The Scorpion King กำเนิด The Rock บนเส้นทางหนังฮอลลีวูด โดย ตั๋วร้อนฯ
การกลับมาสู่แฟรนไชส์ Fast and Furious อีกครั้งในรอบหลายปีของอดีตแชมป์โลก WWE ทั้งหมด 7 สมัย อย่าง Dwayne Johnson หรือ The Rock แม้จะถูกปรามาสจากแฟนหนังหลายคนว่า เขากลับมาหากินหนังแฟรนไชส์เดิมที่เขาอยู่ในสถานะดาราสมทบ นั่นเพราะหนังที่เขานำแสดงหลายๆ เรื่อง อาทิ skyscraper, Jungle cruise หรือซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC ที่เขาปลุกปั้นมานานอย่าง Black Adam ล้มเหลวในตารางหนังทำเงินและคำวิจารณ์ จนทำให้ไม่ได้ไปต่อ รวมทั้งเสียงเซาะแซะเสียดสีจากแฟนหนังหลายคนที่บอกว่า เขาเล่นหนังได้ซ้ำซาก ไม่มีความท้าทายใดๆ แถมเล่นกี่เรื่องก็ยังคงเป็น The Rock เหมือนเดิม
บางคนถึงขนาดเอาไปเทียบกับนักแสดงรุ่นน้องอย่าง Dave Bautista ที่เริ่มมีหนังคุณภาพให้สวมบทบาทมากกว่าหนังแอ็คชั่นตลาดจ๋า หรือกระทั่ง John Cena ที่มีหนังที่น่าจดจำมากมายในช่วงหลังๆด้วยซ้ำ
กระนั้นเองหากจะให้ความยุติธรรมกับตัวของ The Rock แล้ว ต้องขอบอกว่า การที่รุ่นน้องของเขาได้มีบทหนังดีๆ หรือ ได้มีเส้นทางของนักแสดงที่สวยหรูนั้น ก็มาจากการบุกเบิกของเขานี่เองที่ทำให้คนทำหนังในวงการนี้รู้สึกว่า นักมวยปล้ำไม่ได้มีดีแค่การเล่นหนังแอ็คชั่นเท่านั้น แต่ทำได้หลายอย่างยิ่งกว่าที่พวกเขาคิดซะอีก
ย้อนกลับไปในปี 2001 ในช่วงที่ The Rock กำลังอยู่ในช่วงจุดสูงสุดของวงการมวยปล้ำ เขาคือนักมวยปล้ำระดับซุปเปอร์สตาร์ เป็นหน้าตาของสมาคมของ WWF (ก่อนกลายเป็นมา WWE ในเวลาต่อมา) เคียงข้างกับ Stone Cold หรือ Steve Austin ในช่วงยุค Attitude ที่เป็นยุคที่โด่งดังและดิบเถื่อนของวงการมวยปล้ำ อันมาจากชัยชนะในสงครามคืนวันจันทร์ (Monday Night war) ที่ WWF ต่อสู้เรตติ้งกับ WCW มานานหลายปีจนเอาชนะเด็ดขาดด้วยการซื้อสมาคม WCW ไปในที่สุด ส่งผลให้สมาคมมวยปล้ำทั้งหมดในอเมริกาเหนือเหลือเพียงสมาคมใหญ่สมาคมเดียวเท่านั้น เป็นช่วงที่ The Rock ครองแชมป์โลก WWF กำลังขึ้นปล้ำกับ Stone Cold ในศึก WrestleMania 17 เพื่อป้องกันแชมป์โลกพอดี ตอนนั้นเอง The rock ได้รับข้อเสนอจากทางโปรดิวเซอร์ฮอลลีวูดอย่าง James Jacks ผู้สร้าง The Mummy ภาคแรก ซึ่งได้เห็นแววของเขาในฐานะดาราแอ็คชั่น จึงทำการติดต่อไปในตอนนั้นว่า อยากให้เขามาร่วมแสดงในบทของ ราชาแมงป่องภาคต่อของ The Mummy
คงไม่ต้องบอกว่า The Mummy ผลงานหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีผจญภัยของ Stephen Sommers
นั้นคือ หนังยอดฮิตอย่างมากของปี 1999 ด้วยการผสมผสานระหว่างหนังผจญภัยอีพิคแบบ Indiana Jones เข้ากับเรื่องราวสยองขวัญคลาสสิค ทำให้ The Mummy ทำเงินไปได้ถึง 415 ล้านเหรียญจากทุนสร้างแค่ 80 ล้านเหรียญเท่านั้น นำไปสู่การสร้างภาคสองต่อทันทีด้วยทุนสร้างมหาศาลที่มากกว่าภาคแรก และเนื้อหาระดับใหญ่โตขึ้น โดยเฉพาะการมาของ ราชาแมงป่อง หรือ The Scorpion King ตัวละครใหม่ที่จะมาต่อกรกับพระเอกของเรื่องอย่าง Rick O'Connell ที่นำแสดงโดย Brendan Fraser ผู้ที่จะฟื้นกองทัพปีศาจมาล้างบางโลกใบนี้
ซึ่งเอาจริงๆแล้วตัว The Rock ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับวงการภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก นอกจากชื่อจริงของเขาว่า Dwayne จะมาจาก John Wayne ดาราคาวบอยชื่อดังในตำนานแล้ว ตัวของเขาเองก็เคยรับบทรับเชิญในซีรีส์หลายเรื่อง อาทิ Star Trek: Voyager ในบท The Champion จากตอน Tsunkatse หรือไปเป็นแขกรับเชิญในรายการยอดฮิตอย่าง Saturday Night Live บ่อยๆ ทำให้เขาค่อนข้างสนใจการแสดงอย่างมาก แม้ว่าชีวิตของนักมวยปล้ำในการแสดงหนังส่วนมากมักจะไม่ค่อยสวยหรูนักก็ตาม Hulk Hogan นักมวยปล้ำรุ่นพี่ในยุค 80 เคยเข้าไปในวงการและได้รับบทนำในหนังเกรดบีราคาถูกซะส่วนมาก ท่ามกลางสายตาของหลายๆคนที่เลิกคิ้วสงสัยว่า The Rock จะไปรอดหรือไม่ในวงการนี้
บทราชาแมงป่องของเขามีเพียงสิบนาทีแรกของหนังเท่านั้น ขณะที่ตัวราชาแมงป่อง CGI สุดอนาถใจนั้นใช้เพียงการสแกนใบหน้าของ The Rock บวกเข้ากับรูปร่างที่ทีมงานสร้างขึ้นมา และให้นักดนตรีชาวบราซิลที่มีชื่อว่า Max Cavalera เป็นคนให้เสียงแทน แต่การแสดงของ The Rock ต้องถ่ายทำฉากนี้ถึงสามเดือนจนส่งผลให้เขาต้องเสียแชมป์โลกให้กับ Stone Cold ในศึก WrestleMania 17 ไป แต่มันก็ได้สร้างความประทับใจให้กับทีมงานอย่างมาก รวมทั้งตัวของเดอะร็อคก็ได้พูดด้วยภาษาอียิปต์โบราณในหนังเรื่องนี้ด้วย จนตัวหนังภาคนี้ประสบความสำเร็จ ทำเงินไปได้ถึง 435 ล้านจากทุนสร้าง 98 ล้านดอลลาร์ นั่นทำให้โปรดิวเซอร์ของหนังชุดนี้ตัดสินใจที่จะสร้างหนังให้เขานำแสดงขึ้นมาสักเรื่อง บทราชาแมงป่องนี้คือบทแจ้งเกิดของเขา ทำไมถึงไม่สร้างหนังเรื่อง The Scorpion King ให้เขาไปเลยเล่า
ปัญหาคือ ใน The Mummy Return ตัวราชาแมงป่องคือ ราชาบ้าสงครามที่เป็นตัวร้ายอย่างชัดเจน จะทำยังไงให้เขาเป็นพระเอกได้ ทีมเขียนบทจึงตัดสินใจแล้วว่า จะเล่าย้อนกลับไปก่อนที่ตัวของราชาแมงป่องจะกลายมาเป็นวายร้ายแบบนี้ ต้องนำเสนอให้คนดูรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
บทหนังช่วงแรกจึงถูกวางเอาไว้โดยจะวางเรื่องราวให้ทุกอย่างดำเนินไปถึงตอนต้นของ The Mummy Return เพื่อคลี่คลายความสงสัยของแฟนๆ แต่ด้วยความที่เนื้อหามันรีบเร่งจนเกินไป จึงทำให้ต้องมีการแก้ไขบทใหม่เพื่อให้เนื้อหายังไม่ไปถึงตอนนั้นด้วยความคาดหวังว่าหนังจะทำเงินและกลายเป็นอีกแฟรนไชส์ทรงคุณค่าของสตูดิโอในอนาคตนั่นเอง
ผู้ที่ได้มากำกับหนังเรื่องนี้ก็คือ Chuck Russell ผู้กำกับหนังสยองขวัญในตำนานอย่าง A Nightmare on the elm street : Dream Warrior รวมทั้งหนังขายบันเทิงชื่อดังอย่าง The Mask แม้ว่าตัว The Rock เองจะ โด่งดังมากในวงการมวยปล้ำ ณ เวลานั้น แต่สำหรับวงการหนังแล้วมันน่าจะคนละเรื่องกันเลย เพราะแม้แต่ตัวผู้กำกับเองยังไม่รู้จัก The Rock มาก่อน แม้จะรับรู้ว่าเขาเป็นนักมวยปล้ำก็ตาม นี่จึงเป็นความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงที่จะปั้นให้เขาเป็นแอ็คชั่นสตาร์กับการรับบทนำในหนังเรื่องแรก
เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับที่ The Rock ในตอนนั้นเพิ่งคว้าแชมป์โลก Undisputed Champion มาได้หมาดๆ และ มีโปรแกรมขึ้นปล้ำในศึก Summerslam ปี 2002 พอดิบพอดี นั่นทำให้มีข่าวลือว่า The Rock จะอำลาวงการมวยปล้ำไปเป็นนักแสดง ส่งผลให้แฟนๆมวยปล้ำในเวลานั้นส่งเสียงโห่ใส่เขาด้วยความรู้สึกเหมือนโดนทรยศจากแชมป์ของพวกเขา นั่นเองที่เป็นสาเหตุทำให้เขาเสียแชมป์โลกให้กับดาวรุ่งมาแรงในตอนนั้นอย่าง Brock Lesnar ไป แล้วตัวเขาเองก็โดดไปเล่นหนังเรื่องนี้แทน
ที่สำคัญคือ นี่ส่งผลให้ WWE ก้าวเท้าสู่ธุรกิจการสร้างหนังด้วย เนื่องจากเจ้าของ WWE อย่าง Vince McMahon เห็นความสำเร็จของ The Mummy Return บวกกับการที่เขามองว่า สามารถนำสื่อสองสื่อมาเชื่อมโยงซึ่งกันและกันได้ในฐานะ Sport entertainment หรือ กีฬาเพื่อความบันเทิง ที่ไม่ได้มีแค่การปล้ำบนสังเวียน แต่ยังรวมไปถึงสื่ออื่นๆได้อีก นั่นนำไปสู่การก่อตั้ง WWE Studio ที่ผลิตหนัง หรือ แอนิเมชั่นที่ใช้นักมวยปล้ำในสังกัดมาเล่น โดยหนัง The Scorpion King นั้นก็คือการประเดิมออกทุนสร้างร่วมกับทาง Universal เรื่องแรกของ WWE นั่นเอง The Rock ได้รับค่าตัวจากหนังเรื่องนี้ที่ 5.5 ล้านดอลลาร์ นับว่าเป็นการเปิดตัวแสดงนำในหนังเรื่องแรกที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลกจนมันถูกบันทึกไว้ใน Guinness World Records กันเลยทีเดียว
มีเรื่องเล่าตลกๆ เกี่ยวกับความดังของ The Rock จากทั้งทีมงานและนักแสดงด้วยกัน อาทิ Michael Clarke Duncan ที่เคยนัดกินข้าวกับ The Rock นอกกองแล้วพบว่า คนเอาแต่สนใจ The Rock จนมีคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดของThe Rock ซะงั้น ทั้งที่เขาก็เคยเล่นหนังดังๆทั้ง Armageddon และ The Green Mile แต่ถึงจะโด่งดังสักแค่ไหน The Rock ก็ได้รับคำชมและพูดถึงตัวเขาว่า เป็นคนทำงานง่าย ไม่ได้มีอีโก้อะไรมากมาย เขาให้เกียรติทุกคนเสมอ แบบที่เคยเป็นในวงการมวยปล้ำ ซึ่งเขามีแต่คนรักไม่ได้มีใครเกลียดชังอะไรเขา แบบที่นักมวยปล้ำรุ่นพี่หลายคนเป็น
The Rock ระลึกถึงการเป็นนักมวยปล้ำของเขาต่อแฟนๆโดยการทำท่าเลิกคิ้วขึ้น ที่มันถูกเรียกว่า "The People's Eyebrow" ในฉากฮาเร็มเต็มไปด้วยสาวๆ The Scorpion King ออกฉายในปี 2002 พร้อมกับทุนสร้าง 60 ล้านดอลลาร์ก่อนทำเงินไป 180 ล้านดอลลาร์ นับว่าทำกำไรพอสมควร แม้จะถูกด่าจากนักวิจารณ์ไม่ใช่น้อย โชคดีที่หนังไปได้เงินตอนลงแผ่นดีวีดีอีก แต่ตัว The Rock ก็ได้ฉายแววของนักแสดงดังในอนาคตจากหนังเรื่องนี้
คงไม่ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นของเขาคือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และ พยายามของเขาในหนังเรื่องนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นอันน่าตื่นตาตื่นใจของอดีตเด็กหนุ่มจากเกาะซามัวคนนี้ ที่ได้ถากถางทางไว้ให้กับรุ่นน้องของวงการได้เดินตามรอย และได้สร้างคำนิยามใหม่ให้นักมวยปล้ำในวงการหนังว่า นักมวยปล้ำไม่จำเป็นต้องเล่นแค่หนังเกรดบีแบบสมัยก่อนอีกต่อไป
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ