ควันหลง Avatar 3D
ขึ้นต้นไว้ว่าควันหลง แต่ถึงตอนนี้กระแสความร้อนแรงของหนังแห่งปีตัวจริงเสียงจริงอย่าง Avatar ก็ยังไม่น่าจะมอดลงง่ายๆ โดยเฉพาะในบ็อกซ์ออฟฟิศที่ทำลายสถิติกันเป็นว่าเล่นตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ชนิดที่ว่าลุ้นกันวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นกันมานานนับตั้งแต่ Titanic ออกฉายโน่นเลย เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องกังขาในฝีมือของ The King of the World อีกต่อไปแล้ว
แม้ยังมีอีกหลายคนค่อนขอดว่า การที่หนังทำเงินถล่มทลายได้ขนาดนี้เป็นเพราะว่าค่าตั๋วของโรง Imax และโรงดิจิตอล 3 มิติ แพงแบบเล่นเอากระเป๋าคนดูฉีกซะขนาดนั้น จะไม่ให้โกยเงินได้ยังไง เทียบอะไรกับหนังเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ค่าตั๋วยังถูกแสนถูกไม่ได้เลย ยิ่งถ้าปรับอัตราเงินเฟ้อ หรือนับจำนวนตั๋วที่ขายได้ Avatar ยังไม่ติดอันดับ Top 10 ด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่าหนังในอดีตยังไม่ต้องเจอกับปัญหาเทปผีซีดีเถื่อน หรือบิตเกลื่อนอินเตอร์เน็ต แต่ไม่ว่าจะเถียงกันอย่างไร ถ้าหนังไม่ครองใจผู้ชมส่วนใหญ่ก็คงไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้ง่ายๆ แน่นอน
แต่ที่แน่ๆ ผลลัพธ์ที่จะตามมาแน่นอนหลังจากนี้ก็คือ การแพร่หลายของเทคโนโลยี 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนัง หรือโรงภาพยนตร์ ไปจนถึงโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ จนน่าจะกลายเป็นเรื่องปกติสามัญในอีกไม่ช้านี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงตอนนั้น เรามาดูกันว่า Avatar ได้สร้างกระแสอะไรให้กับก้าวแรกของโลก 3 มิติยุคใหม่บ้าง
หนังรีเมค 3 มิติ?
ครั้งหนึ่งลุง เจมส์ คาเมรอน แกเคยเปรยๆ ไว้ว่า ในอนาคตถ้าวงการ 3 มิติก้าวไปไกลถึงจุดที่เหมาะสมเขาก็อยากเอาผลงานของตัวเองในอดีตอย่าง Titanic กลับมาทำใหม่ในรูปแบบ 3 มิติเหมือนกัน เมื่อดูผลตอบรับจาก Avatar แล้ว ความคิดนี้ก็น่าจะเป็นความจริงได้ไม่ยากนัก เพราะนับจากนี้ไปโรงหนัง 3 มิติทั้งในอเมริกาและทั่วโลกคงผุดขึ้นราวดอกเห็ด เพื่อเตรียมรองรับหนัง 3 มิติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่าอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้านี้ โรงหนัง 3 มิติจะกลายเป็นมาตรฐานของโรงหนังมัลติเพล็กซ์ทั่วไป และถึงตอนนั้นเราคงได้เห็นหนังเก่าๆ อีกหลายเรื่องขึ้นโปรเจกต์มารีเมคเป็น 3 มิติ และหนึ่งในนั้นน่าจะมีมหากาพย์แห่งสงครามอวกาศอย่าง Star Wars ของ จอร์จ ลูคัส รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
หลายคนอาจจะเริ่มตั้งแง่ว่าแล้วการนำเอาหนังเก่ามารีเมคเป็น 3 มิติมันจะทำให้หนังสูญเสียความคลาสสิกไปหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าลูคัสเคยจับเอา Star Wars ไตรภาคแรกของตัวเองมาทำซีจีใหม่ลงโรงฉายอีกรอบไปตั้งแต่ปี 1997 แล้ว เท่านั้นไม่พอยังเอามายำอีกทีตอนออกเป็น
ดีวีดีครั้งแรกในปี 2004 (อย่างเช่นใส่หน้า เฮย์เดน คริสเตนเซ่น!?) ถ้าลุงแกคิดจะจับเอามาทำอีกรอบก็คงไม่มีใครว่าอะไรแล้ว
จอร์จคงไม่พลาดแน่คราวนี้ โอกาสที่เขาจะระเบิดเดธ สตาร์ให้สมจริงยิ่งกว่าเดิมมาถึงแล้ว วงในของลูคัสฟิล์มคนหนึ่งกล่าว
แต่ใครจะให้คำตอบได้ดีเท่ากับเจ้าตัว ถึงตอนนี้ลูคัสยังไม่กระโดดเข้าร่วมวงหนัง 3 มิติ ต่างกับเพื่อนซี้ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ลงเรือไปกับ Tintin เรียบร้อยแล้ว ผมยินดีกับเจมส์ คาเมรอนที่เขาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้สำเร็จ ที่ผ่านมาผมไม่ใช่แฟนหนัง 3 มิติ แต่กับ Avatar มันเป็นการเริ่มต้นที่งดงามมาก ลูคัสกล่าว ที่ผ่านมาปีแล้วปีเล่า เราเฝ้าคอยที่จะนำ Star Wars กลับมาทำในแบบ 3 มิติ แต่ตอนนั้นมันยังไม่มีทางเป็นไปได้ ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว
ปัจจุบันบริษัทที่มีศักยภาพมากพอจะเรนเดอร์หนังจากแผ่นฟิล์มให้กลายเป็นดิจิตอล 3 มิติ มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ Legend Film ที่ บ็อบบี้ เจฟฟ์ ประธานของบริษัทบอกว่าตอนนี้หลายสตูดิโอเริ่มยกหูโทรศัพท์โทรมาหาเพื่อพูดคุยถึงการทำหนังรีเมค 3 มิติกันแล้ว
ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เราสามารถทำหนังเก่าให้กลายเป็นหนัง 3 มิติได้ภายในเวลา 16 สัปดาห์ เจฟฟ์เปิดเผย มันอาจจะดูเหมาะกับหนังแอ็คชั่นเสียมากกว่า อย่างเช่น Top Gun หรือ The Matrix แต่ Avatar ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการพาผู้ชมเข้าหาตัวหนังจะน่าทึ่งกว่าการโยนตัวหนังออกมาใส่ผู้ชม นี่แหละคือวิวัฒนาการของหนัง 3 มิติยุคใหม่
สำหรับค่าใช้จ่ายในการแปลงหนัง 2 มิติให้กลายเป็น 3 มิติ จะตกอยู่ที่ประมาณ 10-15 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าไม่สูงเกินไปสำหรับสตูดิโอเงินถุงเงินถังหลายแห่ง แถมต้นทุนการฉายในแบบดิจิตอลก็อปปี้ก็ยังต่ำกว่าการฉายแบบฟิล์ม โอกาสได้กำไรจากการฉายใหม่จึงมีสูงมาก อย่าง Toy Story ทั้ง 2 ภาคที่ลงโรงฉายในแบบ 3 มิติเมื่อปีที่แล้วก็ยังทำเงินไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์
3D@Home
เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาพัฒนาเทคโนโลยี 3 มิตินานเป็นปีๆ ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับมัน โดยมีจุดประสงค์คือต้องการดึงผู้ชมให้กลับมาเข้าโรงหนังอีกครั้ง เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของโฮมเอนเตอร์ว่าจะเป็นทีวี Hi-Def, บลูเรย์ กับชุดโฮมเธียร์เตอร์ดีๆ สักชุด ก็ทำเอาหลายคนไม่อยากออกจากบ้านไปเข้าโรงหนังอีกเลย แม้ Avatar จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการดูหนังในโรงนั้นอารมณ์มันช่างต่างกับดูอยู่กับบ้านโดยสิ้นเชิง แต่เทคโนโลยีโฮมฯ ก็ไม่วายไล่ตามก้นกันมาติดๆ
ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัย เซาเทิร์น แคลิ ฟอร์เนีย (USC) ออกมาว่า หลังจากได้ดู Avatar ในแบบ 3 มิติแล้ว ผู้ชมกว่า 40 เปอร์เซ็นต์อยากกลับมาดูหนัง 3 มิติอยู่กับบ้านด้วยเช่นกัน อีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็นสิ่งที่ต้องมีเลยล่ะ
เดวิด เวอไทเมอร์ จาก USC ให้ความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3 มิติของโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์
แล้วก็ไม่ต้องรอกันนาน เพราะในงาน Consumer Electronics Show (CES 2010) ที่ลาส เวกัส เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้ง Sony, Panasonic ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น และ LG, Samsung คู่แข่งจากเกาหลี รวมทั้งฝั่งยุโรปอย่าง Philips เปิดตัวทีวี 3 มิติกันไปเรียบร้อยแล้ว และเตรียมวางขายเพื่อต้อนรับการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้กลางปีนี้ ซึ่งจะถ่ายทอดเป็นระบบ 3 มิติด้วยเช่นกัน
โดยช่องทีวีเจ้าแรกที่จะปล่อยสัญญาณแบบ 3 มิติก็คือ Sky แม้ว่าภายในปีนี้น่าจะมีไม่กี่บ้านที่มีโอกาสเป็นเจ้าของทีวี 3 มิติก็ตาม แต่ทาง Sky ยังบอกว่าตอนที่เริ่มปล่อยสัญญาณแบบ HD ครั้งแรกในปี 2006 ก็มีไม่กี่บ้านที่มีทีวี HD เช่นกัน สถานการณ์มันคล้ายกับตอนนั้น แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะอีกไม่นานทีวี 3 มิติก็จะเริ่มแพร่หลาย หนึ่งในผู้บริหารของ Sky กล่าว (ส่วนบ้านเรายังไม่ต้องพูดถึง 3 มิติ แค่รอให้เคเบิ้ลทีวีเจ้าใหญ่ปล่อยสัญญาณแบบ HD ก็เหงือกแห้งแล้ว)
ทางด้านบลูเรย์ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน ล่าสุดทาง Blu-ray Disc Association ประกาศออกมาแล้วว่าบลูเรย์แบบ 3 มิติกำลังจะออกมาให้ยลโฉมกันเร็วๆ นี้แน่นอน โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาเพื่อให้รองรับกับทีวี 3 มิติ รวมทั้งกำหนดสเปคสำหรับเครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นใหม่ที่จะออกในอนาคต และยืนยันว่าจะทำงานร่วมกับเครื่องเล่น PlayStation 3 ได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับข้อดีอีกอย่างของหนัง 3 มิติที่สตูดิโอชื่นชอบก็คือ สามารถลดปัญหาแผ่นก็อปได้ในระดับหนึ่ง เพราะยังไม่มีใครคิดค้นกล้องแอบถ่ายหนัง 3 มิติได้ (สังเกตว่าไม่มีการตรวจกระเป๋าตอนเข้าโรง 3 มิติ) แม้ Avatar จะกลายเป็นหนังที่ทำลายสถิติการดาวน์โหลดสูงสุดตลอดกาลของเว็บบิตหลายแห่ง แต่ก็เป็นในเวอร์ชั่น 2 มิติธรรมดาที่ไม่อาจเทียบได้กับเวอร์ชั่น 3 มิติ
ก่อนที่จะมีใครคิดค้นกล้องเพื่อมาขโมยถ่ายหนัง เรายังมีเวลาอีกสักพักเพื่อโกยเงินจากหนัง 3 มิติ เราจึงต้องรีบคว้าโอกาสนี้ ผู้บริหารของสตูดิโอแห่งหนึ่งกล่าว
อนาคตของ Imax
นับตั้งแต่โรง Imax ถือกำเนิดมาหลายสิบปี คงไม่มีปีไหนที่จะทำรายได้สูงสุดเท่าปีที่ผ่านมาอีกแล้ว แค่หนังซัมเมอร์อย่าง Star Trek, Transformers: Revenge of the Fallen, Harry Potter and the Half-Blood Prince ก็ทำสถิติกันเป็นว่าเล่น แล้วยังมีของจริงช่วงปลายปีอย่าง Avatar ที่ทำลายสถิติเปิดตัวสูงสุดของ Imax ด้วยรายได้ 9.5 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก
ปัจจุบันโรง Imax ที่มีอยู่ประมาณ 300 แห่ง ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก กำลังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากมีหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องหันมาลงโรงฉายในเวอร์ชั่นไอแม็กซ์มากขึ้น ในปี 2009 ที่ผ่านมามีทั้งหมด 12 เรื่อง เพิ่มจากปี 2008 ที่มีเพียง 7 เรื่อง ทำให้ราคาหุ้นของ Imax ในตลาดแนสแด็กพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 14.60 ดอลลาร์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สิ่งที่ Avatar ทำได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย มันจะเป็นประโยชน์ต่อหนังเรื่องอื่นๆ ที่จะลงโรงฉาย Imax ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เจมส์ มาร์ช นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นจาก Piper Jaffray ให้ความเห็น
แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของการที่ Avatar สร้างมาตรฐานเอาไว้สูงคือ หนังเรื่องต่อไปที่จะฉายในโรง Imax มีโอกาสทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะคาดหวังไว้ว่าจะได้รับประสบการณ์อันตื่นตาตื่นใจแบบเดียวกัน และหนังเรื่องแรกที่จะฉายต่อจาก Avatar ก็คือ Alice in Wonderland เวอร์ชั่น 3 มิติของ ทิม เบอร์ตัน ที่จะฉายในเดือนมีนาคม (แต่บ้านเราคือ Cloudy with a Chance of Meatballs) ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ของโรง Imax ในปีนี้
ทางด้านซีอีโอของไอแม็กซ์ ริช เกลฟอนด์ ก็ยังบอกว่าตลาดของ Imax ในปัจจุบันที่แม้จะไม่ได้หวังพึ่งแค่ Avatar เพียงเรื่องเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนให้ประสบการณ์ได้เท่าเทียมกับเรื่องนี้ในอนาคตอันใกล้ หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นบาร์สูง ที่ไม่ได้โหนถึงง่ายๆ เกลฟอนด์ว่า แต่ Imax เพิ่งจะผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาหมาดๆ ส่วนอนาคตเป็นเรื่องที่ต้องคอยจับตาดูกันต่อไป
ส่วนหนังเรื่องอื่นๆ ที่มีกำหนดจะฉายในโรง Imax ปีนี้มีแต่หนังการันตีรายได้ทั้งสิ้น หลัง Alice in Wonderland ก็จะตามมาด้วย How to Train Your Dragon แอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของดรีมเวิร์ค และถล่มซัมเมอร์ด้วยหนังภาคต่ออีกเป็นชุดทั้ง Iron Man 2 (2D), Shrek Forever After (3D), Toy Story 3 (3D), The Twilight Saga: Eclipse (2D) หนังใหม่ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ส่วนช่วงปลายปีก็มี Harry Potter and the Deathly Hallows Part I (ที่น่าจะมี 3D มากกว่าภาคก่อน) และปิดท้ายด้วย Tron Legacy ที่ว่ากันว่าจะสร้างประสบการณ์ใหม่ในโลก 3 มิติได้ไม่แพ้ Avatar เลยทีเดียว
อาการปวดหัวหลังดูหนัง 3 มิติ
ปิดท้ายกันด้วยเรื่องที่หลายคนอาจจะเคยเป็นระหว่างดู หรือหลังดูหนัง 3 มิติจบ นั่นก็คืออาการปวดตา หรืออาจถึงขั้นปวดหัว เพราะประสบการณ์ 3 มิติต้องแลกมาด้วยการทำงานของสายตาที่ผิดจากธรรมชาติ และยังไม่นับรวมถึงการต้องเพ่งอ่านซับไตเติลจางๆ ที่สุดแสนจะอ่านยากในโรง Imax บ้านเรา (อันนี้แอบบ่นนอกเรื่อง)
แพทย์ด้านสายตาหลายคนได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการดูหนัง 3 มิติว่า อาจจะทำให้หลายคนที่มีปัญหาทางด้านสายตาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ถึงกับเป็นปัญหาต่อการดำเนินชิวิต เกิดอาการปวดหัวได้ ทุกวันนี้มีผู้คนหลายคนมีปัญหาสายตา และอาจไม่จำเป็นต้องรักษา ดร.ไมเคิล โรเซนเบิร์ก ศาสตราจารย์ด้านจักษุวิทยาจาก Feinberg School of Medicine ใน ชิคาโก้กล่าว แต่ถ้ามาดูหนัง 3 มิติ อาจจะส่งผลต่อระบบสายตา และอาการปวดหัวจะตามมาได้ง่ายๆ
เราจะเห็นภาพเป็น 3 มิติเมื่อเข้าสู่กระบวนการแปลในสมอง ดร.เดบอราห์ ฟรีดแมน ศาสตราจารย์ด้านจักษุวิทยาจากสถาบัน Rochester Medical Center ในนิวยอร์กออกมากล่าวเสริมบ้าง ภาพที่เราเห็นเป็น 3 มิติบนจอหนังจะไม่สอดคล้องกับการทำงานของสายตาและสมองของคนเรา และในระหว่างดูถ้าเราละสายตาเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้สมองต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อปรับภาพให้ชัดเจน กรณีนี้แหละที่จะทำให้หลายคนเกิดอาการปวดหัวในระหว่างดู
ส่วนผู้เชี่ยวชาญอีกคนคือ ดร.จอห์น เฮเกน จาก American Academy of Ophthalmology ก็บอกว่าบางคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตาไม่สมดุลย์กัน อาจจะถึงขนาดดูภาพเป็น 3 มิติไม่ได้เลย เพราะสายตาจะมองไปยังวัตถุเดียวกัน พร้อมๆ กันไม่ได้
แม้ว่าจะยังไม่มีงานศึกษาอย่างเป็นทางการชิ้นไหนที่บ่งบอกว่า การดูหนัง 3 มิติส่งผลต่ออาการปวดหัวโดยตรงหรือไม่ แต่ ริค ไฮน์แมน โฆษกของ RealD บริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี 3 มิติในโรงหนังทั่วอเมริกากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังยอมรับว่า อาหารปวดเศียรเวียนเกล้าคลื่นไส้อาเจียนของคนดู ยังเป็นปัญหาใหญ่ของหนัง 3 มิติที่ยังแก้ไม่ตก
ผู้ชมบางส่วนมักจะบ่นอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับอาการปวดตา หรือปวดหัว สาเหตุหลักมาจากเครื่องฉายแบบเก่า ไฮน์แมนกล่าว ซึ่งเครื่องฉายหนัง 3 มิติแบบเก่าจะมีเครื่องฉาย 2 เครื่องฉายพร้อมๆ กัน เครื่องหนึ่งสำหรับตาซ้าย อีกเครื่องสำหรับตาขวา สำหรับเทคโนโลยีใหม่ของ RealD จะใช้เครื่องฉายเพียงเครื่องเดียว แต่ด้วยเครื่องฉายแบบใหม่ ปัญหานี้น่าจะลดน้อยลง
แต่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาก็ยังแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทางฝั่งดร.ฟรีดแมนบอกว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่มีปัญหาสายตาก็จะไม่มีปัญหากับการดูหนัง 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็นในโรง หรือกับทีวีที่บ้าน แต่ทางฝั่งดร.โรเซนเบิร์กกลับเห็นว่า ผู้ชมจะตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่นี้ได้ไม่นาน ก่อนจะเริ่มเบื่อไปเองเพราะอาการปวดตา
ผมคิดว่ามันก็ยังเป็นกิมมิคเหมือนเดิม ผู้คนอาจจะบอกว่าหนัง 3 มิติน่าตื่นเต้นดี แต่ขณะเดียวกันก็ยังบ่นว่ามันไม่สบายตาเอาซะเลย