วิจารณ์หนัง ปัญญา เรณู
ตอนแรกที่เห็นข่าวว่าคุณท๊อป บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ จะสร้างหนังอีกแล้ว ก็พาให้อึ้งเล็กๆ อยู่เหมือนกัน เพราะว่าเท่าที่ทราบที่ ผ่านมาอย่างเรื่องแรกที่คุณ บิณฑ์ กำกับ "ช้างเพื่อนแก้ว" เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ผมยังจำได้ ฉาก CG ตอน ช้างกระโดดมาจาก หน้าผา มันเป็นอะไรที่ติดตาผมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ว่าเป็น CG ที่ห่วยมาก เรื่องนี้ผมก็เลยไม่ได้ไปดู พอคุณ บิณฑ์ทำ "ช้างเพื่อนแก้ว ภาค 2 " ออกมาอีก ผมก็คิดแล้วว่าน่าจะไม่รอดเหมือนภาคแรก แล้วก็เป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แค่เป็นหนังแผ่นเท่านั้น กับเรื่องที่ 3 อย่าง "ตำนานกระสือ" เห็นมีคนติเยอะมาก ผมก็เลยไม่ได้ไปดูเหมือนกัน
"ปัญญา-เรณู" ตอนแรกฟังแค่ชื่อ ก็คิดเหมือนเดิมเลย คงเป็นได้แค่หนังแผ่นอีกแล้วซิ ยิ่งบอกว่าตัวละคร ได้ไอเดียมาจาก หนังสือ แบบเรียนสมัยเก่า อย่างพวก มานี มานะ ปิติ ชูใจ ด้วยแล้ว ถ้าได้ฉายจริงก็คงเป็นหนังตลกแบบบ้านๆ เท่านั้นแหละ แต่พอเห็นทรีเซอร์ครั้งแรก ความคิดเก่าๆที่เคยคิดไว้ ว่าหนังน่าจะขายไม่ได้ ก็เปลี่ยนไป จากขายไม่ได้ ก็ลดลงมาครึ่งหนึ่ง น่าจะขาดทุนเล็กน้อย เพราะตัวอย่างหนัง "พูดภาษาอีสาน" ทั้งเรื่อง ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ค่อยถนัดภาษาท้องถิ่นภาษานี้มากนัก ก็เลยคิดหนังว่าจะไปดูดีไหมหนังเรื่องนี้
แต่พอรู้มาว่า หนังเรื่องนี้ ไม่มีคนช่วยจัดจำหน่าย เพราะคนขายหนังบอกว่า "หน้าหนัง" ขายไม่ได้ ไม่มีดาราดังๆเป็นแม่เหล็กดูดคนมาดู มีแต่เด็กตัวดำๆ บ้านๆทั้งนั้น รวมถึงเรื่องนี้คุณบิณฑ์ ออกทุนเองทั้งหมด เป็นเหมือนผู้อำนวยการสร้างเอง เขียนบทเองและกำกับ เองอีกด้วย และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณบิณฑ์เคยฝันไว้ว่าอยากจะสร้างมาแล้วกว่า 10 ปี (โอ้โห !!อดทนจริงๆ) ผมเห็นว่า ตัวคุณบิณฑ์ นั้น ถือเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง คอยช่วยเหลือสังคมอยู่ตลอดเวลา โดยที่เรารู้ๆกันอยู่ก็คือ คุณบิณฑ์ได้ทำงานเป็น อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู มานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมซื้งใจ และยิ่งรู้ว่าสายหนังไม่รับหนังเรื่องนี้แล้ว สิ่งแรกที่ผมคิดในตอนแรกก็แค่อยากช่วยคุณบิณฑ์ อยากเป็นกำลังใจให้เขาเพราะเขาทำดีมาเยอะแล้ว ก็เลยตัดสินใจไปดูก็ไปดู(ว๊ะ) หวังแค่เป็นหนังที่สะท้อนชีวิตคนอีสานก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ปัญญา-เรณู เป็นเรื่องราวของเด็กชายชาวอีสานที่มีความสามารถในการร้องเพลง ฝึกซ้อมโปงลางกับเพื่อนๆ เพื่อการแข่งขัน แต่ด้วยความยากแค้น และขาดทุนทรัพย์ของทางโรงเรียน ที่ไม่สามารถซื้อเครื่องดนตรีใหม่เพื่อการแข่งขันได้ จึงถูกเป่ว ซึ่ง เป็นคู่แข่งที่มีฐานะดีกว่าต่อรองให้ยกตำแหน่งนักร้องนำให้ แลกกับการซื้อเครื่องดนตรีให้วง
แต่ด้วยความที่ปัญญาเป็นเด็กดี และเป็นที่รักของทุกคน ทำให้หลวงพ่อที่ได้รับเงินทำบุญมา ช่วยเหลือซื้อเครื่องดนตรีให้ ปัญญาจึงได้เป็นนักร้องนำของวง และสานสัมพันธ์กับเป่ว จนกลับมาร่วมมือกันเพื่อการแข่งขัน แต่วงของคู่แข่งนั้นเป็นวงที่มีผู้สนับสนุนเป็นถึง ส.ส.ที่ จ้างครูมาสอนจากกรุงเทพฯ ทำให้วงของปัญญาเกิดความกังวลในความไม่พร้อมของทีม
วันหนึ่งรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนหญิงจากกรุงเทพฯมาเสียที่หมู่บ้านจนต้องค้างคืน เพื่อรอซ่อมรถ ปัญญาและกลุ่มเพื่อนๆ ได้ไปช่วยดูแล ต้อนรับจนเป็นที่ประทับใจ ซึ่งทำให้เรณูที่แอบชอบปัญญาเกิดความหึงหวง จนเป็นเรื่องราวตลกน่ารักสดใส แบบเด็กๆ และด้วย มิตรภาพอันดี พร้อมกับการช่วยเหลือจากเด็กๆ ชาวกรุงเทพฯที่ส่งครูมาสอนเต้น รวมทั้งมาช่วยเต้นหางเครื่องในวงโปงลาง ทำให้ ปัญญา และเพื่อนๆชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ในที่สุด
ผมขอบอกตามตรงเลยครับว่า หลังจากที่ผมดูหนังเรื่องนี้แล้ว ความคิดเก่าๆที่เคยมีกับคุณ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หายไปจนเกลี้ยง และหนังเรื่อง นี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตผมเลยที่ได้ดูวันเดียว 3 รอบ เรื่องนี้ผมต้องขอปรบมือดังๆ ให้คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่เขียนบทได้ดีมาก กำกับการแสดงก็สุดยอด จังหวะของหนังดีครับไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ตัวหนังชวนคนดูตลอดทั้งเรื่อง ถึงแม้ว่าตัวหนังจะพูดภาษาอีสานก็ตาม แต่ก็ยังมีคำบรรยายไทยให้อ่าน เหมือนเราดูหนังต่างประเทศดีๆเรื่องหนึ่งแล้วมีคำบรรยายไทยอยู่ด้านล่างยังไงยังงั้นเลย แต่ก็คงไม่ใช่หนังเรื่องแรกมั้งที่เป็นหนังไทยบรรยายไทยอย่างนี้ เรื่องของเพลงก็ดีครับ จังหวะสนุกๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงอีสาน แต่ก็เร้าใจดีครับ
ผมว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรดีๆมากกว่าที่เราคิดเสียอีก ตัวหนังสะท้อนวิถีชีวิตของชาวชนบทเป็นอย่างดี ยังคงมีความเชื่อเรื่อง ภูต ผีปิศาจอยู่ การบนบานศาลกล่าว การละเล่นของเด็กต่างจังหวัด จับปลา ขี่จักรยาน เลี้ยงควาย ไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เล่น ไม่มี BB ไว้คุยกัน ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ มีแต่น้ำโอ่ง แล้วยังมีการให้อภัยกัน การร่วมมือกัน การช่วยเหลือกัน ที่หายากมากๆในสังคมเมือง
ขอชมน้อง "ทิว - โชติวัตร์ พลรัศมี" ที่เล่นเป็น ปัญญา และน้อง "น้ำขิง - สุธิดา หงษา" ที่เล่นเป็นเรณู น้องสองคนนี้เก่งมากๆ แม้จะเป็นหนังเรื่องแรกของทั้งสองคน ผมว่าน้องเขาเล่นเป็นธรรมชาติดี โดยเฉพาะน้อง น้ำขิง ถึงแม้จะอ้วนดำ แต่ผมดูแล้วอึ้งในความสามารถของน้องเขาจริงๆ โดยเฉพาะฉากผีเข้า เล่นได้สุดยอด ยังมีน้องที่เป็นตัวชูโรงอีกสองคน คนแรกคือ บักจอบ คนนี้เห็นกี่ ทีๆก็อดหัวเราะไม่ได้ คุณบิณฑ์เขาใจเอาจุดด้อยของนักแสดงมาทำเป็นจุดเด่นนะครับ คนสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ น้องที่เล่นเป็นกี่ ("แฟรงค์ - พงษ์สิทธิ์ นาเวียง") น้องคนนี้เป็นกระเทยจริงๆ เป็นตั้งแต่เด็ก ออกฉากมาเมื่อไหร่ก็เรียกรอยยิ้มได้ตลอดเวลา
ถ้าเป็นคะแนนหนังเรื่องนี้ผมให้ 9 เต็ม 10 เลย
สรุปแล้ว ปัญญา-เรณู เป็นหนังไทยหนังดีอีกเรื่องหนึ่งครับที่ผมอยากเชิญชวนหลายๆคนไปดูครับ เป็นหนังรักใสๆของเด็กชนบทที่ดู แล้วจะ ยิ้มได้ตลอเรื่อง เพลงประกอบก็เพราะครับไปดูแล้วไม่เสียดายเงินแน่นอน และผมอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นกระแสปากต่อปาก เหมือนที่เคยเกิดกับหนังดีๆหลายเรื่องมาแล้ว อยากให้หนังเรื่องนี้ได้ ร้อยล้านจริงๆ ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอเอาคำพูดของบักจอบในหนังมาพูดตรงนี้หน่อยครับคือผม อยาก ให้หนังเรื่องนี้ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องจริงๆ แต่ก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้ขาดแรงโฆษณาทางสื่อต่างๆ ผมอยากให้คนที่เข้าไปดูแล้ว และชอบหนังเรื่องนี้ เห็นว่าสนุกดีจริงๆ ช่วยบอกปากต่อปากอีกที คนดูเพิ่มขึ้น โรงฉายเพิ่งขึ้น รอบการฉายในแต่ละวันเพิ่มขึ้น ไม่แน่นะหนังเรื่องนี้อาจจะได้ร้อยล้านจริงๆเหมือนเรื่องก็เป็นไปได้
มีอยู่คำหนึ่งที่ "บักจอบ" พูดไว้ ผมขอเอามาใช้ตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ "ฟ้าได้ลิขิตมาแล้ว ถ้ามันจะได้ ยังไงมันก็ต้องได้" สาธุ ขอให้เป็นจริง เถอะ
บทวิจารณ์โดย : TCK E-mail :TCK05@sanook.com