หงจินเป่า ผู้เคยมีซีรีส์ฮิตในฮอลลีวูด และเคยปฏิเสธทำคิวบู๊ให้ Star Wars โดย ตั๋วร้อนฯ
หลายคนยังไม่ทราบว่า หงจินเป่า (Sammo Hung) ตำนานดาวบู๊ร่างตุ้ยนุ้ย เขาเคยมีซีรีส์ที่สร้างโดย CBS ของฝั่งอเมริกา ที่สามารถทำเรตติ้งได้สูงมาก แบบที่ผู้สร้างเองยังงงๆ ว่าซีรีส์ที่มีดารานำจากเอเชีย แถมเป็น หงจินเป่า ที่ฝรั่งมังค่าเองก็แทบไม่รู้จัก(พวกเขารู้จักแต่ บรูซ ลี กับ เฉินหลง) มันจะฮิตได้ขนาดนี้ แถมได้ฉายเวลาไพรม์ไทม์อีกด้วย ยุคนั้นไม่มีสตรีมมิ่ง จะดูต้องรอให้มันออนแอร์เท่านั้น
ซีรีส์เรื่องนั้นคือ Martial Law เป็นซีรีส์แอ็คชั่น-คอมเมดี้ที่ช่อง 7 เคยเอามาฉายช่วงบ่ายๆหลังเลิกเรียนหรือเวลาไหนซักเวลานี่แหละ ผู้เขียนเองก็เลือนลางเต็มที แต่จำได้ว่ามันสนุกมาก หมัดมวยกังฟูจีนในดินแดนตะวันตก ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เดิมทีบทตำรวจนักสืบ แซมโม่ จากเซี่ยงไฮ้ ที่จับพลัดจับผลูต้องได้ไปสืบคดีในแอล.เอ. ผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์ ถังจีลี่ (Stanley Tong) อยากได้เฉินหลงมานำแสดง โดยได้เปิดดีลกับทางผู้สร้างฝั่งอเมริกา Carlton Cuse ของช่อง CBS ว่าจะทำซีรีส์อ้างอิงจากหนัง Police Story 3: Super Cop หรือ วิงสู้ฟัด 3 นำมาขยายเรื่องให้เป็นมินิซีรีส์
แต่ปัญหาติดตรงที่ว่าเฉินหลงเขาไม่รับเล่นซีรีส์ ถังจีลี่ จึงได้เบนเข็มไปหา หงจินเป่า แทน ตามคำแนะนำของเฉินหลงที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักงิ้วด้วยกัน ในทีแรก หงจินเป่า ค่อนข้างหวาดหวั่นว่าจะทำได้ไม่ดี ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาอังกฤษ แต่ผู้สร้างคิดว่านั่นไม่ใช่อุปสรรค เพราะนี่คือซีรีส์การผจญภัยของคนจีนในเมืองฝาหรั่ง ที่ตัวละครเอกจะไม่พูดมาก คุยกันด้วยภาษามือตีนหมัดล้วนๆ
หงจินเป่า จึงรับงานนี้ในที่สุด แต่ต้องเป็นตามเงื่อนไขของเขาเองคือ เขาต้องการวางการทำงานฉากบู๊ให้เป็นสไตล์ฮ่องกงที่สุด เพราะเขาคิดว่าคิวบู๊ฝรั่งไม่น่าเหมาะกับซีรีส์ ผู้สร้างตกลงกันได้ด้วยดี ทีมงานสตั๊นท์จึงมีทั้งฝรั่งทั้งจีน วัดกันไปเลย ฉากขับรถขับลาพวกฝรั่งก็ทำกันไป แต่ฉากกังฟูตีต่อยพวกเราจัดกันเองตามสไตล์คุ้นเคย
ในเวลานั้นฝรั่งทึ่งคิวบู๊ของจีนมาก อิทธิพลจากซีรีส์ Martial Law คือส่วนหนึ่งที่ทำให้คิวบู๊จีน และผู้กำกับจากฝั่งฮ่องกงได้ไปทำงานในฮอลลีวูดกันหลายคน หยวนหวูปิง ได้ออกแบบคิวบู๊ให้ The Matrix , หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li) ก็ได้โกอินเตอร์ไปเล่น Lethal Weapon 4 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึง โจวเหวินฟะ กับ เฉินหลง เองก็ได้ตามไปติดๆ เพราะคิวบู๊สไตล์ฮ่องกงสนุกจนฝรั่งทึ่ง
ด้วยเสียงร่ำลือนี้เอง ทำให้ขณะนั้นผู้กำกับ George Lucas ถึงกับต้องส่งคนมาดูงานในกองถ่าย Martial Law เพื่อพิจารณาให้ หงจินเป่า ไปทำคิวบู๊ดวลดาบไลท์เซเบอร์ให้ Star wars ภาคใหม่ของเขา นั่นคือภาค Episode I: The Phantom Menace นั่นเอง แต่อาจารย์หงก็ได้ปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย แต่มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ขณะที่ทีมงาน George Lucas ไปดูงาน พวกเขาตื่นเต้นมาก แล้วบอก "โอ้โห... คนจีนแม่งบินได้ว่ะ" อาจารย์หงจึงบอกกลับไป " คนอเมริกันมี Superman เพียงคนเดียว แต่ในประเทศจีนเราทุกคนล้วนเป็นซุปเปอร์แมน! " ด้วยเหตุนี้เอง ฝรั่งจึงพากันทึ่งอึ้งรับประทานตอนที่ หลี่อัน (Ang Lee) ทำฉากเหาะเหินใน Crouching Tiger, Hidden Dragon โดยไม่ใช้ CGI
และเมื่อ Martial Law ประสบความสำเร็จอย่างดี ทำเรตติ้งพุ่งกระฉูด แทนที่จะได้ไปต่อด้วยทุนสร้างที่ใหญ่ขึ้น แล้วมีการต่อยอดไปเป็นหนังฉบับ The Movie เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในสตูดิโอ และเป็น Lee Goldberg กับ William Rabkin เข้ามาดูแลแทน พวกเขากลับลดทอนส่วนต่างๆลง แถมเขียนบทให้ตัวละครของ หงจินเป่า มีบทบาทดร็อปลงในซีซั่น 2 หงจินเป่าจึงไม่ต่อสัญญา เพราะเมื่อเขาได้อ่านบทแล้วเหมือนโดนดูถูก บทนั้นเขียนขึ้นมาเหมือนทำให้นักสืบแซมโม่เป็นแค่เครื่องจักรต่อสู้
และอีกเหตุผลที่หงจินเป่าขอแยกทางคือ เขาเสนองบไปตอนละ 2 ล้านดอลลาร์ แต่สตูดิโอไม่สามารถให้ได้ ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือ ทีมงานสตั๊นท์แมนของหงจินเป่าต้องออกจากโปรเจ็กต์หอบเสื้อผ้ากลับบ้าน เพราะทีมงานฝรั่งได้เรียนรู้งานสตั๊นท์แบบฮ่องกงสไตล์หมดแล้วจากสองซีซั่นที่ผ่านมา อาจารย์หงบอก งั้นก็ไม่ต้องสร้าง เขาจึงโบกมือลาหนีกลับฮ่องกงไปทำหนังบ้านตัวเองดีกว่า และไม่สนใจฮอลลีวูดอีกเลย ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นอีกเหตุผลที่หงจินเป่าได้ปฏิเสธที่จะทำคิวบู๊ให้ Star wars รึเปล่า
หงจินเป่า นอกจากจะเป็นนักแสดงที่ทรงพลัง เป็นคนออกแบบคิวบู๊ที่เก่งกาจแล้ว เขายังเป็นนักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เวลาเขาไปรับเล่นหนังแบบไม่ได้มีหน้าที่ในทีมสตั๊นท์ เขาก็ยังต้องช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ทีมงานเรื่องนั้นๆตลอด บางคนก็หาว่าเขาแทรกแซงงาน แต่จริงๆคือเหมือนเห็นแล้วหงุดหงิดเสียมากกว่า จึงจำเป็นต้องลงไปช่วยแม่งซะเลยให้มันจบๆ รีบถ่ายจะได้รีบกลับบ้านไปจิบ
และหากใครยังไม่ทราบ หงจินเป่า เป็นผู้ออกแบบฉากต่อสู้ในตรอกเล้าหมูของหนัง Kung Fu Hustle คนเล็กหมัดเทวดา เป็นฉากที่เปิดเผยว่าสามผู้อาวุโสที่ดูเหมือนจะไม่เอาไหน แท้จริงเป็นอาจารย์ที่เก่งกังฟูกันหมดนั่นเอง จะเห็นได้ว่าเป็นฉากที่ดุดันมาก ต่างจากฉากงดงามอ่อนช้อยของ หยวนหวูปิง ที่ก็เป็นผู้กำกับคิวบู๊หลักให้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขามีลายเซ็นชัดเจนมากทั้งคู่ โจวซิงฉือ จึงนำพวกเขามาผนวชกันในหนังของเขา
อีกสิ่งที่ควรทราบคือ หงจินเป่า ไม่ค่อยรับเล่นบทร้าย ถ้าไม่นับรวมผลงานสมัยยังไม่ดังที่ต้องไปเล่นบทลิ่วล้อให้พระเอกอย่าง บรูซ ลี เตะเล่น เขาก็ไม่เล่นบทร้ายเลย เพราะหงจินเป่าคิดว่าในโลกนี้พระเอกอ้วนตุ้ยนุ้ยที่เก่งหมัดมวย มีแค่เขาคนเดียวในโลกแน่นอน ไม่มีใครเลียนแบบได้
แต่เมื่อแก่ตัวมาเขาก็ยอมรับเล่นเป็นตัวร้ายในหนังของ เจิ้นจื่อตัน (Donnie Yen) เรื่อง SPL นั่นเพราะเป็นการให้เกียรติรุ่นน้องที่เขาชื่นชมฝีมือฝีตีนคนหนึ่ง และอยากส่งเสริมให้โด่งดัง ผู้เขียนบทจึงตั้งใจบรรจงเขียนบทให้หงจินเป่าออกมาเป็นตัวร้ายที่มีมิติ การซื้อใจกันครั้งนี้ ทำให้ หงจินเป่า ได้เครดิตกำกับคิวบู๊ร่วม และก็ได้มาทำคิวบู๊ให้ Ip Man ยิปมัน ภาคแรกนั่นเอง อาจารย์หงบอกว่า ชีวิตนี้ทำหนังมวยหย่งชุนมาแค่สองเรื่องคือ Warriors Two ไอ้กบหมัดบันลือโลก และ Prodigal Son ไอ้หนุ่มเหลือขอ แต่เป็นมวยหย่งชุนโบราณที่ไม่ตื่นเต้นเท่าใดนัก ส่วน Ip Man ยิปมัน อาจารย์หงบอกว่า คิวบู๊ต้องมันส์และทันสมัย นี่เป็นหนังย้อนยุคที่จะมีคิวบู๊ทันสมัย เราจึงได้เห็นหมัดรัวมันส์ๆของอาจารย์ยิปอย่างที่เห็นกัน
หงจินเป่า กลับมาใน ยิปมัน ภาค 2 และนอกจากจะเป็นผู้ออกแบบคิวบู๊แล้ว เจิ้นจื่อตัน ได้ขอให้หงจินเป่าเล่นเป็นอาจารย์หงชุนนัม ซึ่งจะมีความเป็นตัวโกงในแรกเริ่ม แต่มีความเป็นวีรบุรุษในช่วงหลัง ฉากไฮไลท์สุดๆคือการสู้บนโต๊ะ ซึ่งอาจารย์หงได้แรงบันดาลใจจำลองการดวลแบบโบราณ ซึ่งปรกติด้านล่างโต๊ะจะมีมีดแหลม ใครตกลงไปคือตาย แต่เขาบอกว่าในยิปมันเป็นแค่การประลองหยั่งเชิงกันของ อ.ยิป กับ อ.หง มีแค่เก้าอี้ก็พอ แต่ปัญหาหนักๆเลยคือโต๊ะที่ใช้ถ่ายนั้นมันลื่นมาก แล้วในการถ่ายมันต้องใส่รองเท้าเจ๊กแบบโบราณ ก็อย่างที่ทราบกันว่าหงจินเป่าคือนักแก้ปัญหาชั้นเซียนอยู่แล้ว หงจินเป่าจึงให้คนไปซื้อโค้กหลายๆขวดมาราดให้พื้นโต๊ะเหนียวพอที่จะให้รองเท้าเกาะได้ แน่นอนว่าได้ผลทันตาเห็น วันนั้นการถ่ายเหนียวมาก แต่ก็ถ่ายกันได้จนจบแบบไร้ที่ติ เพราะโค้กของจารย์หงนี่เอง
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ