Jason Statham จากเด็กที่แอบหนีพ่อไปฝึกมวย สู่ดาวบู๊แห่งยุค โดย ตั๋วร้อนฯ
Jason Statham มีคุณลักษณะภาพจำที่ส่งสัญญาณให้คนดูรับรู้ได้เลยว่าคุณจะเจออะไรในหนังที่เขานำแสดง เขาจะตื๊บผู้คนให้คุณดูอย่างบันเทิง ผู้ร้ายที่เขาจัดการจะมีสภาพไม่ต่างจากตุ๊กตาที่เขาจับเหวี่ยงไปมา , เขาจะขับรถชนใครสักคนให้คุณดู , เขาจะพูดสำเนียงอเมริกันแหม่งๆ และมีคำพูดตลกร้ายออกจากปากเสมอๆ สิ่งนี้เคยเกิดกับดาราใหญ่อย่าง Arnold Schwarzenegger , Sylvester Stallone และ Jean-Claude Van Damme มาแล้วในยุค 90 ถึงต้นยุค 2000 และคนอย่าง Jason Statham คือผู้มาแทนที่
หนุ่มบ้านๆจากไชร์บรูค ดาร์บีเชียร์ ประเทศอังกฤษ เติบโตมากับครอบครัวชั้นล่าง พ่อของเขาเป็นคนขายของตามริมถนน และแม่ของเขาเป็นนักเต้น ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์บีบบังคับให้เด็กชายเจสันต้องช่วยคุณพ่อทำงานหาเลี้ยงปากท้องไปวันๆจากการขายของริมถนน แต่ด้วยความทะเยอทะยานของเขาที่คิดแบบโง่ๆว่าเขาอยากเป็นนักกีฬาที่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว จึงตั้งใจหนีพ่อไปฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้ง คิกบ็อกซิ่ง และ ยิวยิตสู เพราะสิ่งนี้อาจจะทำให้วันหนึ่งเขาหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว พร้อมๆกับความมีเกียรติกว่าการเป็นคนขายของในตลาดแบบที่พ่อเขาเป็น
ชีวิตเด็กชายเจสันหักเหเมื่อได้สนิทสนมกับเพื่อนรักนักฟุตบอลดังอย่าง Vinnie Jones ผู้ซึ่งเป็นคนชักจูงเขาเข้าสู่วงการฟุตบอล เด็กชายเจสันมุ่งมั่นอยากเป็นนักฟุตบอลให้ได้อย่างที่ Vinnie Jones เพื่อนเขาเป็น เขาได้เข้าเป็นนักเตะเยาวชนในโรงเรียนมัธยมอย่างจริงจัง จนกระทั่งค้นพบพรสวรรค์ใหม่อีกอย่างนั่นคือการว่ายน้ำและดำน้ำ และนั่นเองที่ทำให้ Jason Statham หันเหชีวิตไปสู่การเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ จนก้าวสู่เป็นนักกีฬากระโดดน้ำทีมชาติในที่สุด สกิลความคล่องตัวของเขาได้จากการฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนหน้านี้นั่นเอง
เขาใช้เวลาทั้งสิ้น 12 ปีในทีมชาติอังกฤษ มีชื่อติดอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในฐานะนักกระโดดน้ำ และมีชื่อในรายชื่อนักกีฬาทีมชาติเพื่อจะไปลุยศึกโอลิมปิก 1990 แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาในกีฬาที่ไม่ได้ฮิตอะไรมากมาย ไม่เหมือนกีฬาฟุตบอลที่ทั่วโลกหลงไหล เขายังคงเป็นลูกคนขายของจนๆที่ต้องเจียดเวลาไปช่วยพ่อขายของอยู่
วันหนึ่งในขณะที่เขากำลังฝึกซ้อมที่ Crystal Palace National Sports Centre ในลอนดอน เขาถูกจับตาโดยแมวมองเอเจนซี่ที่หานายแบบไปถ่ายโฆษณาแบรนด์สินค้าเกี่ยวกับกีฬา ดีไซเนอร์ Tommy Hilfiger คือผู้ยื่นสัญญาให้เขาเป็นนายแบบให้แบรนด์ French Connection ซึ่งทางแบรนด์ต้องการผู้ชายทะมัดทะแมงที่ดูไม่เป็นดาราจนเกินไปนัก มาถ่ายแบบให้แบรนด์ของตน นั่นเองคือแสงสปอร์ตไลท์แรกที่กรุยทางให้ Jason Statham เข้าสู่โลกแห่งวงการบันเทิง ทว่าเขาเองก็ยังคงต้องเจียดเวลามานั่งขายของริมถนนแบบที่พ่อเขาเป็นอยู่ดี
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตคือการที่ Jason Statham ได้พบกับผู้กำกับหน้าใหม่ในขณะนั้นอย่าง Guy Ritchie ที่กำลังง่วนอยู่กับการหาคนมารับบท Bacon ในหนังอาชญากรรมทุนต่ำตม Lock , Stock and Two Smoking Barrels ของเขา ข้อเสนอเพียง 5000 ปอนด์ แลกกับการที่ Guy Ritchie ให้คำมั่นว่า นี่จะเป็นผลงานที่ทำให้นายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Jason Statham รับเล่นแค่เพราะเงินเท่านั้นเอง เพราะบทในหนังก็ไม่ต่างจากตัวตนจริงเท่าไหร่นัก ยังคงเป็นบทคนขายของกึ่งนักต้มตุ๋นข้างถนนเช่นที่เขาเป็น แต่เขาไม่รู้หรอกว่านั่นคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต เพราะหลังจากหนังเรื่องนี้เขาฉาย โลกก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ Jason Statham นักแสดงหนุ่มจากอังกฤษที่สำเนียงการพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอันเป็นเอกลักษณ์
แต่โลกก็ยังไม่ได้รู้จักเขาดีพอว่าเขาทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะศิลปะการต่อสู้ที่เขาร่ำเรียนและฝึกซ้อมเสมอๆ Jason Statham เล่นหนังของ Guy Ritchie อีกเรื่องคือ Snatch ในอีกสองปีต่อมา ด้วยค่าตัวที่เพิ่มขึ้นมาหน่อยเป็น 15,000 ปอนด์ แต่ความพิเศษคือหนังเรื่องนี้มีดาราดังอย่าง Brad Pitt ที่ยอมลดค่าตัวลงมาแจมด้วย เพราะชื่นชอบผลงานของ Guy Ritchie นั่นทำให้หนังเล็กๆกลายเป็นหนังที่โลกจับตาทันที ผู้เกี่ยวข้องหลักในหนังล้วนได้อานิสงส์จาก Brad Pitt กันหมด แต่ Jason Statham เองก็ยังคิดว่าเขาคงดังได้ไม่เท่าดาราอย่าง Brad Pitt อยู่ดี และมีความคิดที่จะใช้สกิลที่เขามีทั้งหมด หันไปเอาดีทางด้านการเป็นสตั๊นท์แมน ซึ่งเขาคิดผิดถนัด เพราะหลังจาก Snatch ออกฉาย แฟนๆหนังก็เริ่มรู้จัก Jason Statham นักแสดงหนุ่มอังกฤษจอมขโมยซีนมากขึ้น
จนกระทั่งเขาได้ไปทดสอบบทในหนัง Ghosts of Mars ที่จัดจำหน่ายโดยค่ายใหญ่อย่าง Sony Pictures ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ก้าวมาเล่นหนังที่สร้างโดย
Columbia Pictures ลูกหม้อของ Sony Pictures เรื่อง The One นั่นทำให้เขาได้มีโอกาสโชว์ศิลปะการต่อสู้ที่สั่งสมมาเพื่อหวดกำปั้นกับดาวดังกังฟูจีนอย่าง Jet Li หลี่เหลียนเจี๋ย จนเริ่มฉายแววความเป็นแอ็คชั่นสตาร์ที่ได้ทั้งหมัดมวยและการแสดงบทกวนตีน
และแล้วโอกาสในการนำแสดงเป็นพระเอกก็มาถึง ผู้กำกับดังอย่าง Luc Besson ได้มอบบทนำในหนังแอ็คชั่นมันส์ระเบิดระเบ้ออย่าง The Transporter ที่ได้เปิดโอกาสให้ Jason Statham ได้โชว์ลีลาบู๊ได้เต็มที่ ซึ่งฉากแอ็คชั่นมันส์ๆในเรื่องนี้เขาแสดงด้วยตัวเองกว่า 80% ของหนัง เป็นสกิลหมัดมวยที่หากย้อนกลับไปในวันที่เขาแอบพ่อของเขาหนีไปฝึก ตัวเขาเองคงไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาใช้มันในหนังของผู้กำกับหนังบู๊ที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอย่าง Luc Besson มันเป็นแค่ความคิดโง่ๆของเด็กคนหนึ่งที่อยากหนีจากชีวิตที่ข้นแค้น หรือเพราะโชคชะตาได้ลิขิตมันไว้แล้ว เพราะหลังจาก The Transporter ออกฉาย ชื่อของ Jason Statham ก็เข้าไปอยู่ในทำเนียบดาราสายบู๊ที่ผู้สร้างอยากคว้าตัวมาอยู่ในหนัง หากนึกถึงดาราที่ครบเครื่องสักคน
มีคนบอกว่าเขาเสียเวลาไปกับการไขว้คว้าโอกาสลมๆแล้งๆในทีมชาติอังกฤษถึง 12 ปี โดยที่ไม่ได้อะไรเลย เขาควรจะเป็นดารานักบู๊เสียตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ Jason Statham ตอบกลับไปว่า มันคือ 12 ปีที่คุ้มค่ามากๆ เพราะเขาได้รับการฝึกวินัย และความแข็งแกร่งทางร่างกายในแคมป์นักกีฬา จนทำให้เขาเป็นเขามาจนทุกวันนี้ และถึงแม้ว่าเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังมีเหล่าสตั๊นท์แมนที่ทำหน้าที่แทนเขาอยู่เบื้องหลัง นั่นเองทำให้เขามักออกมาพูดเป็นปากเป็นเสียงแทนอาชีพสตั๊นท์อยู่เสมอๆว่าควรจะมีรางวัลเกียรติยศให้อาชีพนี้ได้แล้ว
แม้จะมีผลงานที่ทั้งประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จปนเปกันไป แต่ Jason Statham ในปัจจุบันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในทำเนียบดาราที่สามารถทำรายได้ทะลุ 1.5 พันล้านใน Box office ไม่ว่าจะในบทบาทสมทบหรือดารานำ และเขาคือหนึ่งในนักแสดงที่มีค่าตัวต่อการแสดงหนังหนึ่งเรื่องไม่ต่ำว่า 10 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าสุทธิ 130 - 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมวลจากผลงานของเขาทั้งจากหนังที่เขานำแสดง และไปแจมกับดาราท่านอื่นเช่น Fast & Furious และ The Expendables ที่เรื่องหลังนั้นเขาได้ร่วมแสดงกับดาราที่เขานับถือที่สุดอย่าง Sylvester Stallone และปัจจุบันได้รับไม้ต่อให้เป็นผู้นำทีม Expendables ในภาคต่อๆไปที่กำลังจะถูกสร้างในอนาคต
แม้จะมีผลงานที่เขาเข้าไปมีบทบาทในหนังที่ใช้ CGI อยู่บ้าง แต่เขาก็มักปฏิเสธบทบาทในหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปหลายต่อหลายเรื่อง เหตุเพราะเขารู้สึกว่าการเล่นหนังที่ทำฉากบู๊จริงๆโดยไม่ต้องมีพลังวิเศษใดๆนั้นมันสนุกกว่า และเป็นของจริงกว่า และมันทำให้เขาเป็นเขาได้มาจนถึงทุกวันนี้
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ