วิจารณ์หนัง สามพันโบก (THE SANCTUARY)
ภาพยนตร์ไทยที่มีชื่อแปลกๆ เรื่องนี้ถ้าได้อ่านแค่ชื่อโดยยังไม่ได้ดูตัวอย่างของหนัง อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Action สามพันโบก เอาชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในไทยที่มีทิวทัศน์สวยงามของแก่งหินต่างๆ หรือที่ชาวต่างประเทศรู้จักกันในนาม แกรนด์แคนย่อนเมืองไทย เอามาเป็นชื่อหนัง ด้วยเหตุที่ว่า ตัว Boss ของเรื่องนี้จะต้องใช้เส้นทางเส้นนี้เป็นที่หลบหนีนั่นเอง
สำหรับตัวผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ คือคุณธนภณ มลิวัลย์ (หนุ่ม) เคยกำกับหนังแนวบู๊มาแล้วอย่างเรื่อง Brave กล้า หยุด โลก ซึ่งก็ไม่ประสบผลสำเร็จทางด้านรายได้สักเท่าไหร่ เลยลองหันมากำกับหนังแนวกุ๊กกิ๊กดูบ้าง อย่างเรื่อง คอเลสเตอรอล...ที่รัก ก็ยังไม่ค่อยถูกใจผู้ชมนัก คุณหนุ่มเป็นทายาทคนเดียวของค่ายหนัง เพชรพันนา โปรดักชั่น ค่ายหนังที่เคยสร้าง คุณพันนา ฤทธิไกร จนโด่งดังมาแล้วจากเรื่อง เกิดมาลุย
และพระเอกนักบู๊อันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง จา พนม ก็แจ้งเกิดจากค่ายนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งค่ายหนังนี้จะเน้นแต่ทำหนังประเภท Action เป็นส่วนมาก เริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบัน มีหนังที่ทำจากค่ายนี้มากกว่า 37 เรื่องแล้ว คุณหนุ่มได้ไปศึกษาต่อทางด้านกำกับและเขียนบทภาพยนตร์ที่ประเทศอเมริกา และเปิดบริษัทขึ้นมาใหม่ที่มีชื่อว่า ฟิล์มเฟรม โปรดักชั่น ภาพยนตร์เรื่อง สามพันโบก จึงเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของค่ายนี้ โดยการร่วมทุนสร้างระหว่างบริษทฟิล์มเฟรม โปรดักชั่น กับบริษัทสร้างหนังของประเทศมาเลเซีย
ด้วยทุนสร้างกว่า 60 ล้านบาท โดยหวังให้เป็นงานสร้างระดับอินเตอร์ ได้ว่าจ้างดาราฮอลลีวูด หลายคนด้วยกันอย่าง รัสเซล หว่อง ที่เคยฝากผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง The Mummy 3 รับบทเป็นหมิงกั้วประกบเจ็ทลีมาแล้ว ก็มาแสดงนำในเรื่อง สามพันโบกด้วย
หลังจากที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้ว ถ้าพูดถึงบทผมว่ายังไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่นัก แม้จะเอาจุดของการรักชาติ หวงแหนสมบัติของชาติเป็นหลักเสริมด้วยแม่ไม้มวยไทยแล้วก็ตาม แต่ความสมเหตุสมผลยังหาไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ อย่างเช่น เครื่องส่งสัญญาณแซทเทลไลท์จากกองทัพสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเครื่องหาวัตถุใต้ดิน ไม่มีประสิทธิภาพหรือไง ถึงหาของที่ต้องการไม่เจอสักที แต่บทที่จะให้เจอก็เจอแสนง่าย ขุดหลุมนิดเดียวก็เจอแล้ว แล้วร้านรับซื้อของโบราณมีร้านเดียวหรือยังไง ทำไมตัวเอกเอาของไปขายปุ๊บ โทรเรียกมือสังหารมาเป็นฝูงได้ทันทีทันใด รู้ไว่าจะมีคนเอาของสำคัญมาขาย...
นางเอกของเรื่องเห็นตัวเอกโดนยำแต่ไม่ทำอะไรเลย กลับยืนดูอยู่เฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โทรแจ้งตำรวจก็ยังดี ยืนเฉยเลย หรือว่าเรื่องนี้ไม่มีตำรวจ แพททริค, เซริน่า และลูกน้องอีกคน เก่งโคตรๆ ไปลุยในดงโจรเพียงแค่ 3 คนปราบโจรได้ทั้งรังด้วยปืนป๊อกแป๊ก พวกโจรมีมากมาย ล้วนแล้วแต่ใช้ปืนกล เอ็ม 16 แต่ยิงสู้ปืนป๊อกแป๊กไม่ได้ (น่าเอาโจรพวกนี้ไปหัดยิงปืนใหม่) เก่งโคตรๆ อย่างนี้ แต่ตอนตายๆ ง่ายจัง โดยเฉพาะ เซริน่าสู้กับปลายฟ้า ทั้งที่ปลายฟ้าไม่ได้เก่งไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไรเลย น่าเวทนาจริงๆ...ระเบิดที่เซริน่าใช้ปาในค่ายโจร เวลาปาใส่โจรระเบิดทันทีทันใด แต่ก่อนจะหนีออกจากรังโจร ปาระเบิดไป 4-5 ลูกไม่ยักจะระเบิดทันทีทันใดเหมือนปาพวกโจรทั้งที่เป็นระเบิดเซตเดียวกัน ต้องรอให้หนีออกจากรังโจรได้เสียก่อนถึงจะระเบิด ยังงี้ก็มีด้วยเหรอ....
เสื้อของปลายฟ้าตอนที่หนีพวกโจร ไม่ว่าเธอจะเจออะไรมา ล้มลุกคลุกคลานนอนกลางดินกินกลางทรายภายในถ้ำหรือกลิ้งลงไหล่ทางถนนไปหลายตลบ แต่เสื้อผ้าเธอก็ยังขาวสะอาดดูดีเหมือนใหม่ตลอดเวลา ด้วยพลังของโอโม่หรือเปล่าไม่รู้หรือว่าแอบไปซักเสื้อตอนไหนก็ไม่ทราบขาวจริงๆ ยกเว้นตอนสู้กับเซริน่า มีรอยเปื้อนเล็กน้อย...เช่นเดียวกับทรงผมของแพททริค ไม่ว่าจะโดนเตะหน้าหงายไปหลายที เตะกลิ้งไปหลายตลบ หัวทิ่มน้ำแล้วก็มี แต่ทรงผมพี่ท่านยังดูเนี้ยบตลอดเวลา ไปทำผมมาจากร้านไหนก็ไม่รู้ ดูดีจริงๆ...
กริช เก่งมากแค่ดูภาพวาดบนกำแพงหินก็สามารถฝึกมวยไทยขั้นสุดยอดได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ถ้ามีคนเก่งๆ อย่างกริชเยอะๆ ประเทศเราคงมีแชมป์มวยโลกหลายคนแน่ๆ...แสงที่เปล่งออกมาจากสร้อยคอกริช ตอนที่กริชสลบไป น่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับปลายฟ้า แต่ทว่าทำไมเธอเฉยเมยเหลือเกิน เหมือนเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นประจำ แม้กริชตื่นขึ้นมาแล้วก็เล่าให้ฟังแบบไร้อารมณ์ว่า ตอนที่เธอสลบไปมีแสงออกมาจากสร้อยเธอด้วยล่ะ แค่นี้นะไม่ตื่นเต้นเลยนะเธอ....
การออกแบบท่าการต่อสู้สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะดูตื่นเต้นแปลกใหม่ แต่..พอดูเรื่องนี้แล้วเหมือนกลับไปสมัยที่ได้ดูหนังเรื่อง องค์บาก ใหม่ๆ ท่าการต่อสู้ที่ออกแบบมานั้นยังธรรมดาเกินไป บางท่าที่มีการตั้งรับดูแล้วเหมือนจงใจให้เกิดท่านั้นๆ ขึ้น ยังมีบางท่าที่มีการตั้งรับได้น่าเกลียดมาก อย่างเช่น ตัวโกงกำลังถูกพระเอกกระโดดทีบ แทนที่จะหลบหรือทำให้ดูเป็นธรรมชาติสักหน่อย แต่กลับแอ่นอกรับเหมือนตั้งใจให้เกิดท่านั้นๆ ขึ้นมาเรียกว่าเอาท่าสวยไว้ก่อน ท่าการต่อสู้ที่ดูสวยที่สุดน่าจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง ตอนที่เป็นภาพน้ำกระจายอันนั้นโอเคเลยครับสวยดี
เพลงประกอบหรือซาวด์ประกอบ ไม่ดีเลยครับ ไม่เร้าใจเท่าที่ควร น่าจะมีดนตรีที่ทำให้เร้าใจมากกว่านี้ ให้รู้สึกว่ากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่ใช่ดูแล้วเหมือนการต่อสู้กันธรรมดาอย่างนี้
ในส่วนของนักแสดง คนที่แสดงได้ดีที่สุดในเรื่องนี้ผมยกให้บทของ แพททริค (รัสเซล หว่อง) นักแสดงจากฮอลลีวู้ดแสดงได้ดีมาก ตีคู่มากับนักแสดงของไทยที่รับบทเป็น เซริน่า (เมย์-ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) ผมว่านัยน์ตาของคุณเมย์ดูแล้วน่ากลัวมากเหมือนเป็นคนดุ เธอเหมาะกับบทมือสังหารในเรื่องนี้มาก กับบทปลายฟ้า (ทราย-อินทิรา เจริญปุระ) จริงๆ แล้วผมเป็นแฟนคลับของเธอนะครับ ชอบการแสดงของเธอมากโดยเฉพาะเรื่องเฮี้ยนที่เธอเคยเล่นไว้ ดีมากเลยครับ แต่กับการแสดงเรื่องนี้ ผมว่ายังธรรมดาเกินไป อาจจะเป็นเพราะว่าบทเธอเด่นไม่เท่าตัวเอก (พระเอก) ของเรื่องก็ว่าได้
ส่วนคนที่รับบท กริช (บี-ไพโรจน์ บุญเกิด) เป็นตัวเด่นของเรื่องนี้ เป็นตัวละครที่ออกฉากมากที่สุด แต่ผมดูแล้วหน้าตาพี่ท่านไม่ค่อยขึ้นกล้องเท่าไหร่ ยังไม่เป็นที่ดึงดูดคนให้มาดูมากนัก ถ้าเทียบชั้นกับจาพนมแล้วคงยังห่างกันอีกมาก ฝีมือการแสดงของคุณบี น่าจะเสมอตัวกับคุณเดี่ยว-ชูพงษ์ มากกว่าครับ
สรุปแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูได้เรื่อยๆ ครับ อย่าคิดมาก ดูแล้วไม่น่าเบื่อ การดำเนินเรื่องในแต่ละฉากต่อกันดี แม้จะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ฉากบู๊ก็โอเคระดับหนึ่ง ยังไงๆ หนังเรื่องนี้ก็ขายลิขสิทธิ์ให้ต่างประเทศไปหลายประเทศแล้ว อย่างเช่น อเมริกา ฝรั่งเศส สเปน ตุรกี จีน บราซิล อินเดีย และ อินโดนีเซีย ก็เรียกว่าหนังไทยเรื่องนี้เป็นหนังโกอินเตอร์เลยทีเดียว แล้วอย่างนี้จะไม่ดูได้ยังไงล่ะครับ...
บทวิจารณ์โดย : TCK E-mail :TCK05@sanook.com