วิจารณ์หนัง กูมึง เพื่อนกันจนวันตาย
เป็น ภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องหนึ่ง ที่เลื่อนกำหนดฉายหนี "น้ำท่วมกรุงเทพ" ตามกำหนดเดิมจะฉายในราวๆ เดือน ธันวาคมของปีที่แล้ว เลือนมาลงโปรแกรมต้อนรับปีใหม่ ปีมังกรนี้แทน กับภาพยตร์เรื่อง "มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย"
"มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย" เป็นอีกหนึ่งผลงานของค่าย "พระนครฟิลม์" ผมต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า มาช่วงหลังๆนี้ ผมไม่ค่อยได้หยิบยกหนังของค่าย พระนครฟิลม์ มาแนะนำให้แฟนๆ ชาวสนุก รู้จักกันเท่าไหร่นัก แต่ผมยังจำได้ว่า เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นหนังไทยยังเฟื่องฟูกว่าสมัยนี้ ค่ายพระนครฟิลม์ เป็นอีกหนึ่งค่ายหนังที่ผลิตภาพยนตร์ออกสู่สายตานักชมภาพยนตร์เยอะที่สุด เรียกว่าตลอดทั้งปีเราจะได้ดูหนังของค่ายนี้แทบทุกเดือน ด้วยศักยภาพของทีมทำงานของค่ายนี้ ผมว่าสามารถสู้ค่ายอื่นๆ ได้สบายมาก ภาพสวย การถ่ายทำดี นักแสดงดี เสื้อผ้าหน้าผม ของนักแสดงก็ดี แต่หนังของค่ายนี้เกือบ 80% ที่ผมเห็นว่าไปไม่ถึงฝั่งฝัน มีหนังที่ประสบผลสำเร็จจริงๆ เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น นอกนั้นแป้กหมด
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ผมมาวิเคราะห์ดู ก็เห็นจะเป็นเรื่องของ "บท" หนังของค่ายนี้ จะดำเนินเรื่องมาดีน่าติดตามมาโดยตลอด แต่พอมาถึงตอนจบ หลายคนร้องออกมาว่า "อะไรวะ" เรียกว่าจบไม่ดี จบไม่สวย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ตกม้าตายตอนจบ" แทบทุกครั้งไป จนทำให้หนังของค่ายนี้หดหายไปเรื่อยๆ ออกฉายในจำนวนน้อยลง เอาชนิดที่ว่า ออกฉายแล้วไม่ขาดทุน
และ "มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย" จะมาเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่ง ของค่ายนี้ ที่จะมาทดสอบว่า หนังของค่ายนี้ ควรจะอยู่หรือจะไปได้แล้ว
สำหรับผู้กำกับที่เข้ามากุมบังเหียนเรื่องนี้ให้ก็คือคุณ อัศจรรย์ สัตโกวิท ดูจากชื่อแล้วก็ไม่ใช่ผู้กำกับหน้าใหม่เสียทีเดียว เพราะก่อนหน้านั้นคุณอัจรรย์ เคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง Soul's Code ถอดรหัสวิญญาณ และอีกเรื่องคือ กขค โรงเรียนนอก ก่อนที่จะมากำกับเรื่อง "มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย"
หนังเป็นเรื่องราวช่วงชีวิตวัยรุ่นที่เกิดขึ้นระหว่าง 'กัน' กับ 'สอง' เด็กหนุ่มสองคนที่มีบุคลิกลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 'กัน' เด็กหนุ่มที่ถูกมองจากคนรอบข้างว่าเป็น 'เด็กเกเร' เนื่องจากเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนที่ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท แต่สาวๆ ต่างพากันกรี๊ดในความหล่อ เท่ และฐานะที่ร่ำรวย
'กัน' เป็นลูกคนเดียวของเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาว การที่พ่อแม่ใช้เงินเลี้ยงดูมากกว่าความรักความใส่ใจ ทำให้กันเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว เขาจึงพยายามไขว่คว้าความรักความอบอุ่นจากเพื่อน เขาให้ความสำคัญกับความรักระหว่างเพื่อนมากกว่าความรักแบบหนุ่มสาวซึ่งต่าง จากวัยรุ่นทั่วๆ ไป ถึงแม้จะมี 'แอล' สาวสวยมาคอยตามสนใจก็ตาม
'สอง' เด็กหนุ่มที่ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด เขาไม่เคยได้คิดตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง การขาดอิสระทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บตัว แม้ว่าเขาจะอึดอัดมากแต่ไม่มีทางออก จนกระทั่งแม่แต่งงานใหม่เขาจึงใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างในการขอย้ายไปเรียนต่อ กับพี่สาวที่เชียงใหม่ เพราะไม่ต้องการอยู่กับพ่อเลี้ยง
วันแรกของการเปิดเรียน สองได้รู้จักกับ 'เนม' เพื่อนร่วมห้อง สิ่งแรกที่เนมเตือนสองก็คือให้ระวังตัวและอย่าเข้าใกล้กัน เพราะกันเป็นตัวแสบของกลุ่มวัยรุ่นระดับจังหวัด
เนม แนะนำให้สองรู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่อย่าง 'ดิว' ซึ่งเรียนอยู่วิทยาลัยเดียวกัน สองชอบดิวตั้งแต่แรกเห็น ดิวเองก็สนใจสองไม่น้อยเหมือนกัน แต่ความรักระหว่างสองกับดิวกลับถูกกลุ่มนักเรียนรุ่นพี่ขัดขวาง สองถูกดักทำร้าย ความกลัวทำให้สองยอมถอยห่างและหลบหน้าดิว
กันแอบเห็นเรื่องราวที่สองถูกรังแก จึงตัดสินใจชวนสองเข้าแก๊งค์ Sperm ซึ่งมี ก้า, ต๊อด,แนิค, แชมป์, อาร์ม, เบียร์ เป็นสมาชิกร่วมแก๊งค์
วิถี ชีวิตของสองเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้เข้าร่วมแก๊งค์ของกัน สองได้เรียนรู้ชีวิตด้านมืดของวัยรุ่นที่นิยมยกพวกตีกัน การลองผิดลองถูก ความหมายของคำว่าเพื่อน และข้อแตกต่างระหว่างคำว่าอันธพาลกับลูกผู้ชาย
มิตรภาพ ระหว่างเพื่อนกับเพื่อนและเรื่องราวการต่อสู้แบบลูกผู้ชายจะสามารถทำให้ กัน, สอง และเพื่อนๆ ก้าวผ่านวัยแห่งความรุนแรงนี้ไปได้หรือไม่อย่างไรนี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริง ของวัยเดือด วัยที่คำว่าเพื่อนสำคัญที่สุด
ก่อนที่ผมจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อย่างที่ไม่ได้หวังอะไรมากนัก เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า หนังของค่ายนี้แป้กมาหลายเรื่องแล้ว แต่พอดูไปดูมา ผมว่านี่อาจเป็นหนังเรื่องแรกของค่ายนี้ที่มีการวางโครงเรื่องได้ดีมาก ดีกว่าทุกๆเรื่องที่เคยผ่านมาของค่ายนี้ ความสนุกและความตื่นเต้น ถ้าเทียบเรื่องนี้ ก็เป็นน้องๆ 2499 อันธพาลครองเมือง แต่ยังมีกลิ่นอายเรื่อง "เด็กเสเพล" และเรื่อง เรียกเขาว่า อีกา(หนังญี่ปุ่น) ปนอยู่บ้าง ตัวหนังตีแผ่ชีวิตของเด็กวัยรุ่นชายได้ดี เพราะเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่จีบหญิง เล่นกีฬาหรือดนตรี ก็จะเป็นพวกเกเร ชกต่อยกันไปเลย
สำหรับเรื่องนี้ผมขอปรบมือให้กับน้อง มาริโอ้ จากที่เคยเฝ้าสังเกตการแสดงของน้องมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่ รักแห่งสยาม เรื่องแรกที่เล่น มาถึงเรื่องนี้ โอ้สามารถพัฒนาการเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากจะบอกน้องดังๆ ว่า น้องเล่นไม่แข็งเป็นท่อนไม้อีกแล้ว สอบผ่าน
อยากให้พวกผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรามาดูเรื่องนี้จัง มาดูแล้วช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขค่านิยมสมัยนี้ ที่เด็กมักชูสถาบันมากเกินไป แล้วตีกันอย่างไม่มีเหตุผลแค่ต่างสถาบัีนเท่านั้น อยากให้เด็กไทยไม่ว่าสถาบันไหน ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาประเทศมากกว่า แต่ดูเรื่องนี้แล้ว รักเพื่อนมากขึ้นอีกเท่าตัว กับคำที่ว่า "เพื่อนไม่ได้คบกันแค่วันสองวัน แต่คบกันจนวันตาย"
บทวิจารณ์โดย ทชากร
tck05@sanook.com