วิจารณ์หนัง หลุด 4 หลุด
4 หลุด เขียนบทโดยเจ้าพ่อหนังไซโคแห่งเมืองไทย แต่หนังก็หลุดจริงๆ ซะแล้ว
การที่ "ผู้อำนวยสร้าง" สมัยนี้หลายราย นำเอา "ภาพยนตร์เรื่องสั้น" 3-4 เรื่องนำมาร้อยต่อกันทำเป็น "ภาพยนตร์เรื่องยาว" เพียงเรื่องเดียวนั้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะลดขั้นตอนการเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุน อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ในหนึ่งปีมีภาพยนตร์ไทยออกมาฉายประมาณห้าสิบกว่าเรื่องและก็ 50% จะเป็นหนังที่ไม่ค่อยทำรายได้สักเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้น การนำภาพยนตร์สั้นมาต่อๆ กัน จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะว่าลงทุนน้อย ถึงเรื่องหนึ่งจะมี 3-4 ตอนก็เถอะ แต่ละตอนก็ใช้ดาราไม่ค่อยมาก งบประมาณก็น้อย ยิ่งถ้าตอนไหนไม่มีการใช้ CG ด้วยแล้ว ยิ่งประหยัดเม็ดเงินไปอีกหลายเลยทีเดียว และเมื่อปีที่แล้วก็มีผู้อำนวยการสร้างหลายรายที่ประสบผลสำเร็จด้วยวิธีนี้มาหลายเรื่องแล้ว
สำหรับในปีนี้ประเดิมหนังสั้น 4 ตอน เป็นเรื่องแรกแห่งปี กับภาพยนตร์เรื่อง "หลุด 4 หลุด" ที่ได้คุณเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ มาเป็นคนเขียนบทให้ ถ้าพูดถึงคุณเอกสิทธิ์แล้ว หลายคนจะรู้จักคุณเอกสิทธิ์ในฐานะนักเขียนการ์ตูนมาก่อน ซึ่งผลงานด้านการเขียนการ์ตูนของคุณเอกสิทธิ์ ถึงกับไปเข้าตากรรมการได้รับรางวัลใหญ่ๆ จากประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว งานเขียนการ์ตูนของคุณเอกสิทธิ์ส่วนมากแล้วก็จะไปในทาง "จิตหลุด" หักมุมแทบจะทุกเรื่อง จนกระทั้งคุณเอกสิทธิ์ ได้มีโอกาสเข้ามาเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่องแรกคือ "13 เกมสยอง" ซึ่งก็เอามาจากการ์ตูนที่คุณเอกสิทธิ์เขียนเองและได้ตีพิมพ์ไปแล้ว มาขยายเนื้อเรื่องจนเป็นภาพยนตร์ขึ้นมา จากนั้นก็เลยมีงานเขียนบทมาเรื่องๆ ไม่ว่าจะเป็น "บอดี้ศพ #19" หรือตอน "ยันต์สังตาย" ในภาพยนตร์เรื่อง "4 แพร่ง" เรื่อง "หวาน" ในภาพยนตร์เรื่อง "ฝัน หวาน อาย จูบ" และปีที่แล้ว กับภาพยนตร์เรื่อง "ใครในห้อง" ที่ทำให้นักดูหนังมึนไปตามๆ กัน "ว่าใครอยู่ในห้อง" ด้วยงานที่เป็นแบบจิตหลุดทุกๆ เรื่องนี้เอง คุณเอกสิทธิ์ จึงได้ฉายา "เจ้าพ่อหนังไซโคแห่งเมืองไทย"
สำหรับ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่คุณเอกสิทธิ์เขียนบทให้ "หลุด 4 หลุด" มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณเอกสิทธิ์ได้เข้ามากำกับเอง เรียกว่าเปิดตำแหน่งผู้กำกับมือใหม่ให้กับตัวเองอีก 1 ตำแหน่ง นอกนั้นก็จะมีผู้กำกับคนอื่นๆ มากำกับให้
หลังจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จแล้ว จากความรู้สึกโดยรวมของหนัง ก็เป็นหนังที่ น่าดูอีกเรื่องหนึ่ง คุณเอกสิทธิ์สามารถที่จะลบคำถามว่า "ทำไม" "ทำไม" "ทำไม" ที่มีมากมายในหนังทุกเรื่องของคุณเอกสิทธิ์ให้เหลือเพียงคำว่า "ทำไม" เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าคุณเอกสิทธิ์ได้ประสบผลสำเร็จแล้ว ตัวหนังทั้ง 4 เรื่องเป็นแนวจิตหลุด เรียกว่าเล่นกับจิตใต้สำนึกของคนดูให้คล้อยตามตัวหนังไปด้วย จึงทำให้ตลอดระยะเวลาในการนั่งดูหนังเรื่องนี้มีทั้งอารมณ์ อึดอัด ตื่นเต้น ตกใจ หวาดกลัว ไปจนถึง เซ็ง บางช่วง แต่ก็เป็นอะไรที่สายตาเราไม่ควรละไปจากจอภาพยนตร์เลยทีเดียว เพราะอาจจะพลาด ข้อมูลสำคัญที่จะทำให้เราไม่รู้เรื่องก็เป็นไปได้ หนังประเภทนี้ไม่ใช้หนังตลก เพราะฉะนั้นคนที่เข้าไปดู ก็คงได้รับแต่ความ ระทึก ตื่นเต้น ตกใจ มากกว่าเสียงหัวเราะ โดยผมอยากแยกเป็นเรื่องๆ ดังนี้
เรื่องแรก "เกรียนล้างโลก" กำกับโดย เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์
สำหรับเรื่องนี้ ใช้นักแสดงเพียง 4 คนเท่านั้นคือ โต้ (อเล็กซ์ เรนเดลล์), บาส (ชานน ริกุลสุรกาน), เส่ง (ณัฐพงษ์ อรุณเนตร) และ นัท (ภัทรพสิษฐ์ สรรพสวัสดีโชติ) เรื่องนี้เป็นตอนแรกและตอนเดียวเท่านั้นที่ใช้เวลาสั้นสุด (ประมาณ 15 นาที) จุดเด่นของเรื่องนี้ผมว่าอยู่ที่การถ่าย long take (ถ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีการสั่งคัท ) เลื้อยไปเลื้อยมาสัก 10 นาทีเห็นจะได้ การถ่ายในลักษณะอย่างนี้ เป็นการถ่ายที่ยากมาก นักแสดงในแต่ละจุดต้องพร้อมและเข้ากันเป็นอย่างดี การกำกับเรื่องแรก และใช้วิธีที่ยากๆ อย่างนี้ผมเทคะแนนให้คุณเอกสิทธิ์ไปเต็มๆ เลย แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นก็เดาง่ายไปหน่อย เด็กกลุ่มนี้มานั่งล้อมวงกันแล้วพูดถึงสภาวะโลกร้อน พูดวนไปวนมาก็สรุปสั้นๆ ก็คือ คนคือผู้ที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน คำถามมีอยู่ว่า "ทำไม" เด็กกลุ่มนี้จึงมาคุยกันถึงสภาวะโลกร้อน แทนที่จะคุยเรื่องเกมหรือเรื่องหญิงหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เด็กผู้ชายวัยนี้ชอบกัน มีโอกาศน้อยมากที่เด็กวัยรุ่นจะมาคุยกันเรื่องโลกร้อน แต่ก็เอาเถอะไม่ใช่ว่าวัยรุ่นจะไม่มีโอกาสคุยกันถึงเรื่องโลกร้อนเลย แค่จะบอกว่ามีเหมือนกัน แต่มีน้อยมาก และที่เกรียนสุดๆ ก็คงเป็นตอนสุดท้าย คนที่โดนคนแรกตะเกียดตะกายขึ้นมาอีก อึดจริงๆทั้งที่คนอื่น ที่โดนที่หลังไปกันหมดแล้ว อย่างนี้ต้องเรียกว่า "เกรียนล้างโลก" ของจริง ในด้านการแสดงเห็นได้ไม่ค่อยชัดนัก เพราะนักแสดงหลัก นั่งคุยกันอย่างเดียว
เรื่องที่สอง "ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด" กำกับโดย ก้องเกียรติ โขมศิริ (เฉือน, ลองของ)
สำหรับเรื่องนี้ใช้นักแสดงหลักๆเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ธาดา (ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ - บอย) ศุภกร (อัครินทร์ อัครัฐนิธิเมธรัฐ) และคุณปริญญา งามวงศ์วาน (เจ้าของร้าน) นักแสดงในตอนนี้เล่นดีกันทุกคนโดยเฉพาะคุณบอย ที่เคยเล่นเรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ แข็งเป็นหินมาแล้ว แต่กลับเรื่องนี้คุณบอยแสดงได้ดีอย่างไม่มีที่ติ คุณบอยได้แสดงถึงอาการของคนหวาดระแวงทางแววตาได้อย่างชัดเจน การที่ต้องเดินเรื่องอยู่คนเดียวของคุณบอยอาจจะเป็นจุดที่ทำให้คุณบอยต้องตั้งใจที่จะเป็นตัวละครตัวนั้นได้อย่างเต็มที่ ถือว่าคุณบอยทำได้สำเร็จ ในส่วนของเนื้อเรื่องที่มีคำถามว่า "ทำไม" นั้นก็แค่อยาก รู้ว่า ทำไมธาดา จึงต้องหนีไปที่รางรถไฟด้วย มีเหตุจูงใจอะไรที่ต้องหนีไปทางนั้น.. อาจจะดูว่าเป็นการจงใจเกินไป หรืออาจจะดูว่าตอนนี้เป็นตอนที่เครียดมากเกินไปแต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าตัว หนังยังคงสอดแทรกมุขตลกออกมาเป็นพักๆ เพียงแต่ว่ามุขตลกที่ว่าเป็นมุขตลกร้ายๆทั้งนั้นไม่รู้ว่าจะมีเสียงหัวเราะ ออกมาหรือเล่า นี่ผมคิดเล่นๆนะครับถ้าหากโลกเรามีร้านของขวัญอย่างนี้จริงๆ เราคงหวาดกลัวกับสิ่งที่อยู่รอบข้างเราอยากมากๆ เลยทีเดียว
เรื่องที่สาม "คืนจิตหลุด" กำกับโดย ภวัต พนังคศิริ (นาคปรก, six ตายท้าตาย)
ในตอนนี้ได้นักแสดงขั้นเทพอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม รับบทเป็นหนึ่งหัวหน้าแก๊งโจร มาเป็นตัวเดินเรื่อง เป็นตอนที่ผมคิดว่า ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่อง "หลุด 4 หลด" เป็นตอนที่เราต้องลุ้นระทึก กดดัน ตื่นเต้น และหวาดเสียวน่ากลัว คุณอนันดาแสดงเรื่องนี้แบบจิตหลุดได้อย่างชัดเจน เลือดร้อน ชอบความรุนแรง ชอบความรุนแรง โรคจิตชอบเห็นคนรอบข้างเจ็บปวด ใน ตอนนี้มีฉากรุนแรงอยู่หลายฉากเลยทีเดียว อาจจะเหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้จัดเรทไว้ที่ 18+ ก็เป็นไปได้ ถึงแม้ว่าผมจะบอกว่าหนังนี้เป็นเรื่องที่ดีทีแต่ก็ยังคงมีคำถามว่า "ทำไม" อยู่อย่างเดิม คือเรื่องเกียวกับ "ศาลพระภูมิ" และการวางแผนของโจ (เอ๊กซ์-ฐิติ เวชบุล) เพื่อนร่วมแก๊งของหนึ่ง มันเกี่ยวข้องกันอย่างไง ไม่เห็นเฉยให้เห็นเลย แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้ก็ถือว่าหลุดและหลอนสมชื่อครับ
เรื่องที่สี่ "ฮู อา กง" กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (13เกมสยอง, รักแห่งสยาม)
เรื่องนี้ใช้นักแสดงเยอะหน่อย ผมว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ คุมถุงชน ของคนจีนสมัยก่อนมากกว่า คนจีนสมัยก่อนถ้ามีลูกสาวมักคุมถุงชนเรื่องนี้เหมาะกับคำว่าหลุดมาก เพราะนอกจากจะฮาหลุดแล้ว เนื้อเรื่องยังหลุดอีกด้วย คนที่เล่นได้เด่นที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็น เฮียหนึ่ง (ธีมะ กาญจนไพริน) เล่นบทตุ๊ดได้เหมือนมากเรียกว่าแจ้ง เกิดได้เลย อีกคนที่ผมชอบเรื่องการแสดงของเขามากคือ ดิว (ฟลุ๊ค-ศิครินทร์ ผลยงค์) ผมว่าน้องฟลุ๊คเล่นดีมาตั้งแต่เรื่อง "เฉือน" แล้วครับ พอมาเรื่องนี้ได้เห็นการแสดงของน้องเขาอีกครั้งก็ยังติดใจอยู่เหมือนเดิม และสิ่งที่จะถามว่า "ทำไม" หรือจุดรั่วจุดหลุดในตอนนี้ก็คงเป็น อากง นั้นเอง ผมดูแล้ว ผมไม่แน่ใจครับว่า ตกลงแล้วอากงเป็นอะไรกันแน่ เป็นผี เป็นวิญญาณ หรือเป็น ซอมบี้ กันแน่ ทำไมออกมาเดินเพ่นพ่านทั้งเรื่อง แถมลูกๆหลานๆ ก็เดิมตามกันเป็นเกม RPG เลย ไม่ว่าอากงจะไปไหน ขึ้นรถประจำทาง หรือเดินเข้าสวนสาธรณะ
และ ถ้าจะพูดถึงคำหยาบแล้วล่ะก็ ทั้ง 4 ตอนมีสัตว์เลื้อยคลานเต็มจอไปหมด แต่คนดูคงไม่ค่อยรู้สึกกับคำๆ นี้ว่ามันเป็นคำหยาบไปแล้ว
อย่าจับผิดมากไปกว่านี้เลยครับ เพราะว่า หนังก็ยังคงเป็นหนังอยู่วันยันค่ำ ย่อมมีจุดรั่วจุดหลุดกันแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว เอาดูสนุกๆ ดีกว่านะครับ ในสัปดาห์นี้ถ้าใครชอบหนังประเภทจิตหลุดอย่างนี้ ชอบดูอะไรแล้ว อึดอัด ระทึก ผสมสยอง
ก็แนะนำให้ดูเรื่องนี้เลยครับ "หลุด 4 หลุด" ไม่เสียดายเงินแน่นอนครับ ส่วนคะแนนที่อยากให้หนังเรื่องนี้ผมให้ 8 เต็ม 10 แต่ถ้าดูแล้วไม่สนุกอย่ามาจิตหลุดใส่ผมก็แล้วกัน....
บทวิจารณ์โดย TCK E-Mail : tck05@sanook.com