วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2

วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ตอนแรกคิดไว้แล้วว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะได้ไปดูรอบผู้สื่อข่าวมาแล้วก็ตาม เพราะผมเคยบอกไปในบทวิจารณ์ก่อนๆ แล้วว่าไม่อยากเขียนถึงเรื่องของหนังตลกอีก (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ในบทวิจารณ์เรื่อง "วงษ์คำเหลา") แต่ดูท่าทีแล้วแม้ว่าช่วงสัปดาห์นี้จะมีภาพยนตร์ไทยเข้ามาฉายถึงสองเรื่องด้วยกัน แต่วัดจากความแรงแล้ว สองเรื่องที่ว่าก็ยังไม่สามารถทนความแรงของภาพยนตร์เรื่อง แหยมยโสธร ภาค 2 นี้ไปได้ ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าภาพยนตร์ตลกเป็นอะไรที่เขียนได้ยากมาก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในภาพยนตร์จะเหนือกฎเกณฑ์ไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบทภาพนตร์ คาแร็คเตอร์ตัวละคร รวมไปถึงบทสนทนา หน้าตานักแสดง หนังตลกมีโจทย์อยู่แค่ข้อเดียวคือ "ต้องทำให้คนดูหัวเราะ" คุณจะทำอย่างไรก็ได้ให้คนดูหนังตลกของคุณหัวเราะออกมา ทำยังไงก็ได้ให้คน "ฮา" บางครั้ง (เกือบทุกครั้ง) อาจจะดูไม่สมเหตุสมผลหรือไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ จึงเป็นที่มาของคำว่า "หนังตลกเป็นหนังไร้สาระ" ซึ่งผู้กำกับภาพยนตร์ตลกหลายคนก็ไม่ได้เถียงอะไรกับคำนี้ แถมบางทีอาจจะโดนเหน็บกลับมาอีกว่า ถ้าอยากดูหนังมีสาระจริงๆก็ให้ไปดู "หนังสารคดี" จะได้สาระดีกว่า ว่าไปนั้น แหยมยโสธร 2 เป็นการต่อยอดมาจากภาค 1 ที่โกยเงินไปมากกว่าร้อยล้านบาท ด้วยการกำกับของคุณหม่ำ จ๊กมก "ตลกตัวพ่อ" ของเมืองไทย เรียกว่ากำกับเองเล่นเองตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ด้วยบทตัวนำเด่นอย่าง "ไอ้แหยม" ที่แสดงโดยคุณหม่ำเอง (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และนางเอกของเรื่อง "อีเจ้ย" แสดงโดยคุณเจเน็ต เขียว (นงนุช สมบูรณ์) ภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายย้อนยุคช่วงกางเกงขาบาน รองเท้าส้นสูงหรือส้นตึกกำลังฮิต แต่ละคนจะแต่งชุดแสบสันเรียกว่าสีสดใสตัดกันเห็นๆ ในภาคสองนี้คุณหม่ำเรียกว่าเป็นป๋าดันเต็มตัวเลย เพราะว่าในภาคนี้คุณหม่ำได้เหมาทั้งวงศ์ตระกูลมาเล่นเลย อย่างบทนางเอกก็ได้ลูกสาวมาเล่นให้ในบทของ "อีแว่" (บุษราคัม วงษ์คำเหลา-เอ็ม) ส่วนลูกชายคนเล็กของเรื่องก็ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหม่ำมาแสดงเช่นเดียวกัน ในบทของ "บักคำผาน" (เพทาย วงษ์คำเหลา-มิกซ์) ส่วนตัวประกอบอื่นๆ อย่างเกษตรฉัตรชัย ก็ได้คนในวงศ์ตระกูล วงษ์คำเหลามาเล่นอีก (จรณ์ วงษ์คำเหลา) และยังมี "วงษ์คำเหลา" อีกหลายคนมาเล่นเรื่องนี้ นอกนั้นก็จะเป็นสมาชิกในวงจ๊กมกของคุณหม่ำซะเกือบหมด เรียกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวของคุณหม่ำเลยก็คงไม่ผิดอะไร ตัวเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้จะกล่าวถึงรุ่นลูกของไอ้แหยมกับอีเจ้ยแล้ว แม้ว่าบทสนทนาในภาพยนตร์จะเป็นภาษาอีสานหรือภาษาท้องถิ่นของชาวยโสธร แต่ก็เป็นภาษาที่ฟังง่ายๆ ไม่ถึงกับไม่เข้าใจ แต่ถ้าคิดว่ากลัวจะไม่เข้าใจ ก็ยังคงมีบทพากย์เป็นภาษาไทยให้อ่านอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าจะดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องก็คงตัดทิ้งไปได้เลย คุณหม่ำพยายามที่จะสอดแทรกประเพณีบั้งไฟที่โด่งดังของชาวยโสธรเข้ามาในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็อย่างที่บอกหนังตลกเป็นหนังไร้สาระ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะนำเรื่องบั้งไฟเข้ามาในเรื่อง เราก็แค่รู้ว่าประเพณีบั้งไฟเป็นหน้าตาของชาวยโสธรเท่านั้น แต่เรื่องที่ว่า ต้องมีพิธีอะไรบ้างที่เป็นกิจจะลักษณะ คงหาไม่ได้เลยจากเรื่องนี้ อีกอันคือประเพณีทำขวัญหรือบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่มีเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเสมือนเป็นการรับขวัญ พี่ท่านก็เอามาเล่นเป็นตลกโปกฮาไปเสียทั้งหมดเลยไม่ได้อะไรจากตรงนี้ นอกจากเสียงฮาของคนข้างๆ ผมบางคนเท่านั้น ก็บอกแล้วว่าเป็นหนังตลกอย่าไปคิดมาก อ๋อ..แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณหม่ำทิ้งท้ายไว้สำหรับคนอีสาน คือเรื่องของภาษา คุณหม่ำบอกว่าไม่อยากให้คนอีสานลืมภาษาท้องถิ่นของตัวเอง อันนี้ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ในด้านการแสดงน้องเอ็มลูกสาวคุณหม่ำอาจจะเป็นการแสดงในเรื่องแรก ผมว่าเธอยังเล่นแข็งๆ ไปหน่อยไม่ค่อยธรรมชาติมากนัก สำหรับน้องมิกซ์ ที่เคยผ่านการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง อย่างเรื่องล่าสุดถ้าผมจำไม่ผิดก็คงเป็นเรื่อง 5 หัวใจฮีโร่ ที่น้องมิกซ์ได้ฝากผลงานเอาไว้ มาเรื่องนี้การแสดงก็ยังคงที่ครับ คงต้องพัฒนาอีกเยอะ เพราะว่าบทเด่นๆ อาจจะไม่ได้อยู่ที่น้องสองคนนี้ก็ได้ แต่บทเด่นจริงๆ อยู่ที่คุณหม่ำพ่อตาสุดซ่าส์และคุณดิมลูกเขยสุดแสบมากกว่า ในภาคนี้คุณหม่ำได้เป็นถึงกำนันแหยม แต่ว่าคนที่จะมาจีบลูกสาวคือปลัดธนู (หรินทร์ สุธรรมจรัส-ดิม นักร้องนำวงแทททูคัลเลอร์) ถ้าพูดถึงการแสดงของคุณหม่ำ ผมว่าตัดไปได้เลย เพราะว่าคุณหม่ำเรียกว่าระดับมือโปรแล้ว แต่กับคุณดิมถึงแม้ว่าไม่ใช้นักแสดงมาก่อนแต่ก็เป็นถึงนักร้องยอดนิยมของไทยอีกคนหนึ่งที่มีแฟนคลับอยู่หนาแน่น ในเรื่องก็เล่นได้กวนมาก ซึ่งเราเคยดูมาแล้วกับหนังที่เป็นลักษณะพ่อตาซ่าส์ลูกเขยแสบ แต่สำหรับพ่อตากับลูกเขยคู่นี้เรียกว่าแสบไม่กินเส้นกันแบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ในด้านมุขตลกหลายๆ มุขที่นำมาเสนอเรื่องนี้บางมุขก็ฮาบางมุขก็ยังแป้ก ส่วนมุขที่ผมว่ามันฮาดีก็คงเป็นมุขตอนทำบายศรีสู่ขวัญ กับตอนสุดท้ายที่ "อีเจ้ย" บอกว่า "เลิกสีได้แล้ว" ผมว่าฮาดีนะครับ ส่วนจะเป็นสีอะไรคงต้องให้เข้าไปชมกันเอง สำหรับเรื่องคำหยาบก็คงหนีไม่พ้นเพราะเรื่องนี้ก็มีพอสมควรเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าเรื่อง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ในตอนท้ายๆ เรื่องที่ชอบให้นายโหน่งมาด่าคำแรงๆ อันนั้นรับไม่ได้จริงๆ เรื่องบทของหนังเรื่องนี้คงไม่ต้องไปพูดถึง แต่โทนหนังของเรื่องนี้ผมว่าดูดีนะครับ เห็นถึงชีวิตของชาวชนบทถึงแม้ว่าแค่บางส่วนก็ยังดี ภาพสวยครับเพราะหนังเรื่องนี้เน้นสีสันอยู่แล้ว เพลงประกอบก็โอเคครับ..... ดูเรื่องนี้แล้วได้อะไร แน่นอนเป็นภาพยนตร์ตลกก็ต้องได้ความบันเทิงในเรื่องของตลก แต่สิ่งอื่นๆ ถึงดูเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบท ประเพณีต่างๆ ความรักที่พ่อคนหนึ่งมีต่อลูก ความรับผิดชอบของคนในสังคมเดียวกัน การปราบปรามอบายมุขต่างๆ รวมไปถึงเรืื่องของการทำผิดกฏหมาย การแฝงตัวของข้าราชการที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกสื่อออกมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งสิ้น หนังตลกดูเพลินๆ ไม่คิดอะไรมากก็ถือว่าดีแล้ว แต่ถ้ามีสาระแม้ว่าจะน้อยนิดแฝงเอาไว้ด้วย นั่นก็ถือว่าคนดูได้กำไรสุดๆ แล้วครับ ผมไม่อาจบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้สนุกหรือเปล่า หรือว่าฮามากไหม ต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนดู ใกล้ปีใหม่แล้วผมว่าหาหนังที่ดูแล้วไม่ต้องคิดมากสักเรื่องก็น่าจะดีนะ (หรือว่าดูแล้วยิ่งคิดมากไปใหญ่) เอาเป็นว่าถ้าว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เข้าไปดูหนังเรื่องนี้กันดีกว่า ยังไงๆ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่อุดหนุนหนังไทยนะครับ...

บทวิจารณ์โดย : TCK E-mail :TCK05@sanook.com

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2

วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2
วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2
วิจารณ์หนัง แหยมยโสธร 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook