วิจารณ์ภาพยนตร์ Resident Evil 3 : Extinction
ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาจากเกมนั้นยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำออกมาแล้วได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม ส่วนใหญ่จะถูกวิจารณ์ในแง่ลบกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะงานจากฝีมือการกำกับฯ ของ "อูเว โบลล์" ที่ทำมาแต่ละเรื่องนี้ คอหนังร้องยี้กันทั่วหน้า เช่น "Alone in the Dark" , "House of the Dead" และ "Bloodrayne" เป็นต้น ขณะที่หนังเรื่องแรกๆ ที่สร้างมาจากเกมนั้นก็เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยสวยนัก อย่าง "Super Mario Bros." หรือ "Street Fighter"
ซึ่งถ้าดูกันตามสถิติจริงๆ แล้วหนังประเภทนี้ทำมาเพื่อหลอกเอาเงินจากแฟนๆ ที่ติดตามกันมาจากสมัยที่เล่นเกมเป็นหลัก แม้ว่าจะโดนกระหน่ำด่า แต่ก็ทำรายได้ไม่เลวเลยไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ถูกนำมาสร้างกันอย่างต่อเนื่องแบบนี้ หนังจากเกมเรื่องต่อไปที่มีคิวจะออกฉายก็คือ "Hitman" ซึ่งจะไปได้ดีแค่ไหนก็ต้องมาลุ้นกันละครับ
น่าสังเกตว่าหนังที่สร้างจากเกมส่วนใหญ่เลือกเอาเกมแนวซอมบี้ สยองขวัญ น่ากลัวๆ มาทำ อาทิ "Silent Hill" หรืออย่าง "Resident Evil" ขณะที่หนังที่สร้างจากเกมแอ็กชั่นนั้นจะถูกมองไปในแง่ที่ไม่จริงจัง เช่น "Mortal Kombat" หรือ "DOA : Dead or Alive" ซึ่งในบรรดาหนังที่สร้างจากเกมทั้งหมด เรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นที่จดจำมากที่สุดก็ได้แก่ "Resident Evil"
สิ่งที่ทำให้ "Resident Evil" นั้นค่อนข้างจะประสบความสำเร็จมากกว่าหนังเกมเรื่องอื่นๆ อยู่ตรงนักแสดงหลัก "มิลลา โจโววิช" เธอมารับบทนำเป็น "อลิซ" ผู้รอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของที-ไวรัส และต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ทั้งหลาย โดยที่ตัว "มิลลา" พลิกบทบาทจากนักแสดง/นางแบบที่มักจะเล่นบทที่เป็นดราม่าหรือตลกใน "The Fifth Element" , "The Messenger : The Story of Joan of Arc" และ "Zoolander"
เธอก้าวมารับบทนักแสดงแอ็กชั่นอย่างเต็มตัวใน "Resident Evil" ภาคแรก ( 2002 ) ด้วยรูปร่างที่สูงยาวเพรียวกับความสวยในทุกมุมมอง ทำให้เธอเป็นแอ็กชั่นสตาร์ที่ดูเท่โดนใจคอหนัง แถมเธอยังเข้ารับการฝึกฝนการต่อสู้อย่างหนัก เพื่อที่เธอจะได้แสดงฉากแอ็กชั่นต่างๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเธอก็แสดงเองเกือบทั้งหมด ยกเว้นแต่อะไรที่เสี่ยงตายเกินไปจริงๆ เท่านั้นถึงจะใช้สตันต์
จากความสำเร็จของภาคแรก ดูเหมือนว่าจะผสมผสานความน่ากลัวของบรรดาซอมบี้เข้ากับส่วนของแอ็กชั่นได้อย่างพอเหมาะ ทำให้หนังภาค 2 ถูกสร้างตามออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ในภาค 2 นี้แม้ว่าจะได้ทีมนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากขึ้น เพิ่มตัวละครจากในเกมเข้ามา แต่เนื้อเรื่องนั้นเริ่มที่จะออกทะเลไปเสียแล้ว หนังไปเน้นที่ฉากการต่อสู้เท่ๆ ทั้งหลายแหล่ ( ผมยังจำฉากขี่มอเตอร์ไซค์ทะลุหน้าต่างเข้ามาในโบสถ์ได้อยู่เลย )
โดยได้นักแสดงอย่าง "โอเด็ต เฟอร์, เซียนน่า กิลลอรี" มาร่วมทีม ซึ่งการที่หนังได้นักแสดงสาวสวยเซ็กซี่อย่าง "กิลลอรี" มาเพิ่มอีกคน ช่วยให้หนังน่าดูมากขึ้นสำหรับบรรดาคอหนังผู้ชายทั้งหลาย ในแง่ของความซื่อสัตย์ต่อตัวเกมต้นฉบับแล้ว หนังแค่ใช้ชื่อตัวละครและตัวร้ายเท่านั้น บวกกับพล็อตที่หยิบยกมาอีกนิดหน่อย
แต่บอกตรงๆ ครับว่าผมไม่คิดเลยว่าจะมีการสร้าง "Resident Evil" ภาค 3 ขึ้น เพราะมันไม่น่าจะลากต่อไปได้อีกแล้ว แต่ก็อย่างที่รู้กันฮอลลีวู้ดนั้นเป็นเรื่องของธุรกิจอยู่แล้ว เมื่อหนังมันยังทำเงินได้ก็ย่อมมีการสร้างกันต่อไปอยู่ดี ผมจึงไม่แปลกใจอะไรเมื่อได้ดูเทรลเลอร์ของหนังเรื่องนี้เมื่อราว 2 เดือนก่อน แค่คิดในใจว่าคราวนี้หนังจะมั่วไปทางไหนอีกจริงๆ ครับ และก็ไม่ได้รู้สึกอยากดูอีกด้วย เพียงแต่เมื่อดูจากหนังทั้งหมดที่เข้าฉายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนัก สุดท้ายผมก็ต้องเดินเข้าโรงเพื่อดูหนังภาค 3 นี้จนได้
หนังยังคงขายที่ตัวของ "มิลลา โจโววิช" เป็นหลัก ต้องยอมรับว่า "มิลลา" เป็นคนที่มี Screen Presence สูงมาก ภาษาไทยเรียกว่ายังไงดีล่ะ? เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวมั้ง คือทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวขึ้นบนจอเนี่ย เหมือนถูกดึงดูดให้จ้องมองไปที่เธอคนเดียว ซึ่งนั่นทำให้หนังตรึงคนดูเอาไว้ได้ ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของหนังนั้นอยู่ในระดับธรรมดา โดยเฉพาะเนื้อเรื่องและบทพูดที่ค่อนข้างจะต่ำกว่ามาตรฐานเสียด้วยซ้ำไป
เนื้อเรื่องภาค 3 นี้บอกเล่าถึงเหตุการร์ต่อจากภาค 2 อยู่หลายปี "อลิซ" ( มิลลา โจโววิช ) เดินทางตามลำพังไปทั่วเพื่อกำจัดเหล่าซอมบี้ และช่วยเหลือคน ขณะที่กลุ่ม "แคลร์ เรดฟีลด์" ( อาลี ลาร์เตอร์ ) และ "คาร์โลส" ( โอเด็ต เฟอร์ ) นั้นเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ โดยนำเอาผู้ที่ยังรอดชีวิตทั้งหลายเดินทางร่วมไปกับพวกเขาด้วยเป็นคาราวานขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันกลุ่มอัมเบรลลาที่เป็นตัวต้นตอของที-ไวรัส ก็พยายามหาวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์
โดยที่ "ดร.ไอแซกส์" ( เอียน เกล็น ) เชื่อมั่นว่าเลือดของ "อลิซ" ตัวจริงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถนำมาสกัดสร้างสารต่อต้านที-ไวรัสขึ้นได้ แต่การทดลองของเขานั้นกลับทำให้เกิดซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ที่มีมันสมอง สามารถคิดได้ แต่ยังคงความดุร้าย กระหายเลือดไว้เช่นเดิม "อลิซ" ได้ค้นพบบันทึกที่บอกว่าอลาสก้าอาจเป็นที่เดียวบนโลกนี้ที่เชื้อร้ายยังแพร่ระบาดไปไม่ถึง และนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอและกลุ่มผู้รอดชีวิตตั้งเป้าหมายเอาไว้
หนังเต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่น ทั้งใช้ปืน ใช้มีดดาบสองมือ ผสมกังฟู เรียกว่าเป็น "มิลลา โจโววิช โชว์" เลยก็ได้ แต่ปัญหาก็คือฉากการต่อสู้สุดเท่เหล่านี้ล้วนแต่ผ่านตาคนดุมาหมดแล้วในหนัง 2 ภาคแรก รวมถึง "Ultraviolet" ด้วย ฉากต่อสู้เหล่านี้จึงไม่มีอะไรใหม่สำหรับคนดูนัก ก็กระโดดเตะ ตีลังกา หมุนตัว ว่ากันไปครับ เมื่ออยู่บนเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างหลวงและอ่อนเอามากๆ
บวกกับพวกเหตุการณ์เดิมๆ ของหนังซอมบี้ ( อย่างคนที่โดนกัด แต่ไม่ยอมบอกใคร จนตัวเองกลายเป็นซอมบี้ในตอนหลัง ) แถมพ่วงด้วยฉากเดิมๆ ที่ถือปืนบุกเข้าไปในอาคารมืดๆ แล้วมีซอมบี้โผล่ออกมาให้ตกใจกันตามสูตร ทำให้หนังดำเนินไปได้ด้วยตัว "มิลลา โจโววิช" จริงๆ ครับ นักแสดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะสวย หล่อ เท่ น่าสนใจขนาดไหน ก็ล้วนแต่เป็นตัวประกอบทั้งสิ้นครับ
มีหลายๆ ฉากทีเดียวที่หน้าของ "มิลลา" นั้นสวยเนียนผิดมนุษย์มนา จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าต้องมีการใช้งาน CG ช่วยในส่วนนนี้ด้วยแน่ๆ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าเธอสวยน่ามองจริงๆ แม้ว่าหุ่นจะแบนสุดๆ แต่ก็ดูเท่มากมายเช่นกันในชุดลุยๆ และในฉากแอ็กชั่นต่างๆ นี่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดไม่ได้ "มิลลา โจโววิช" แสดงนำ หนังจะได้สร้างภาคต่อหรือไม่ และมันจะยังน่าดูแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า เพราะบทมันอ่อนเกินรับจริงๆ แค่ได้การถ่ายภาพสวยๆ มาช่วยเอาไว้มากพอสมควร
โดยภาพรวมแล้วนี่เป็นหนังที่ดูก็ได้ ไม่ดูก็ไม่มีให้เสียดายครับ ไม่ว่าคุณจะดูภาคก่อนๆ มาแล้วหรือไม่ ก็ไม่มีปัญหาครับ ถ้ามาดูเอาที่ภาค 3 นี้เลย ผมว่าก็ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจครับ ก็ให้ลืมพวกรายละเอียดต่างๆ ของเกมไปเลยนะครับ ไม่งั้นได้นั่งอารมณ์เสียแน่ๆ นึกเสียว่าเข้ามานั่งดูหนังแอ็กชั่นเรื่องหนึ่งที่นำแสดงโดย "มิลลา โจโววิช" สุดสวย เท่านั้นเอง แต่ถ้าที่บ้านมีโฮมเธียเตอร์แจ่มๆ ผมว่ารอตอนออกเป็นหนังแผ่นแล้วค่อยเอามาเปิดดูอยู่ที่บ้านก็ไม่เสียหายแต่อย่างใดครับ
สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย
ภาพยนตร์บันเทิง ฉบับวันที่ 10-16 ต.ค. 50