ณเดชน์ ค่าตัวสูงพรวดจนกลัวตกงาน
ยังคงครองตำแหน่งหนุ่มฮอตได้อยู่ สำหรับ ณเดชน์ คูกิมิยะ ไม่ว่าจะเป็นงานละครที่มีติดต่อเข้ามามากมาย ถึงขนาดผู้จัดต้องแย่งคิวกันเลยทีเดียวทำเอาณเดชน์ถึงกับกดดัน ในขณะที่งานอีเว้นต์ก็มีไม่ว่างเว้นเอาเสียเลย ส่งผลให้ค่าตัวของณเดชน์ติดเทอร์โบขยับสูงขึ้นปรี๊ดเฉียดหลักแสนกว่าบาท เทียบเท่าดาราสาวเซ็กซี่รุ่นพี่อย่าง "อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ" เรียกว่าดังแล้วโอกาสมาเยือนก็เลยต้องขอเพิ่มค่าตัว ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของดาราดังในยุคนี้
"ค่าตัวของผมก็เท่าเดิมครับไม่ได้เยอะมากมาย คือ พี่เอ ศุภชัย เป็นคนดูหมดเลยนะเรื่องเงิน ผมไม่เคยเอ่ยปากขอร้องว่านี่มันมากเกินไปน้อยเกินไปหรือเปล่า ผมไม่เคยพูด เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก แต่พอมีข่าวออกไปอาจจะทำให้ผมถูกมองในแง่ไม่ดีหรือมองว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า ผมว่าเป็นธรรมดาของวงการ ช่วงหนึ่งจะมีแบบที่ว่าสมมติเราอยู่ประมาณนี้แล้ว เราสามารถเรียกค่าตัวได้แต่ผมไม่ได้เป็นคนเรียก ผู้ใหญ่เป็นคนเรียกให้ไงครับ ผมตอบได้เลยผมไม่ได้เป็นคนเรียกร้องอะไรเลยเวลาไปทำงาน แต่จะเป็นผู้ใหญ่หรือช่างหน้าช่างผมช่างภาพ จะมีคนที่ดูแลผมคอยจัดการให้"
พอมีข่าวออกมาทำให้ภาพเราเสียมั้ย
"ยังไงเราก็รู้ตัวเราเองดีที่สุด ซึ่งไม่มีใครเข้าใจเราอยู่แล้วนอกจากตัวเราเอง แต่ก็ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ผมก็คิดมากเหมือนกันเรื่องข่าว จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนเสพข่าวแต่บางทีได้ยินคนเล่ามาหรือดูจากทีวี ซึ่งแม่ก็จะบอกเสมอว่ามีอะไรมาก็ยิ้มรับอย่างเดียว"
ค่าตัวสูงขึ้นปรี๊ดขนาดนี้บางคนก็ยอมสู้แต่บางคนก็ไม่สู้
"ผมก็กลัวเหมือนกันนะ เพราะมูลค่าเงินก็เยอะ แต่ลูกค้าบางคนโอเค.กับราคานี้ แต่ผมก็ไม่ใช่ว่าจะได้ราคาแบบนี้ทุกงานนะ แล้วเวลาที่ผมไปงานผมก็ทำเยอะเลยครับ อย่างไปต่างจังหวัดก็ร้องเพลงสามเพลง ถ่ายรูปกับผู้บริหาร ถ่ายรูปกับแขกที่มาร่วมเล่นเกม ผมว่าราคาแค่นี้ก็พอแล้วนะถ้ามากกว่านี้คงไม่ไหว ส่วนเรื่องคิวละครผมไม่อยากเอามาคิด เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ผมไม่ได้มีส่วนอะไรก็มีหน้าที่รับบทมาเล่นเท่านั้นและไม่ว่าเป็นใครผมอยากรับเล่นหมด แต่พี่เอกับผู้ใหญ่ทางช่องดูบทให้ อีกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาว่างของผมด้วย ตอนนี้ผมมีเรียนแค่วันพฤหัสวันเดียว นอกนั้นติดถ่ายละครหมดเลย"
ดังเร็วกลัวไปเร็วเพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้อยู่ตรงนี้ได้นานๆ
"ผมว่าถึงเวลามันก็ต้องไปเอง ผมก็คงจะไปทำอย่างไปเรียนมากขึ้น หรือทำอะไรอย่างอื่นโดยที่ผมไม่ได้เสียดายโอกาสถ้าไปเร็วเพราะมันคุ้มมากแล้ว แต่ผมว่าเราควรทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย แต่เป็นเรื่องที่ยากเพราะบางคนก็หลง ผมเองบางทีก็หลงอะไรอย่างนี้แต่พอเรารู้แล้วว่าเราเป็นอย่างนี้เราก็จบมันซะ เหมือนรู้ในสิ่งที่เราเป็นรู้ในจุดที่เรายืนอยู่ หันกลับไปมองข้างหลังเหมือนเดินถอยหลังให้เห็นสิ่งที่อยู่เมื่อก่อนนั้นครับ"