ซงฮเยคโย ผู้กำกับและนักเขียนบท The Glory คุยถึงฉากที่ประทับใจและไม่มีวันลืม
แฟนๆ ซีรีส์ The Glory ถามคำถามที่น่าสนใจถึงการถ่ายทำฉากต่างๆ ที่น่าประทับใจและไม่มีวันลืม ในงาน The Glory Fan Event เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา
งานแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็น ซงฮเยคโย นักแสดงนำ, อันกิลโฮ ผู้กำกับ และ คิมอึนซุก นักเขียนบท ในช่วงที่สองจะเป็นนักแสดงอื่นๆ ทั้ง อิมจียอน จองซองอิล ชาจูยอง คิมกอนอู ที่มาร่วมพูดคุยตอบคำแถามแฟนๆ ด้วยกัน
Sanook นำบทสัมภาษณ์ในช่วงแรกมาให้แฟนๆ The Glory ได้อ่านกันก่อน ทั้งซงฮเยคโย ผู้กำกับและนักเขียนบท ร่วมพูดคุยตอบคำถามจากแฟนคลับอย่างเป็นกันเอง มีคำถามที่น่าสนใจทั้งการเขียนบทที่มีที่มาที่ไปอย่างไร ฉากที่ถ่ายทำอย่างทุ่มเทมากที่สุด ฉากและบทพูดที่น่าประทับใจจนไม่มีวันลืม
ฉากที่ทุ่มเทในการถ่ายทำมากที่สุด
ผู้กำกับอันกิลโฮ: ในซีรีส์เรื่องนี้ ผมใส่ใจกับการผลัดเปลี่ยนของฤดูกาลต่างๆ มากเป็นพิเศษ รวมถึงติดตามดูอารมณ์ของแต่ละตัวละครอย่างใกล้ชิด ผมพยายามตั้งใจใส่รายละเอียดต่างๆ ให้เห็นถึงการผลัดเปลี่ยนฤดูกาลแต่ละฤดูอย่างมากผ่านสีสันต่างๆ และฉากที่เผยให้เห็นรอยแผลบนตัวดงอึน ทุกครั้งที่ถ่ายทำฉากเหล่านี้ผมจะตั้งใจให้สื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนมากที่สุดครับ
หลังจบพาร์ทแรก แฟนๆ ต่างพูดคุย วิเคราะห์ตัวละคร และตั้งข้อสันนิษฐานต่อเนื้อเรื่องต่างๆ ทุกคนได้อ่านกันบ้างไหม และมีคอมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่าพูดได้ตรงประเด็นสุดๆ บ้างไหม
นักเขียนบทคิมอึนซุก: ฉันเห็นคอมเมนต์ที่บอกว่า นี่คือการต่อสู้ของคนที่เชื่อในพระเจ้า และคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า จริงๆ แล้วประเด็นนี้เป็นไอเดียหลักที่วางเป็นรากฐานของเนื้อเรื่องทั้งหมดเลยล่ะค่ะ ฉันเลยคิดว่านี่แหละเป็นคอมเมนต์ที่ตรงจุดสุดๆ คนๆ นี้บอกว่า ตัวละครยอนจินมักพึ่งพาไสยศาสตร์ ซาร่าเป็นชาวคริสต์ แต่ฮเยจองไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น ในขณะที่ดงอึนไม่ได้นับถือพระเจ้าองค์ไหนเป็นพิเศษ เธอเชื่อในตัวเองและลงมือทำด้วยตัวเอง
แต่ถ้าทุกคนได้ดูพาร์ทสอง คุณอาจจะรู้สึกว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆ และฉันเองก็เป็นคนที่นับถือศาสนาด้วย ฉันเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ในพาร์ทสอง ทุกคนจะเห็นว่าเนื้อเรื่องมันต่อกันไปในแนวทางนั้น
แต่มีคนที่บอกว่า ฮาโดยองน่าจะเป็นหมัน ซึ่งฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า เขาไม่ได้เป็นหมันนะคะ (หัวเราะ)
จากเนื้อเรื่องใน The Glory ที่เน้นไปที่เรื่องของการทำร้ายร่างกายในโรงเรียน แต่ยังเล่าให้เห็นถึงความแตกต่างของฐานะและระดับชนชั้นในสังคมด้วย จริงๆ แล้วตั้งใจเขียนบทให้เป็นแบบนี้แต่แรก หรือว่าค่อยๆ เพิ่มเติมไประหว่างเขียนบทไปเรื่อยๆ
นักเขียนบทคิมอึนซุก: ในงานแถลงข่าวเปิดตัว The Glory ฉันเคยบอกว่าไปบทของซีรีส์เรื่องนี้มาจากคำถามของลูกสาวของฉันที่ว่า “ระหว่างถูกตีกับเป็นคนตี แบบไหนรู้สึกแย่กว่ากัน” ตอนที่ฉันเขียนบท ฉันก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเหมือนกัน ถ้าลูกสาวของฉันถูกตีจนตาย มันน่าจะมีหนทางสักอย่างที่น่าจะดึงคนที่ทำผิดลงนรกได้ เพราะฉันมีเงินมากพอที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ ฉันเลยได้ข้อสรุปที่ว่า มันน่าจะดีกว่าถ้าเป็นคนโดนตี แต่ใน The Glory หนทางนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นกับดงอึนใช่ไหมคะ ฉันคิดว่าเหยื่อหลายๆ คนไม่ได้แก้ปัญหานี้ได้ง่ายๆ เพราะไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยเหมือนฉัน พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันกับที่ลูกสาวของฉันเติบโตมา ดังนั้นฉันเลยอยากจะส่งกำลังใจให้พวกเขาเพราะความเป็นจริงเป็นสิ่งที่โหดร้าย และฉันหวังว่าการล้างแค้นของดงอึนจะประสบความสำเร็จ นี่คือเนื้อเรื่องที่ฉันตั้งใจเขียนให้ไปในทิศทางนี้ เรื่องราวจะจบอย่างไร ให้พวกคุณดูกันเอาเองค่ะ
ในตัวอย่าง The Glory พาร์ทสอง ดงอึนตะโกนเสียงดังว่า “หยุดหัวเราะแบบนั้นนะ” สีหน้าท่าทางแบบนั้นแตกต่างจากซงฮเยคโยที่ฉันเลยเห็นมาตลอด เลยอยากถามว่าตอนที่ถ่ายทำฉากนี้รู้สึกยังไงบ้าง และระหว่างที่แสดงเป็นดงอึน มีฉากไหนที่คิดว่าแสดงออกมาได้ดี หรือทุ่มเทสุดกำลังไปกับฉากไหนเป็นพิเศษบ้างไหม
ซงฮเยคโย: ฉากนั้นเป็นฉากที่ทำร้ายจิตใจของดงอึนมากๆ ค่ะ เป็นฉากที่สำคัญมากของพาร์ทสอง ในพาร์ทแรก ดงอึนพยายามสงบอารมณ์และไม่แสดงอารมณ์ออกมามากนัก แต่ในพาร์ทสอง เธอจะระเบิดอารมณ์ออกมาหมดเลยค่ะ ดังนั้นในตัวอย่างเลยดูน่าประทับใจมากที่เห็นฉากนั้น
ตอนที่ถ่ายทำฉากนี้ เพราะว่าเนื้อเรื่องมันดำเนินมาใกล้ตอนจบแล้ว ในตอนแรกฉันเลยพยายามเข้าใจอารมณ์ของดงอึนให้มากที่สุด สวมบทบาทเป็นดงอึนอย่างเต็มที่ ในตอนแรกมันค่อนข้างยากที่จะเป็นดงอึนให้ได้ 100% แต่ในตอนที่ถ่ายทำฉากนั้น ฉันคิดว่าตัวเองเป็นดงอึนได้ 100% จริงๆ ฉันเลยคิดว่าในฉากนั้นฉันเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ จนสามารถปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้ตามที่ฉันต้องการจะเล่นในฉากนั้นจริงๆ
นอกจากนี้ กับนักแสดงท่านอื่นๆ พวกเราก็มีเคมีที่เข้ากันได้ดีมาก แบบ 120% 130% เลย ดังนั้นพวกเราเลยสามารถรับส่งอารมณ์กันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะระหว่างฉันกับซาร่า ฉันเลยคิดว่าสิ่งนี้ทำให้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่
ถ้าถามถึงฉากไหนที่คิดว่าฉันเล่นได้ถึงที่สุด ฉันจำได้อยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากในพาร์ทสอง ฉันมั่นใจว่าคนที่ได้ดูน่าจะรู้ว่าเป็นฉากไหน นักแสดงทุกคนก็ประทับใจกับพาร์ทสองนี้มากเหมือนกัน ยังไงฝากติดตามดูกันด้วยค่ะ
แล้วในพาร์ทหนึ่ง มีบทพูดไหนของดงอึนที่ประทับใจที่สุดบ้างไหม
ซงฮเยคโย: สำหรับฉันแล้ว ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์มาหลายครั้ง ฉันคิดว่าประโยคที่ดงอึนพูดว่า “เพราะไม่มีความเมตตาสงสาร ก็เลยไม่มีความรุ่งโรจน์จากชัยชนะ” ฉันคิดว่าประโยคนี้สรุปความเป็นดงอึนได้ดี เธอไม่แสดงออกถึงความเมตตาสงสาร และเธอรู้ดีว่าเธอกำลังจะเป็นผู้กระทำความผิดจากที่เคยเป็นเหยื่อมาก่อน แต่เธอก็เข้าใจและรู้ว่าเธอไม่ได้ล้างแค้นเพื่อเอาชนะ เธอไม่ใช่คนที่คิดว่า “ฉันจะล้างแค้นเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข” แต่เป็นการล้างแค้นแบบที่ “ฉันจะเอาคืนให้สาสมแล้วตายไปพร้อมกับเธอด้วย” ฉันคิดว่าฉันรู้สึกเจ็บปวดที่ดงอึนคิดแบบนั้น
มีฉากที่ดงอึนไปหาคุณครูสมัยเด็ก และเธอก็เป็นเพื่อนกับลูกชายของคุณครูคนนั้นด้วย เธอบอกว่า “ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ฉันก็เหมือนกัน แล้วตอนนี้พี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุแค่ 18 เอง” ฉันเจ็บปวดแทนเธอมากๆ ค่ะ
ผู้กำกับอันกิลโฮ: ผมชอบหลายๆ ประโยคเลยนะ แต่มีประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ดี “ความสามัคคีของเหยื่อ กับความสามัคคีของผู้ที่ทำผิด อย่างไหนที่จะแข็งแรงกว่ากัน” ผมจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจเลยครับ
ระหว่างถ่ายทำ นักแสดงหลายคนเอาสุนัขของตัวเองมาที่กองถ่ายด้วย บรรยากาศในกองถ่ายตอนที่มีสุนัขเป็นอย่างไรบ้าง
ซงฮเยคโย: ฉันเอาน้องหมาของฉันมาด้วยตัวหนึ่งค่ะ ในฉากที่ไม่ได้ใช้อารมณ์มากนัก ฉันจะเอาน้องเขามาด้วย ตอนนั้นโดฮยอนก็เอาน้องหมาของเขามาด้วยเหมือนกัน น้องหมาทั้งสองตัวเลยได้เจอกัน จริงๆ แล้วน้องหมาของฉันไม่ค่อยชอบหมาตัวอื่นๆ ค่ะ พอน้องหมาของฉันเจอกับหมาของโดฮยอน น้องเลยเห่าใส่ หลังจากนั้นน้องหมาของฉันก็เลยเริ่มไม่ชอบโดฮยอนไปด้วย เพราะเขาไม่ชอบหมาของโดฮยอน โดฮยอนเลยกลายเป็นคนที่น้องหมาของฉันไปโดยปริยาย ตอนนั้นเราสองคนเลยอยู่ใกล้ๆ กันไม่ได้เลยค่ะ (หัวเราะ)
ในตอนแรก น้องหมาของฉันของโดฮยอนมาก หมาของโดฮยอนชื่อกาอึล แต่หลังจากน้องหมาของฉันเจอกาอึล หมาของฉันไม่ชอบกาอึลแล้วก็เลยไม่ชอบโดฮยอนไปด้วยเฉยเลย แต่ฉันคิดว่าน้องหมาของฉันคงจะไม่ได้เจอกาอึลอีก หลังจากนี้ก็คงจะโอเคแล้ว แต่ส่วนตัวแล้วฉันได้เข้าฉากกับลูอี (หมาของแจจุน) ด้วยค่ะ
ผู้กำกับอันกิลโฮ: ลูอีเขาไม่ค่อยเห่าครับ เขาแสดงได้ดีนะ แต่ไม่ค่อยเห่า หลังๆ ในบางฉากเราเลยต้องตัดต่อใส่เสียงเห่าเข้าไปเอง
นักเขียนบทคิมอึนซุก: มันจะมีบางฉากที่เขาต้องเห่าค่ะ เขาแสดงได้ดีแต่เขาไม่เห่า เราเลยต้องมาอัดเสียงเขาข้างนอก แล้วเอาเสียงเขาตัดต่อใส่เพิ่มไปทีหลัง
แล้วฉากไหนระหว่างถ่ายทำที่ประทับใจหรือน่าจดจำมากเป็นพิเศษบ้างไหม
ผู้กำกับอันกิลโฮ: ระหว่างถ่ายทำพวกเราสนุกกันทุกคน และมีฉากที่ท้าทายมากมาย ทีมงานอยากเก็บภาพความสวยงามทั้ง 4 ฤดูในเกาหลีเอาไว้ แต่บางครั้งเราก็ต้องถ่ายฉากที่ตัวละครใส่ชุดบางๆ ในอากาศที่หนาวจัด อะไรประมาณนั้น มันเลยน่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายของฝั่งนักแสดงมากกว่า และน่าจะเป็นส่วนที่ยากที่สุดของนักแสดงที่ต้องเจอเลยครับ
ซงฮเยคโย: สำหรับฉัน การนั่งให้ทีมงานแต่งแผลเป็นบนตัวเป็นอะไรที่ยากมากค่ะ เพราะใช้เวลานานมาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะช่วงตอนจบของ EP.6 ที่ใช้เวลาในการแต่งเอฟเฟกต์แผลเป็นบนตัวถึง 4-5 ชั่วโมงเลย ฉันจำกัดอาหารของตัวเองสุดๆ รวมถึงไม่ดื่มน้ำในวันก่อนหน้าเพื่อถ่ายทำฉากนี้ด้วย มันยากลำบากมากแต่ก็ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งลุคต่างๆ ทั้งจากใบหน้าและร่างกายที่ฉันต้องการ
ซึ่งตอนถ่ายทำมันก็ออกมาทรงพลังและกระแทกอารมณ์มากๆ ฉันถูกจับแต่งเอฟเฟกต์บนตัวบ่อยๆ จนผิวแย่ลง แล้วต้องใช้น้ำยาลบเมคอัพและเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่อยู่บนตัวฉันโดยเฉพาะ ฉันเลยคิดว่าตอนที่ให้แต่งเอฟเฟกต์แผลเป็นบนตัวเป็นอะไรที่น่าจดจำมากค่ะ การที่ฉันจำกัดอาหารอย่างหนักและไม่ดื่มน้ำก่อนวันถ่ายทำเพราะฉันอยากให้เห็นถึงความยากลำบาก ความเจ็บปวด และอารมณ์ใจสลายที่ดงอึนได้รับมาตลอดทั้งชีวิตส่งผ่านออกมาในฉากนั้นให้ได้มากที่สุดค่ะ
รับชม The Glory ทั้ง 16 ตอนจบได้แล้ววันนี้ ที่ Netflix
อัลบั้มภาพ 16 ภาพ