวิตอันหรูหราของลูกค้าระดับมหาเศรษฐี ทีมงานจึงเลือกใช้ไข่ปลาคาเวียร์ของจริงเสิร์ฟในฉากนี้ และเป็นไข่ปลาคาเวียร์เบลูกา เกรดที่แพงที่สุดของคาเวียร์ ราคาขายอยู่ที่ 3,500 เหรียญ – 5,000 เหรียญ ต่อปอนด์ ใน Shopee ขายอยู่ที่ตลับ 20 กรัม ราคา 3,885 บาท
23. ฉากที่เรือไททานิคออกจากท่าเทียบเรือนั้น ทีมงานถ่ายทำแบบกลับซ้ายไปขวา
แม้ว่าหนังจะใช้ทุนสร้างมหาศาลถึง 200 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเพียงพอที่จะสร้างทุกอย่างในฉากขึ้นตามจริงได้ครบถ้วน อย่างฉากที่ต้องเห็นเรือไททานิคนั้น ทีมงานก็สร้างแค่ด้านขวาของเรือมาครึ่งเดียว เหตุผลคือโลเคชันที่ถ่ายทำหลักนั้น ลมจะพัดจากหน้าเรือไปหลังเรือ ควันจากปล่องก็จะลอยไปทางด้านท้ายเรือ ทำให้รู้สึกว่าเรือกำลังมุ่งหน้าไปอยู่เสมอ
แต่ปัญหามาอยู่ที่ฉากที่เรือออกจากท่าในเซาท์แธมป์ทัน เพราะตามเหตุการณ์จริงนั้น ไททานิคหันกราบซ้ายเข้าเทียบท่า ทีมงานก็เลยแก้ปัญหาด้วยการถ่ายทำแบบกลับซ้ายเป็นขวาทั้งหมด ถ้าบทภาพยนตร์เขียนว่าตัวละครคนนี้ต้องเดินไปทางซ้าย ก็ให้เดินไปทางขวาแทน แล้วนำมากลับด้านอีกครั้งในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ
24. แจ็คเล่าให้โรสฟังว่าเขาไปเคยไปตกปลาตอนเด็กๆ ที่ทะเลสาบวิสโซทา แต่ทะเลสาบนี้เกิดขึ้นหลังเรือไททานิคล่ม
อย่างที่กล่าวไป เจมส์ คาเมรอน ตั้งใจมากในเรื่องการรักษาความถูกต้องของหนัง Titanic ให้ตรงตามประวัติศาสตร์ให้มากที่สุด แต่กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่มีผลต่อเนื้อหา อารมณ์ของหนัง อย่างในตอนที่แจ็คเล่าให้โรสฟังว่า ตอนเป็นเด็กนั้น พ่อพาเขาไปตกปลาที่ทะเลสาบวิสโซทา ในรัฐวิสคอนซิน แต่ความเป็นจริงแล้ว ทะเลสาบวิสโซทานั้นถือกำเนิดขึ้นในปี 1917 หลังจากการสร้างเขื่อนในบริเวณนั้น แต่เหตุการณ์ในหนังนั้นเกิดขึ้นในปี 1912 ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีทะเลสาบวิสโซทาตามที่แจ็คกล่าวถึงแต่อย่างใด
25. มาดอนนา คือตัวเลือกแรกในบท "โรส"
เหตุเพราะหนัง "Evita" 1996 ที่มาดอนนาโชว์ฝีมือทั้งแสดงและร้องในบทบาท เอวิตา เปรอง ได้อย่างน่าประทับใจ จนส่งให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงไปครองได้สำเร็จ แต่ในวันนั้น เจมส์ คาเมรอน ก็ยังมีตัวเลือกในใจอีกหลายคนอย่างเช่น นิโคล คิดแมน, โจดี ฟอสเตอร์, คาเมรอน ดิแอซ, ชารอน สโตน และ กวินเน็ธ พัลโธรว์ แต่รายที่ต้องการบท โรส อย่างที่สุด ก็หนีไม่พ้น เคต วินสเล็ต นักแสดงวัย 19 ปี ในวันนั้น
“ฉันอ่านบทจบทั้งน้ำตา แล้วฉันก็พูดกับตัวเองว่า "ใช่ละ ฉันต้องได้บทนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว"
จากนั้นเธอก็โทรติดต่อกับทีมงานอยู่ 2-3 ครั้ง จนในที่สุด ทีมงานก็ต่อสายให้เธอได้คุยกับ เจมส์ คาเมรอน ซึ่งขณะนั้นเขากำลังขับรถอยู่ด้วย
"ฉันคิดว่าเขาจอดรถเพื่อคุยกับฉันเลยนะ ฉันก็รีบบอกเขาไปเลยว่า "ฉันต้องได้บทนี้ ถ้าคุณไม่เลือกฉันก็บ้าแล้ว"
เคต วินสเล็ต ยังไม่หยุดแค่นั้น เธอส่งดอกกุหลาบช่อใหญ่ไปให้ เจมส์ คาเมรอน ในสารคดีเบื้องหลังที่แถมมาในดีวีดี คาเมรอนเล่าให้ฟังว่า เขาได้รับของขวัญเซอร์ไพรส์จาก เคต วินสเล็ต "มันคือดอกกุหลาบ! ดอกกุหลาบเพื่อบทโรสไง!" แล้วก็ยังมีโน้ตแนบมาด้วยเขียนว่า "ฉันพร้อมแล้ว"
แม้จะเป็นความพยายามหว่านล้อมอย่างที่สุด แต่ในที่สุด เคต วินสเล็ต ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เธอไม่ได้ทำให้คาเมรอนผิดหวังจริงๆ
อัลบั้มภาพ 24 ภาพ