คุยชิลๆ กับ "ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน" การเป็นตัวเองในแบบของตัวเองดีที่สุด
Star of The Month ประจำเดือน พฤษภาคม จะพามาพูดคุยกับนักแสดงหนุ่มน้องใหม่ไฟแรง ภูวิน-ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน จากค่าย GMMTV เด็กหนุ่มที่น่าจับตามองจากการส่งผลงานหลากหลายออกมาให้ได้ติดตามอย่างต่อเนื่องอย่างซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว และภาพยนตร์ หุ่นพยนตร์ ที่เราจะมาพูดคุยถึงไลฟ์สไตล์ตัวตนมุมมองบนเส้นทางในวงการบันเทิงที่ผ่านมาของหนุ่มภูวินทร์ พร้อมทั้งแชร์ประสบการณ์การเป็นตัวเองในแบบตัวเองนั้นดีที่สุด บอกเลยว่าเราจะได้เห็นมุมมองดีๆ จากหนุ่มคนนี้เพียบ
การพูดคุยกับหนุ่ม ภูวินทร์ ในครั้งนี้ จะให้มุมมองน่าสนใจอย่างไรบ้าง มาติดตามจากบทสัมภาษณ์นี้กันเลย
จุดเริ่มต้นการเข้าวงการ เข้าวงการมายังไง เล่าความรู้สึกแรกตอนได้งานครั้งแรกหน่อย
ภูวินทร์: เส้นทางการเข้าวงการ จริง ๆ แล้ว ผมเริ่มจากการแคสโฆษณาครับผม ก็เริ่มมาจากการที่มีน้องที่สนิทคนหนึ่งเขาเล่นโฆษณาอยู่แล้ว แล้วเราไปแคสติ้งกับเขาแล้วเรารู้สึกว่าอยากลอง ก็เลยได้ลองไปกับเขา จนพอได้งานแรกก็ติดใจ มันก็สนุกดีนี่นา ก็เลยลองไปแคสทั้งโฆษณา ทั้งละครต่าง ๆ แล้วก็ทำเรื่อย ๆ ครับ จนถึงได้มาอยู่ที่ GMMTV นี่แหละครับ (แล้วช่วงนั้นอายุเท่าไหร่คะ?) อายุประมาณ 11-12 ครับผม
(จำความรู้สึกแรก ๆ ตอนที่เราได้งานใหม่ ๆ ได้ไหม)
มันรู้สึกตื่นเต้นครับ เพราะว่ามันเหมือนการที่เด็กคนหนึ่งได้ไปทำอะไรใหม่ ๆ เหมือนได้ไปเที่ยวครับ เหมือนเด็กเวลาได้ของเล่นใหม่ หรือได้อะไร แต่ว่าพอไปถึงหน้างานแล้วมันก็จะสนุกช่วงแรกนี่แหละ แต่ด้วยความที่เด็กส่วนมากเนาะสมาธิจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ พอเริ่มทำไป 2-3 ชั่วโมงแล้วมันก็จะเริ่มรู้สึกเบื่อ แต่พอกลับบ้านไปก็รู้สึกว่า เออ มันก็สนุกดีโดยรวม ก็เลยอยากทำต่อครับ (เลยเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราอยากเข้าวงการใช่ไหม) ครับ ก็รู้สึกว่างานตรงนี้มันก็สนุกดี แล้วมันก็มีเสน่ห์ของมันอยู่
พูดถึงงานหนัง และงานพากย์เสียง ที่เพิ่งผ่านมาเร็วๆ นี้ จุดเริ่มต้นเป็นมายังไง
ภูวินทร์: จริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นไม่ได้มีอะไรเลยครับ คือทาง Studio Echo ของเมืองไทยก็ติดต่อมาให้ไปแคสติ้งครับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ระบุอะไรด้วย ว่าเป็นงานอะไร หรือว่าเป็นอะไร แค่บอกว่ามีพากย์เสียงเกมเกมนึงสนใจเข้ามาพากย์ไหม ก็ลองคุยกับผู้จัดการดู แล้วก็หาเวลาว่างเข้าไปแคสครับผม ซึ่งจริง ๆ แล้วทางนู้นก็ไม่ได้รู้จักว่าเราเป็นใครอะไรด้วย แล้วตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้รู้ว่าเรากำลังแคสเกมอะไรอยู่ครับผม แล้วการเข้าไปแคสตอนนั้นก็เป็นแค่การอัดเสียงเลยครับ ไม่ได้มีการถ่ายวิดีโอ ถ่ายอะไรเลย อัดเสียงเพียว ๆ แล้วก็ส่งไปให้ทางนู้นครับผม แล้วทีนี้ทางอเมริกาก็มีการตอบกลับให้เรากลับไปแคสติ้งอีกรอบครับ เราก็เลยได้มีโอกาสที่จะพูดคุยกับเขา แล้วแบบ เอ้ย จริง ๆ แล้วมันคือเกมอะไรนะ มันคือเกมนี้นี่เอง มันมีที่มาอย่างนี้ ตัวคาแรกเตอร์ตัวละครเป็นอย่างงี้ แล้วเราดันเสียงของเราเนี่ยดันตรงกับเสียงที่เขากำลังตามหาอยู่ และเสียงที่ทีม Developer ของทางที่นู้นชอบด้วย ก็เลยได้มาลองเข้าวงการพากย์เสียงครับ
ตอนที่เราส่งเสียงไปครั้งแรก เรายังไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย
คือเป็น Voice เรายังไม่ได้รู้รายละเอียดลึกครับผม รู้แค่ว่ามันเป็น Voice Sign ของตัวละครในเกม แล้วเขาก็มี background ของตัวละครนั้นมาให้ แค่นั้นเลยครับ ก็เหมือนเวลาเล่นละครก็จะมี background ตัวละครของคาแรกเตอร์นั้น ๆ อันนี้ก็เหมือนกันก็จะมี background ของตัวละครในเกมนั้นอยู่ครับ ว่าเขาเป็นคนนิสัยยังไง เป็นคนชอบทำอะไร อดีตเจออะไรมาบ้าง
พอได้ทำแล้วเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม?
สนุกครับ เพราะว่ามันเป็นความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของผมด้วย เพราะว่าผมเป็นคนเล่นเกมอยู่แล้ว Overwatch เป็นเกมที่ผมเล่นตั้งแต่มันออกมาใหม่ ๆ เลย ตอนช่วงปี 2017-2018 ก็เรียกได้ว่าเล่นตั้งแต่ตอนที่มันออกมา คลุกคลีกับมันมานานมากเลยครับผม พอมา find out ว่า อ้าวมันเป็นเกมนี้นี่หน่า แล้วเราดันได้เป็นเสียงของตัวละครไทยตัวแรกในเกมด้วย เราก็รู้สึกว่ามันเป็นเกียรติสูงที่สุดของคนเล่นเกมคนนึง และที่นั่งอยู่บ้านนั่งเล่นเกมไปวัน ๆ ไม่คิดว่าวันนึงจะไปอยู่ในเกมที่เราเล่น มันเป็นอะไรที่แบบภูมิใจมาก ทุกวันนี้ผมเปิดเกม ผมต้องปิดเสียงเกมเพราะว่าผมไม่ชินกับการฟังเสียงตัวเองในเกม (หัวเราะ) ปกติมันจะมี Option ให้เปิดเสียงตัวละคร แบบเปิดเสียง Voice Line ตัวละคร ช่วงหลัง ๆ ผมเริ่มปิดเพราะว่าผม แบบมันไม่ชิน มันเขิน ๆ ใช่ มันเขินตัวเอง
ฟีดแบคงานพากย์เสียงเราเป็นยังไงบ้าง
ภูวินทร์: เขาซัปพอร์ตมากเลยครับ ให้ฟีดแบคที่ดีมาก ๆ ให้ซัปพอร์ตที่ดีมาก ๆ แต่ว่าสิ่งที่มากกว่านั้นคือเสียงตอบรับจากคนที่เล่นเกมด้วยกันบอกว่า เห้ย มันโอเคเลย แบบเกินความคาดหมายมาก ๆ เพราะว่าคนส่วนมากพอมาเห็นว่าเป็นนักแสดงไปพากย์ ก็จะไม่ได้ปลื้มปริ่มมากขนาดนั้นอยู่แล้ว ด้วยความที่มันเป็นงานพากย์เสียงงานแรกของเรา เราก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันมีคนอีกตั้งเยอะที่เก่งกว่าเราและมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าเรา แต่เราดันเป็นคนที่ได้มาเล่นตัวละครนี้ ในงานที่มันเป็นสเกลระดับ Global ไม่ได้เป็นแค่ระดับประเทศ หรือระดับ Local เราก็เลยรู้สึกว่าเสียงตอบรับที่ได้มาจากตรงนั้นเนี่ยเกินความคาดหมายของผมมาก ๆ เลยครับ
พูดถึงเรื่องหนังเรื่องล่าสุดกันหน่อยเป็นไงบ้าง
ภูวินทร์: ครับ ได้ฉายสักทีครับผม ทั้งเรื่องหุ่นพยนต์แล้วก็ปลุกพยนต์ครับ ก็แตกออกมาเป็น 2 เรื่องครับผม ปลุกพยนต์ก็จะเป็น 18+ ครับผม แล้วก็หุ่นพยนต์ก็จะเป็น 20+ ครับ (การทำงานเป็นยังไง) ยากเย็นมากครับกว่าจะได้ฉาย (หัวเราะ) แต่ว่าวันนี้ก็ได้ฉายสักที
ความคาดหวังไหมกับผลงานนี้ ถือเป็นหนังเรื่องแรกของเราด้วย
ใช่ครับ หนังเรื่องแรกครับผม จริง ๆ แล้วความคาดหวังของผมมันหายไปหมดแล้วครับตั้งแต่วันรอบสื่อครับผม เพราะว่ารอบสื่อผ่านมาก็เดือนกว่าแล้ว แล้วพอรู้ว่าหนังเราไม่ได้ฉายเนี่ยความคาดหวังมันก็หายไปซะเยอะตั้งแต่ตรงนั้นแล้วครับผม (หัวเราะ) ตอนนี้เลยรู้สึกว่าพอมันเป็นอย่างงี้ ตัวเราเองได้ปล่อยวาง และก็ไม่ได้ห่วงกับตรงนี้มาก หรือคาดหวังว่ามันจะต้องมีคนดูหรือมันจะต้องอะไรมาก มันแค่รู้สึกว่า มันเป็นหนังเรื่องนึงที่ พล็อตสนุก เส้นเรื่องเข้มข้น งั้นก็อยู่ที่หนังแล้วว่าหนังจะ perform ออกมาได้แค่ไหน
ในฐานะคนที่รับบทท้าทายมาตลอด ตั้งแต่อายุน้อย เคยเจอเหตุการณ์สลัดตัวตนที่แสดงไม่ออก หรืองานแสดงเคยมีผลกับสภาพจิตใจเราบ้างไหม ถ้ามีเรารับมือกับมันยังไง
ภูวินทร์: มีครับ การทำซ้ำก็คือการสร้าง Habit ใหม่ ๆ ให้ตัวเราเอง ซึ่งการที่อยู่กับตัวละครตัวยิ่ง 12 คิว 20 คิว 30 คิวเนี่ย แน่นอนมันก็จะต้องมี Habit ต่าง ๆ มีอารมณ์ต่าง ๆ ที่มันติดมากับตัวเองอยู่แล้ว แต่มันอยู่ที่ว่าตัวเราเองจะจัดการกับพฤติกรรมเหล่านั้นเอาไปใช้ในเวลาไหน และเอาไปใช้ในตอนไหนครับเพราะว่าจริง ๆ แล้วนิสัยเสียของตัวละครแต่ละตัวมันก็มี แต่นิสัยดีของตัวละครก็มีเหมือนกัน ดังนั้นมันอยู่ที่ว่าเราจะสามารถเก็บนิสัยเสียนั้นไว้ในตัวแล้วไม่เอาออกมาใช้ได้ไหม แล้วเอาแต่ด้านดีของตัวละครต่าง ๆ มาใช้
ตอนนี้ยังมีบทบาทไหนที่อยาก ท้าทาย หรือแบบที่เกินคาดตัวเองไปมากๆ ไหม
ภูวินทร์: ตอนนี้ขอพักก่อนแล้วกันครับเรื่องความท้าทาย (หัวเราะ) ขอไปอะไรแบบสบาย ๆ ชิล ๆ หน่อยครับ เอาจริง ๆ บอกเลยว่า การที่ได้มาเล่น Our Skyy รอบนี้เหมือนเป็นการปลดปล่อยระดับนึงเลยครับ เพราะว่าช่วงที่ผ่านมาก็จะเจอ ”เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว” ซึ่งก็เป็นบทดราม่าอยู่แล้ว แล้วก็มาเจอ ”หุ่นพยนต์” อีกที่เป็นหนังผีอีก แล้วก็มาเจองานพากย์เสียงอีก แต่งานพากย์เสียงก็ชิลอยู่ครับแต่ว่ามันมีความกดดันจากการมันเป็นงานสเกลใหญ่อยู่ ก็กดดันมา 3 เรื่องแล้วก็ขอเรื่องนี้ได้ปลดปล่อยบ้างครับ
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเป็นยังไง ติดบ้านหรือออกข้างนอก
ภูวินทร์: แต่ก่อนเป็นคนติดบ้านครับ แต่ก่อนเป็นคนไม่ค่อยออกไปไหน แต่ว่าพอเวลาผ่านไป พอเราทำงานมากขึ้น พอเราไม่มีเวลาไปทำสิ่งที่เราอยากทำเรากลับกลายเป็นคนที่ออกจากบ้านทุกวัน กลับกลายเป็นคนที่ติดเพื่อน คอยโหยหาคนที่อยู่ด้วยตลอดเวลา เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราไม่ได้ว่างตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เราว่างเราต้องใช้เวลาตรงนั้นให้คุ้มค่าที่สุดครับ
เราดูมีทักษะต่างๆ เยอะมากๆ ทั้งการเรียน กีฬา ร้องเพลง ดนตรี เล่นหนัง พากย์เสียง อะไรที่คิดว่าทำได้ดีมากที่สุด
ภูวินทร์: จริง ๆ แล้วยากครับ ตอบยากมาก แต่ว่าถ้าให้ผมเปรียบตัวเองผมเป็น Jack ครับมันจะมีคำนึงในภาษาอังกฤษเขาจะบอกว่า "Jack of all trades, master of none" ก็คือตัว Jack เนี่ยมันทำได้เกือบทุกอย่างแต่มันไม่ได้เก่งอะไรสักอย่างเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าผมเป็นอย่างนั้นเนี่ยแหละครับ คือเป็นคนที่คาแรกตอร์ไม่ค่อยชัดเจนเพราะว่าทำทุกอย่างก็ทำได้ระดับนึง แต่ไม่ได้มีอะไรที่เก่งที่สุด ซึ่งอาวุธติดตัวที่ผมรู้สึกว่าน่าจะชัดเจนที่สุด ณ ตอนนี้ก็คือการแสดงของผม ซึ่งถามว่ามันเก่งที่สุดไหม มันก็ไม่ได้เก่งที่สุด
แล้วมีอะไรที่อยากเพิ่มในส่วนที่เราคิดว่าเรายังไม่โดดเด่นไหม
ภูวินทร์: จริง ๆ แล้วตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรเพิ่มอะไรครับ แต่ผมควรจะหาอย่างสองอย่างเพื่อจะโฟกัสเพื่อที่จะทำให้มันดีที่สุดเนี่ยแหละครับ เพื่อที่จะได้มาตอบคำถามพี่ได้ว่า คิดว่าตัวเองเก่งอะไรที่สุด
ภูวินทร์ทำโน่นนี่นั่นเยอะมาก เคยมีช่วง Burn out มั้ย และจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง
ภูวินทร์: ไม่นะครับ ของผมไม่ ผมคิดว่าเป็นสิ่งดีอย่างนึงในการทำทุกอย่างคือมันมีความหลากหลายและความแตกต่างในทุก ๆ อย่างที่ทำ มันเลยไม่ได้มีเวลาให้ตัวเองไป Burn out เพราะว่าเราไม่ได้ดิ่งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปครับผม ถ้าใกล้ที่สุดที่จะ Burn out ก็จะเป็นการถ่ายซีรีส์นี่แหละครับเพราะว่าเวลาถ่ายซีรีส์ที่มันต้องอยู่กับตัวละครประมาณแบบ 30 คิว 40 คิว คือ 30 วันเต็ม ๆ (หัวเราะ) ซึ่งมันหนักนะ แล้วการที่จะอยู่กับสิ่ง ๆ เนี่ยตลอดเวลา แบบทุกอาทิตย์เนี่ยมันก็จะมีความเบื่อตอนท้าย ๆ ก่อนที่มันจะถ่ายเสร็จนี่แหละครับ นั่นใกล้ที่สุดที่จะ Burn out แต่ผมว่าถ้าลากไปสุดสัก 60 คิวผมว่าก็น่าจะ Burn out แน่นอน
ภูวินทร์เป็นคนยังไง คิดว่าตัวเองเป็นคนตรงปกไหม ภาพลักษณ์กับนิสัยเรา ไปทางเดียวกันไหม
ภูวินทร์: ไม่ครับ ผมรู้สึกว่าตัวผมเองค่อนข้างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาระดับหนึ่ง ข้อเสียของผมคือผมไม่ค่อยใส่ใจ หรือไม่ค่อยรับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่เราคุยด้วยหรืออยู่กับเรา ข้อเสียของเราคือเราเป็นคนที่จับความรู้สึกไม่ค่อยได้ ซึ่งพอเราเป็นคนหน้าหวาน อ่า ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนออกหน้าหวาน (หัวเราะ) มันเลยค่อนข้างขัดแย้งเพราะเราจะดูเป็นคนแบบเทคแคร์เป็นคน Caring ซึ่งเราเป็นคนเทคแคร์ด้วย Action ครับ แต่ว่าเวลาอีกฝั่งหนึ่งเขารู้สึกอะไร หรือว่าเขามีอะไร เราจะเป็นคนไม่ค่อยสามารถจับความรู้สึกตรงนั้นได้ เราจะไม่สามารถอ่านบรรยากาศในห้องนั้นได้
(เรามีการปรับตัวกับสิ่งนี้ไหม) ผมว่าทุกสกิลที่คนเรามี อย่างเช่นการจับความรู้สึกก็เป็นสกิลอย่างหนึ่ง ทุกคนเกิดมาสกิลแต่ละอย่างก็ไม่เท่ากันอยู่แล้วมันก็คือพรสวรรค์ แต่เพียงแค่ว่าเราจะฝึกตรงนั้นหรือเปล่า ซึ่งผมก็ฝึก พยายามฝึกมาเยอะครับ ก็ดีขึ้นครับ แต่ว่าต้องดีกว่านี้ครับผม
ตอนเด็กๆ ภูวินทร์เป็นคนยังไง
ภูวินทร์: ตอนเด็ก ๆ เป็นคนร่าเริงครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็ร่าเริงครับ แต่ว่าคือเป็นคนที่ร่าเริงและกล้าทำทุกอย่าง ใช้คำว่ากล้าเกินไปแล้วกันครับ กล้า…จนมันไม่ดี ความกล้าเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ว่าอย่างที่ผมบอกว่ามันต้องมาพร้อมกับการจับความรู้สึกคนอื่นได้และ การอ่านบรรยากาศได้ ซึ่งผมกล้าครับแต่ว่าผมจะชอบมีจังหวะนรกครับตอนเด็ก ๆ เพราะว่าผมจะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำในเวลาที่มันไม่ควรทำ (หัวเราะ) อย่างเช่น ตอนเด็ก ๆ บรรยากาศในห้องมันจะตึง ๆ คนเพิ่งทะเลาะกัน เราก็อยากให้คนอื่นเขารู้สึกดีขึ้น เลยเล่นมุก อยากละลายพฤติกรรม อยากให้บรรยากาศมันแบบ คือเขาเพิ่งทะเลาะกันเรารู้สึกว่าอยากให้เขา Happy เราก็เล่นมุก แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ควร มันจะเป็นจังหวะนรก แล้วทุกคนก็จะหันมามองแบบ... หือ อะไรอะ ทำอะไรอะ?
จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ มีอะไรที่แตกต่างจากตอนโตไหม
ภูวินทร์: จริง ๆ แล้วก็มีนะครับ มีเยอะเลยผมว่าแต่ละคนเวลาผ่านช่วงอายุต่าง ๆ มันก็จะเห็นอะไรมากขึ้น แต่ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราเห็นได้ชัดเลยคือ โลกไม่ได้แคร์ตัวคุณขนาดเท่าที่คุณคิด คืออย่างเช่นตอนเด็ก ๆ เราอาจจะคิดว่า เพื่อนเราคิดว่าเราเป็นคนยังไง ทำยังไงให้แบบ อืม ทำแบบนี้ไม่ได้มั้ง เพื่อนมันไม่น่าจะชอบ แต่พอเราโตขึ้นและพอระยะเวลาผ่านไปมากขึ้นเราจะเริ่มเข้าใจและเริ่มรู้สึกว่า เออ เราก็เป็นตัวของตัวเองได้ เราไม่ต้องไปทำตามคนอื่นเพื่อให้เขาชอบ หรือว่าไม่ต้องคิดตลอดเวลาว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงกับเรา เราเป็นตัวเองในแบบตัวเองให้ดีที่สุด แต่ต้องดีนะ แต่ต้องยังเข้ากับคนอื่นได้นะ แต่ก็เป็นตัวเองให้ดีที่สุดเนี่ยแหละ แล้วคนที่สามารถเข้ากับเรา คนที่สามารถอยู่กับเราได้ก็จะอยู่กับเราไปเอง ส่วนคนที่ไม่สามารถยอมรับตรงนั้นได้เขาก็จะไปเอง
ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง อยากทำอาชีพอะไร
ภูวินทร์: มีครับแต่ก่อนผมเหมือนเด็กหลายคนเลยอยากเล่นเกมครับ อยากเป็นโปรเล่นเกมครับผม แต่ว่าพอระยะเวลาผ่านไปเราก็รู้สึกว่า การที่เราเอาสิ่งที่มีความสุขแบบมาก ๆ แพสชั่นของเรามาก ๆ มาเป็นงานหลักขนาดที่ว่าเราต้องพึ่งพามันจนถึง 100% มันทำให้เรา Burn out ได้ง่ายมาก ก็เลยรู้สึกว่าเวลาทำอะไรผมอยากจะทำหลาย ๆ อย่าง อย่างเช่นเป็นนักแสดงผมก็ไม่ได้อยากจะแสดงอย่างเดียว ผมก็อยากร้องเพลงด้วยอยากจะทำอย่างอื่นด้วยควบคู่กันไปเพื่อให้มันอยู่ได้ยาวที่สุด และให้สุขภาพจิตเราอยู่กับสิ่ง ๆ นั้นได้นานที่สุดครับ
งานในวงการบันเทิงสอนอะไรภูวินทร์
ภูวินทร์: อืม... (*ใช้ความคิด) ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยที่วงการบันเทิงสอนผม ก็คือการเข้ากับคนที่ต่างกับเรา กับเข้ากับคนหลาย ๆ แบบ งานแสดง เป็นงานที่เราต้องเข้าหลาย ๆ คาแรกเตอร์อยู่แล้วเราจะได้เจอกับหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ มุมมอง หลาย ๆ ความคิดที่คนส่วนมากไม่น่าได้เจอ เพราะว่าปกติเราเป็นของเรายังไงเราก็จะเป็นอย่างงั้น เราจะไม่ค่อยไปมองว่าแนวคิดของคนอื่นจะเป็นยังไงสักเท่าไหร่ แต่พอเป็นนักแสดงเรากลับต้องได้มาเล่นบทบาท ต้องมาเล่นเป็นตัวละครที่มีแนวคิดต่าง ๆ กันไปมาก แล้วมีการจัดการอารมณ์ของตัวเองต่าง ๆ เนี่ย ต่างกันมาก ผมเลยรู้สึกว่ามันช่วยสอนให้เราเข้ากับคนได้หลาย ๆ แบบและไม่ใช่แค่ตัวนักแสดงกับตัวละครด้วย แต่เป็นตัวนักแสดงกับตัวนักแสดงคนอื่น ๆ ด้วยก็ต่างมีคาแรกเตอร์ที่ไม่เหมือนกัน มีการคุยกันมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าการที่ได้สัมผัสหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างมันสอนให้เราเป็นคนที่ Accept คนได้มากขึ้น แล้วก็เปิดโลกให้ตัวเองได้กว้างขึ้น
เล่าถึงแฟนๆ หน่อย คาแรกเตอร์แฟนคลับเราเป็นอย่างไร มีความน่ารักในมุมไหนบ้าง
ภูวินทร์: แฟนคลับบ้านผมเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ ครับ บอกเลยว่าด้อมผมนี่น่ารักมากซัปพอร์ตทุกอย่าง แล้วทุกครั้งที่เรารู้สึกไม่ดี หรือเราเหนื่อย หรือเราท้อแล้วหันหลังกลับไปเขาก็ยังอยู่กับเราเสมอ เขาก็ไม่หายไปไหน ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น หรือว่าถึงแม้จะมีอุปสรรคบ้างในบางเวลา ผลสุดท้ายเขาก็ยังหนุนหลังอยู่ข้างหลังเราเสมอ ดังนั้นจริง ๆ แล้วถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เจอเขาบ่อย เราอาจจะไม่ได้เจอทุกคนแต่ก็อยากให้ทุกคนที่ซัปพอร์ตทุกคนที่อยู่กับเรารู้ว่าเรารู้สึกดีมากที่มีเขาอยู่และเราก็พยายามที่จะ connect กับทุกคนให้ได้ ไม่ว่าจะผ่าน Twitter ผ่าน IG ผ่านอะไร เราก็พยายามจะมี communication ตรงนั้นไว้อยู่ ก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ครับที่อยู่กันมาหลายปีขนาดนี้
อัลบั้มภาพ 20 ภาพ