วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง Die Hard 4.0
Die Hard 4.0 ความโอเวอร์ที่ทิ้งช่วงมาถึง 10 กว่าปี
เจ้าหน้าที่ จอห์น แม็คเคล็น NYPD เชื่อว่า การแนะนำตัวแบบนี้ คงคุ้นหูแฟนๆ ของ บรู๊ซ วิลลิส รุ่นอายุ เกือบๆ 30 ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน Die Hard 3: With a Vengeance ที่ออกฉายในปี 1995 ก็ทำให้คอหนังแอ็คชั่นในปีนั้น อึ้งทึ่งเสียวไปตามๆ กัน แต่ถ้าย้อนกลับไปอีก จะเห็นว่า Die Hard 1 (1988) และ Die Hard 2: Die Harder (1990) ด้วยบทที่ถูกเขียนขึ้นมาเพราะต้องการให้พระเอกกลายเป็นคนดวงซวยเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดด้วยตัวคนเดียว แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง ก็ทำให้ Die Hard ทั้งสามภาคครองใจคอหนังสมัยนั้นได้สุดๆ จริงๆ
เรื่องในภาค 4.0 นี้มีอยู่ว่าเมื่อในช่วงสุดสัปดาห์วันสถาปนาชาติอเมริกัน วันหยุดเพิ่งเริ่มต้น แต่นักสืบแม็คเคลนแห่งมหานครนิวยอร์ค ไม่ใส่ใจเฉลิมฉลองสักเท่าไหร่ เขาเพิ่งทะเลาะกับลูซี่ ลูกสาววัยนักศึกษามหาวิทยาลัยหมาด ๆ แล้วก็ยังได้รับมอบหมายภารกิจกวนใจนำตัวแม็ท ฟาร์เรล แฮ็คเกอร์หนุ่มหน้าใสไปส่งให้เอฟบีไอ สอบปากคำ แต่นิสัยของแม็คเคลนที่จะไม่ยอมทำตัวเป็น ปุถุชนนิ่งดูดาย แต่มักจะอยู่ผิดที่ผิดทาง จนกลาย เป็นฮีโร่กอบกู้สถานการณ์พิเศษ ๆ ด้วยคำชี้แนะจากฟาร์เรล แม็คเคลนจึงเข้าใจถึงความโกลาหลที่ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นรอบตัว การถล่มระบบสาธารณูปโภคอันเปราะบางของสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบถึงขั้นทำให้ทั่วทั้งประเทศกลายเป็นอัมพาต โธมัส เกเบรียล วายร้ายลึกลับที่ชักใยอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการนี้มักล้ำหน้าแม็คเคลนอยู่หลายก้าวเสมอ ซึ่งหนุ่มสมองเปรื่องอย่าง ฟาร์เรล ยังยกย่องแผนการร้ายกาจครั้งนี้ว่า กระหน่ำแหลก (ทุกอย่างต้องพินาศ) ขนาดนั้นเลย
จุดแข็งของ Die Hard คือความโอเวอร์จนเกินพิกัดขอหา และความดวงแข็งชนิดที่ผู้ชนะเกมวัดดวงยังอาย จอห์น แม็คเคล็น กับประโยคสุดฮิต "Yippee Ki Yay" ตกเป็นจำเลยที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เผชิญกับชะตากรรมที่ทำให้เขาต้องเข้าไปมีเอี่ยวกับภารกิจกู้ชาติตามคอนเซ็ปต์ของหนัง Die Hard ทุกภาค คือ Look whos back in the wrong place at the right time. แปลง่ายๆก็คือ แม็คเคล็น เป็นคนที่ชอบอยู่ผิดที่ผิดทางในเวลาที่ถูก ทำให้เข้านั้นกลายเป็นฮีโร่และเป็นตำนานของกรมตำรวจ NYPD แถมยังเป็นคนที่แก้สถานการณ์ด้วยความบ้าบิ่นได้อย่างชนิดที่ว่า คนดูอาจจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครวะ จะทำได้ หรือ แม่มมมม เก่งเว่อร์ แต่การที่เขาเป็นคนธรรมดา ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรนอกจากดวงล้วนๆ ผนวกกับฝีมือการแสดงที่ยิ่งเก๋าขึ้นเรื่อยๆของ บรู๊ซ วิลลิส ในบทของ จอห์น ที่ผู้ชมจะต้องแอบขำในความห่ามของตัวละครตัวนี้ นี่แหละ คือสิ่งที่สามารถจูงใจให้ผู้ชมติดตาม และดูลุ้นได้ตลอดจนจบเรื่องว่า แม็คเคล็น จะเป็นอย่างไรต่อไป และช่วยลุ้นให้เขาทำภารกิจสำเร็จ
จุดที่ผมคิดว่าเป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้คือ การใช้ธีมของหนังเป็นสีซีเปีย ซึ่งมันไม่ค่อยจะเข้ากับหนังแอ๊คชั่นระดับบ้านเมืองถล่มทลายแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะธีมหนังสีซีเปียนั้น น่าจะเหมาะกับหนังดราม่า หรือหนังไสตล์อื่นมากกว่า เพราะในตอนต้นที่ยังไม่ค่อยมีฉากแอ๊คชั่นบู๊ระห่ำ ผมรู้สึกว่า หนังมันให้ความรู้สึกเนือยๆ ทั้งๆ ที่มันก็เนื้อหามันก็ไม่ได้อืดอาดยืดยาดเลย แต่ทำไมผมถึงจะหลับ อีกจุดหนึ่งก็คือ การลำดับภาพค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายไปนิดในตอนต้นเรื่อง เหมือนกับผู้กำกับจะพยายามสื่อให้เห็นว่า หนังกำลังเดินไปถึงตอนที่เกิดจลาจลวุ่นวายขนาดหนัก มีการสลับไปมาระหว่างฉาก ระหว่างตัวละครหลายๆ ตัว เยอะแยะมากมาย จมมองว่ามันลายตาเกินไปหรือไม่ กับการลำดับภาพแบบนี้
จากที่ผมดูมาจนจบ Die Hard 4.0 เป็นหนังแอ๊คชั่นที่สนุกมาก เข้าขั้น 4 ดาวครึ่งถ้าคุณไม่คิดจะหาสาระหรือความเป็นจริงอะไรจากเรื่องนี้ เพราะเนื้อหาทั้งหมด ไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งการขับรถชนเฮลิคอปเตอร์, การขับรถพ่วงคันใหญ่ๆ หนีจรวดมิสซายย์ หรือแม้แต่การกระโดดจากปีกเครื่องบินลงสู่พื้นโดยที่บาดเจ็บเพียงแค่หัวล้านของพี่แกมีเลือดออกหย่อมเดียว แต่ก็ต้องยอมรับในความมันส์ระดับ 18 แรงม้าของหนังที่แฟนๆ ของ จอห์น แม็คเคล็น รู้ซึ้งดีมาตั้งแต่ภาคแรก สรุปง่ายๆ คือ อยากได้อะไรจากหนัง ถ้าอยากได้สาระ ความรู้ สิ่งจรรโลงใจ ผมแนะนำให้ไปดู สารคดี แต่ถ้าจะเอาแค่ความมันส์สุดๆ ดูแล้วซี๊ดดด อูยยยยย ซี๊ดดด อูยยยย เจ้าหน้าที่ จอห์น แม็คเคล็น NYPDให้คุณได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอนครับ
" บทวิจารณ์ภาพยนตร์เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล กรุณาตัดสินจากการชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง "
วิจารณ์ภาพยนตร์
โดย Tendama