วิจารณ์หนัง จีจ้า ดื้อสวยดุ
เสียดายอยู่อย่างหนึ่งที่ผมไม่มีโอกาสได้วิจารณ์หนังเรื่องแรกที่น้องจีจ้า (ญาณิน วิสมิตะนันทน์) ได้เล่น (ช็อคโกแลต) แต่ก็ยังเป็นความโชคดีของผม ที่พอจะพูดถึงหนังเรื่องที่สองของเธอได้ อย่างเรื่อง จีจ้า ดื้อสวยดุ เรื่องนี้
ก่อนอื่นเรามาคุยกันถึงเรื่องของผู้กำกับเรื่องนี้กันก่อน ถ้าเอ่ยชื่อ คุณราเชนทร์ ลิ้มตระกูล หลายคนคงรู้จักกันดีและก็คงรู้จักถึงผลงานต่างๆที่ผ่านๆ มาของคุณราเชนทร์ด้วยเช่นกัน ในฐานะผู้กำกับคุณราเชนทร์เคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” จนโด่งดังมาแล้ว และยังมีส่วนสำคัญหรือผู้อยู่เบื้องหลังให้กับหนังดังหลายเรื่องด้วยกัน อย่างเช่น มือปืน/โลก/พระ/จัน, ผีสามบาท, จอมขมังเวท, ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง ช็อคโกแลต และ องค์บาก 2 ประสบความสำเร็จอีกด้วย และหลังจากห่างเหินจากการกำกับหนังมาถึง 10 ปีเต็ม ในปี 51 คุณราเชนทร์ได้ลงมือกำกับหนังสั้นเป็นเรื่องแรก ในเรื่อง “จูบ” ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เรื่องสั้นในโครงการภาพยนตร์เรื่อง “ฝันหวานอายจูบ” ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ทางด้านลบเสียส่วนมากกับการทำหนังสั้นเรื่องนี้ และในปี 52 นี้ คุณราเชนทร์ประกาศจะสร้างหนังรักผสมศิลปะการต่อสู้ ในช่วงแรกๆ ผมยังนึกภาพไม่ค่อยออกว่ามันจะออกมายังไง จนมาถึงวันนี้แล้วก็อยากให้หลายๆ คนเข้าไปพิสูจน์กัน
น้องจีจ้านั้นปีนี้อายุ 25 แล้ว เข้าสู่วัยเบญจเพสพอดี ในหนังเรื่อง จีจ้า ดื้อสวยดุ จะเห็นว่าน้องจีจ้าสวยขึ้นผิดหูผิดตาเลยทีเดียว ดูเธอเป็นผู้หญิงที่สวยขึ้น น่ารัก และมีเสน่ห์ ผิดกับเรื่องที่แล้ว เรียกว่าสลัดคราบเด็กเกาหลีทิ้งไปแบบไม่เหลือเยื่อใยเลย นอกจากความสวยแล้ว ความสามารถก็เพิ่มขึ้นด้วย สมราคาคุยที่ว่า “เล่นจริง เจ็บจริง สวิงกว่าเดิม” แม้ในฉากตีกลองในผับ ซึ่งเธอก็ไม่เคยตีกลองมาก่อน (เธอตีกลองไม่เป็น แต่ผู้กำกับสั่งให้เธอตีไปตามจังหวะเพลงที่เปิดให้เข้าจังหวะให้มากที่สุด) แต่ก็ออกมาดี ชนิดที่ดูไม่ออกเลยว่าเธอตีกลองไม่เป็น
สำหรับเนื้อเรื่องหลักๆ ของภาพยนตร์แนวพันธุ์บู๊ของไทยเรานั้นก็เหมือนๆ กันแทบทุกเรื่อง คือไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องมากนัก เนื้อเรื่องน้อยมาก จะเน้นบทบู๊มากกว่า อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน “จีจ้า ดื้อสวยดุ” เนื้อเรื่องหลักๆ ก็คือ มีพวกแก๊งค้ามนุษย์ที่คอยจับมนุษย์เพศหญิงไปขาย “ดื้อ” ก็เป็นหนึ่งหญิงที่ถูกหมายหัวเอาไว้ ถ้าพูดถึงชีวิตของเธอในหนังแล้ว ครอบครัวก็เหมือนแตกแยก พ่อตาย แม่มุ่งแต่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแล ได้เป็นนักดนตรีในตำแหน่งมือกลองให้กับผับแห่งหนึ่ง แต่ก็ต้องถูกไล่ออกจากวงเพราะดันไปปี๊ดแตกใส่แฟนของเธอ ที่ควงหญิงคนใหม่มาให้เธอเห็น แล้วเธอก็กินเหล้าเมามายไปนอนกลางทุ่งบ่นเพ้อถึงพ่อ “หนูโดนหลอกอีกแล้วพ่อ เมื่อไหร่จะมาเอาหนูไปอยู่ด้วย” อะไรประมาณนี้
อาจจะเป็นเพราะเธอทำงานในผับหรือเปล่าก็ไม่ทราบจึงทำให้ผู้หญิงหน้าสวยคนนี้ดื่มเหล้าเป็น เรียกว่าเก่งเลยทีเดียว นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เธอสามารถเรียน “เมรัยยุทธ์” ได้เร็วแบบหลักสูตรเร่งด่วนปานสายลม (เก่งโค-ตะ-ระๆ)
วิชา “เมรัยยุทธ์” ว่ากันว่าเป็นศาสตร์การต่อสู้อีกแขนงหนึ่งที่ทรงอานุภาพมาก มีความฉับไวเป็นเลิศ พร้อมการจู่โจมเป็นเยี่ยม มีความพลิ้วไหว ล้ำลึก แปลกตา และยากที่จะคาดเดาได้ โดยอาศัยเหล้า (การเมา) เป็นทางผ่าน หรือเรียกอีกอย่างว่า “มวยเมาไทย” ผมไม่รู้ว่าเรียนแล้วเก่งจริงตามในหนังหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าถ้ามีเด็กที่ยังคิดไม่เป็นอยากเก่งเหมือนในหนังแล้วล่ะก็ คราวนี้แหละ เหล้าขายดีแน่ๆ จะเห็นเด็กเมากันทั้งบ้านทั้งเมือง ที่ดีหน่อยก็ตรงที่ว่า ทางผู้สร้างคงจะคิดในจุดนี้เหมือนกัน เลยเปลี่ยนขวดเหล้าเป็นสีสันต่างๆ มองดูไม่รู้เลยว่าเป็นขวดเหล้า ก็โอเคครับ
ในเรื่องของท่าการต่อสู้ ผมว่าคนที่ออกแบบท่าการต่อสู้หรือดีไซน์ท่าก่อนต่อสู้ ในเรื่องนี้เก่งมากครับ ท่าการต่อสู้แปลกและสวยดีครับ ได้ข้อมูลว่า ท่าต่อสู้ของเรื่องนี้นำมาจากศิลปะการเคลื่อนไหวหลายประเภทด้วยกัน เช่น บีบอย ลีลาศแบบซัลซา สเก็ตน้ำแข็ง ฟรีรันนิง ทริกซ์ มวยไทย และยิมนาสติก ถ้าให้เปรียบเทียบท่าการต่อสู้ระหว่างเรื่องที่แล้ว (ช็อคโกแลต) กับเรื่องนี้ ผมว่าท่าการต่อสู้ของเรื่องนี้ดูแล้วพลิ้วกว่าเยอะ แต่บางท่าก็ดูไร้พลังเหลือเกิน (แต่ฝ่ายตรงข้ามกระเด็นไปถึง 3 ลี้) แต่ท่าสวย บางท่าการต่อสู้เหมือนตั้งใจให้เกิดท่านั้นๆ มากเกินไป เหมือนเตรียมพร้อมที่จะให้เกิดท่านั้นๆ ขึ้น แต่ฉากสุดท้ายจีจ้าไม่เห็นดื่มเหล้าเลย (คงหาไม่ได้ในถ้ำ) แต่ไหงเก่งขึ้นมาได้ ลูกฮึดลูกสุดท้ายเหมือนเรื่องช็อคโกแลตเลย...
ตัวนักแสดงอย่างน้อง จีจ้า เรื่องนี้เธอเล่นได้ดีครับ พัฒนาการแสดงได้ดีขึ้น ไม่คิดว่าเธอจะเล่นพวกฉากดราม่าได้ แต่เธอก็ทำได้ดีเลยทีเดียว ส่วนฉากแอ็คชั่นของเธอคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เรียกว่าถ้าตำแหน่งนักบู๊ชายยอดเยี่ยมยกให้จาพนม นักบู๊หญิงยอดเยี่ยมก็ต้องยกให้จีจ้าแน่นอน ในส่วนของฉากต่อสู้ที่ดูดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คงเป็นฉากการต่อสู้บนสะพานเชือกนะครับ ออกแบบฉากและท่าการต่อสู้ได้ดีมากเลยครับ อีกฉากการต่อสู้ที่ผมชอบคงจะเป็นที่สวนสนุกร้าง ที่มีการใช้ พาวเวอร์สกิป (เหมือนขาจิงโจ้ที่ช่วยในการกระโดดให้สูงขึ้น พร้อมติดอาวุธไว้ครบครัน) ส่วนนักแสดงคนอื่นๆอย่างบทของ ขี้สนิม (คาซู แพทริก แทง / หนุ่มฝรั่งเศสผู้ชนะรางวัลศิลปะการต่อสู้ ทริกซ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างยิมนาสติก เทควันโด คาโปเอลา ฟรีรันนิง และ บีบอย ) ก็แสดงได้ดีระดับหนึ่ง แม้ว่ายังไม่โดดเด่นเท่าจีจ้า ส่วนอีก 3 คนที่มาช่วยสร้างสีสันให้กับหนังเรื่องนี้ ก็คือนักเต้น บีบอยทั้ง 3 คน อย่างขี้หมู (หนุ่ย แสนแดง /ชนะเลิศอันดับ 3 ในการแข่งบีบอยระดับประเทศ แบทเทิล ออฟ เดอะ เยียร์ 5 ปีซ้อน (คุณหนุ่ย ไม่คิดจะเอาที่ 1 กับที่ 2 บ้างเหรอ ได้แต่อันดับ 3 มาตั้ง 5 ปีแล้ว)) ขี้หมา (เฮส - สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม / แชมป์บีบอยภาคเหนือ 3 สมัย และได้ที่ 5 ในระดับประเทศ 4 สมัย) และคนสุดท้าย ขี้ควาย (โอมาน - บุญประเสริฐ ศาลางาม / เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการบีบอยมานับ10 ปี เป็นอาจารย์สอนเต้นบีบอย และยังเป็นกรรมการการแข่งขันระดับประเทศอีกด้วย) ในบทของขี้หมู ผมว่าคุณหนุ่ยเล่นได้ทะเล้นดีครับ ผมชอบ
ส่วนคนสุดท้ายที่ขาดไม่ได้จริงๆ ก็คงเป็นคุณรุ้งตะวัน จินดาซิงห์ (แชมป์เพาะกายหญิงระดับเอเชีย และมีความสามารถทางด้าน ยูโด อีกด้วย) ที่รับบทเป็น ลอนดอน คู่ปรับคนสุดท้ายของจีจ้าในเรื่องนี้ เธอเล่นได้ดีอย่างไม่มีที่ติ แม้ว่าจะเป็นหนังเรื่องแรกของเธอก็ตาม แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึง ในเรื่องสภาพแวดล้อมก็บอกอยู่ว่าเป็นสมัยใหม่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้วก็สมัยนี้ทั้งนั้น แต่ทำไมพวกโจรถึงไม่มีอาวุธไว้ใช้เลยสักอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืนหรือระเบิด ก็ไม่มี เป็นองค์กรที่น่าส่งสารมาก แม้จะเก่งทางด้านฝีมือชกต่อยหรือหมัดมวยก็เถอะ แต่ถ้าโดนอะไรแรงๆ สักโป้งเดียวหรือบึ้มเดียว ก็คงถล่่มกันทั้งถ้ำแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อสู้กันถึงขนาดนี้..!?
สรุปแล้ว เรื่องนี้ดูสนุกดีนะครับถึงแม้ว่าจะเน้นบู๊มากไปสักหน่อย เนื้อเรื่องไม่ค่อยมี ขาดเหตุและผลบ้างบางตอน เดาเรื่องได้ง่ายไปหน่อย มีีดราม่าเข้ามาขั้นบ้างประปราย แต่โดยรวมแล้วดูดีครับ แค่ได้ดูศิลปะการต่อสู้ที่แปลกใหม่และที่หาดูไม่ค่อยได้ อย่างเช่น ทริกซ์ปะทะยูโด บีบอยปะทะหมัดเมาจีน หรือ หมัดเมาไทยปะทะหมัดเมาจีน แค่นี้ก็คุ้มแล้วครับ...
บทวิจารณ์โดย E-mail :TCK05@sanook.com