วิจารณ์หนัง Transformers 3
รู้สึกว่าจะรอคอยกันไม่นานสักเท่าไหร่สำหรับ Transformers 3 นี้ ซึ่งใช้เวลาในการสร้างห่างจากภาค 2 แค่ 2 ปีเท่านั้น หลังจากที่ ภาคแรกออกมาและปล่อยให้นักดูหนังรอภาค 2 ถึง 3 ปีด้วยกัน การกลับมาของ Transformers ภาค 3 นี้ ก็ยังคงอลังการงานสร้างเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ ไมเคิล เบย์ และทีมผู้สร้างเจ้า Transformers : The Dark of The Moon ในภาค 3 นี้ ตัดสินใจนำเทคโนโลยีการถ่ายทำด้วยกล้อง 3D ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับภาพยนตร์เรื่อง AVATAR มาใช้ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม ให้ดูสนุกและมันส์ยิ่งขึ้น
สำหรับตัว ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) ผู้กำกับเรื่องนี้ หลายคนคงรู้จักเขาดีแล้ว แต่ก็อาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักเขา ผมเคยเอ่ยชื่อของไมเคิล เบย์ไปหลายๆ ครั้งแล้ว สำหรับภาพยนตร์ที่ตัวไมเคิล เบย์มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สำหรับผลงานที่ไมเคิล เบย์ เคยกำกับมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพยนตร์ดังๆ แทบทั้งสิ้น อย่างเรื่อง Bad Boys ปี 1995 ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับ เบย์ และยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับพระเอกผิวดำอย่าง วิลล์ สมิธ (Will Smith ) อีกด้วย และ The Rock, Armageddon, Pearl Harbor คือผลงานการกำกับตามลำดับต่อๆ มาของเขา ก่อนที่จะมี Bad Boys II ในปี 2003 และในปี 2005 เบย์ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Island ถือเป็นงานชิ้นสุดท้าย ก่อนจะเข้ามากำกับเรื่อง Transformers, Transformers: Revenge of the Fallen และ Transformers : The Dark of The Moon ในปีนี้ ดังจะเห็นได้ว่า ไม่มีผลงานชิ้นไหนของเบย์ที่ไม่มีคนรู้จัก หรือเป็นหนังฟอร์มเล็กๆ สักเรื่องเลย
สำหรับเรื่องย่อๆ ในภาคนี้ก็คงเหมือนภาคก่อนๆ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของการต่อสู้ของพวกหุ่นยนตร์จากต่างดาว 2 กลุ่ม คือกลุ่ม ออโต้บ็อทส์ (หุ่นยนตร์ฝ่ายดี) และกลุ่ม ดีเซ็ปติคอนส์ (หุ่นยนตร์ฝ่ายร้าย) แต่ในภาคนี้หนังได้ย้อนเวลาไปเมื่อปี 1961 ซึ่งเป็นตอนที่หุ่นยนตร์ 2 กลุ่มนี้ได้สู้รบกันบนดาวที่มีชื่อว่า ไซเบอร์ทรอน และกลุ่มหุ่นยนต์จาก ออโต้บ็อทส์ทำท่าว่าจะพ่ายแพ้ใหักับพวกดิเซ็ปติคอนส์ ทำให้ เซนติเนล ไพรม์ ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มออโต้บ็อทส์ ได้นำ "อาร์ก" ออกจากดาวที่พวกเขาอยู่ อาร์ก คือที่เก็บเทคโนโลยีที่จะสามารถช่วยเผ่าพันธุ์ของหุ่นยนต์ต่างดาวออโต้บ็อทส์ได้ แต่ในระหว่างเดินทางได้ถูก สตาร์สกรีม โจมตี อาร์ก จึงตกลงที่ดวงจันทร์ในปี 1961 นั้นเอง
ซึ่งขณะเดียวกันในช่วงเวลานั้น ประธานาธิบดี จอร์น เอฟ เคนเนดี้ ได้ประกาศกับคนทั่วโลกว่า อเมริกาจะส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ให้ได้ก่อนประเทศอื่นในโลกนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วภารกิจในการส่งยานอวกาศ Apollo 11 ของนาซ่าไปที่ดวงจันทร์ในปี 1969 คือการเดินทางไปตรวจสอบยานอวกาศที่ตกลงบนดวงจันทร์นั้นเอง ปัจจุบัน แซม วิทวิคกี้ (ไชอา ลาบัฟ) ได้เติมโตเป็นผู้ใหญ่ และใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนกับคนทั่วไปที่ต้องหางานทำ โดยเขาได้เลิกลากับมิคาเอล่าอดีตแฟนเก่าของเขา และเขาได้พบกับผู้หญิงคนใหม่ที่พยายามให้แซมใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปแทนที่จะไปยุ่งกับพวกภารกิจของพวกออโต้บ็อทส์เหมือนที่ผ่านๆ มา แต่สำหรับพวกออโต้บ็อทส์ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่า ยานอวกาศจากไซเบอร์ทรอนที่ตกอยู่บนดวงจันทร์เริ่มที่จะไม่ปลอดภัยแล้ว หุ่นยนตร์ฝ่ายดีอย่างพวกออโต้บ็อทส์จึงต้องแข่งกับพวกหุ่นยนตร์ฝ่ายร้าย อย่างพวกดีเซ็ปติคอนส์ เพื่อหา อาร์ก ให้เจอก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป... สำหรับในภาคนี้นอกจากหุ่นตัวใหม่ๆ ที่ถูกออกแบบให้เราดูอย่างตื่นตาตื่นใจอีกหลายๆ ตัวแล้ว กับฉากต่อสู้กันระหว่างหุ่นออโต้บ็อทส์และดีเซ็ปติคอนส์ใน 30 นาทีสุดท้ายของเรื่อง เรียกว่าตาห้ามกระพริบเด็ดขาด เป็นการทำลายล้างที่ไม่อาจจะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เรียกว่าต้องไปนั่งดูเอาเอง แล้วจะเห็นว่า ฉายาของ ไมเคิล เบย์ "จอมระเบิดภูเขาเผากระท่อมแห่งฮอลลีวู้ด" เป็นเรื่องจริง ผมว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติของหนังที่มีถึง 3 ภาค เพราะฉะนั้นผู้กำกับจะต้องหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้แฟนๆของเขาได้ดูได้ชมกัน ส่วนเรื่องแบบถล่มเมืองอย่างนี้ก็เป็นทางถนัดของไมเคิล เบย์ อยู่แล้ว งานนี้เลยออกมาเป็นว่า ภาพแห่งการทำลายล้างที่ดูแล้วโหดเหี้ยมที่สุด ดูแล้วแทบไม่หายใจ ดูแล้วคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลาถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดอยู่ตรงหน้า ดูแล้วห้ามกระพริบตา เพราะว่า ถ้ากระพริบตาในช่วง 30 นาทีสุดท้ายนี้แล้ว เราอาจจะพลาดตอนสำคัญๆ ไปก็ได้ เอาเป็นว่า ไม่เคยมีภาพยนตร์หุ่นยนตร์เรื่องไหน ที่มีฉากทำลายล้างบ้านเมืองได้อย่างมโหฬารเหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้ เรียกว่าดูแค่นี้ก็คุ้มกับค่าตั๋วที่เสียไปแล้ว ยิ่งถ้าใครได้ดูในระบบ 3D ด้วยแล้ว จะเห็นภาพตึกถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเราเลย หัวใจแทบวาย...
ในส่วนของดารานำแสดงอย่าง ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf) ที่รับบทเป็น แซม วิทวิคกี้ ตั้งแต่ภาค 1 แล้ว มาภาคนี้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็สมกับบทที่ได้ แถมในภาคนี้เขาจะได้อาวุธจากชาวออโต้บ็อทส์ เพื่อเอาไว้สู้กับพวกดีเซ็ปติคอนส์ อีกด้วยแทนที่จะวิ่งหนีอย่างเดียวเหมือนกับสองภาคที่ผ่านมา แต่ถึงอยางไง ภาคนี้เขาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนสองภาคที่ผ่านมา แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า พระเจ้าได้สร้างไชอา ลาบัฟ มาเพื่อเล่นบทล้มลุกคลุกคลานแบบนี้โดยเฉพาะก็เป็นได้ ในด้านนางเอก เปลียนจาก เมแกน ฟ็อกซ์ (Megan Fox) มาเป็น โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ (Rosie Hintington-Whiteley) จากแหล่งข่าวแจ้งมาว่า ฟ็อกซ์ มีปัญหากับเบย์จนไม่สามารถมาเล่นในภาคที่ 3 นี้ได้จึงทำให้เราอดเห็นภาพเซ็กซี่ของเธออีกแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็ได้ โรซี มาแทน ...โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ เธอเป็นหนึ่งในนางแบบชุดชั้นในสตรี Victoria's Secret เธอเป็นชาวอังกฤษ ด้วยเหตุที่เธอไม่เคยเล่นภาพยนตร์มาก่อน อาจดูเธอเล่นแข็งไปสักหน่อย แต่ด้วยหน้าตาที่สวยและเซ็กซี่ไม่แพ้ เมแกน ฟ็อกซ์ ก็อาจทำให้เราลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตรงนั้นไปได้ ในส่วนของหุ่นยนต์ฝ่ายดีอย่างพวก ออโต้บ็อทส์ ตัวที่เราติดหูติดตากันดีอยู่แล้วอย่าง บับเบิ้ลบี หุ่นคู่หูพระเอกที่สามารถแปลงเป็นรถเชพโรเลต คาเมโร รุ่น 5 สีเหลือง มาในภาคนี้ บับเบิ้ลบี จะถูกแปลสภาพในเฉดสีใหม่ และโมดิฟายให้แลดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หุ่นพระเอกอีกตัวอย่าง เซนติเนล ไพรม์ หุ่นยักษ์ตัวสีแดงที่เป็นหุ่นเด่นที่สุดในภาค 3 ที่สามารถแปลงร่างเป็นรถดับเพลิง Rosenbauer ได้ มาร่วมต่อสู้ด้วย สำหรับหุ่น เซนติเนล ไพรม์ และ ออพติมัส ไพรม์ มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น จนแทบจะเรียกว่าเป็นหุ่นพ่อลูกกันก็ว่าได้ ในเรื่องเราจะเห็นหุ่นยนต์ทั้งสองตัวนี้ หมุนตัวฟาดฟันศัตรูอย่างมันส์เลยทีเดียว นอกนั้นตัวอื่นๆก็ยังคงมาครบทีม
สำหรับในหุ่นฝ่ายร้ายจะขาดเสียไม่ได้เลยก็คือเจ้าหุ่นเมกาตรอน ไม่อยากบอกเลยว่า ในภาคนี้เมกาตรอนมีลูกเล่นที่เราไม่คาดฝันมาฝาก พร้อมกับสมุนตัวใหม่ๆ อีกเพรียบ เป็นต้นว่าหุ่น "ช็อคเวฟ" ติดอาวุธปืนกลอยู่ที่มือ ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักของภาคนี้เลยก็ว่าได้ มันถูกจองจำอยู่ใต้โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ รู้แค่นี้แล้วก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่ามันจะร้ายขนาดไหน ผมบอกมากไม่ได้เดี๋ยวจะไปดูแล้วไม่สนุก ส่วนหุ่นตัวใหม่อื่นๆ อย่างเช่น สตาร์ครีม (แปลงร่างเป็นเครื่องบินรบ F22 แร็ปเตอร์), ซาวนด์เวฟ (แปลงเป็นรถเมอร์ซิเดส-เบนช์ รุ่น SLM AMG สีเงิน), เลเซอร์บีค (แปลงร่างเป็นเครื่องบินที่มีใบพัดแบบเฮลิคอปเตอร์) และกลุ่มรถโคลน เดอะเดร็ดส์ ที่ประกอบไปด้วย แครงค์เฮดม, โครว์บาร์ และ แฮทเชท (สามารถแปลงร่างเป็นรถฉุกเฉินยี่ห้อ เชพโรเลต รุ่น Suburban) ก็ล้วนแล้วแต่เป็นหุ่นตัวใหม่ๆ แสบๆ ทั้งนั้น งานนี้ใครที่เคยดูมาแล้วทั้งสองภาค คงทิ้งภาคนี้ไม่ลงแน่ งานดูยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างนี้ ไมเคิล เบย์ ถนัดนัก แต่ถ้าใครไม่เคยดูสองภาคมาก่อนก็สามารถดูภาค 3 นี้ได้เลยไม่มีอะไรงง ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมพวกนายทุนจึงยอมลงทุนให้ ไมเคิล เบย์ ชนิดที่ว่า "ขอมาเท่าไหร่ได้หมด" พอดูผลงานเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้วก็คงเข้าใจแล้วว่า งานทุกชิ้นของ ไมเคิล เบย์ เรียกว่า "ไม่มีวันขาดทุน" ได้เลย รู้อย่างนี้แล้วเราจะไม่ดูได้ไงล่ะครับกับ Transformers : The Dark of The Moon ในภาคนี้...
บทวิจารณ์โดย : ทชากร E-mail :TCK05@sanook.com