วิจารณ์หนัง อนุบาลเด็กโข่ง
หลายคนคงทราบกันดีแล้วนะครับว่า คุณคุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา ผู้กำกับหนังเรื่อง อนุบาลเด็กโข่ง เคยผ่านงานกำกับภาพยนตร์ใหญ่มาแล้วถึง 2 เรื่องด้วยกัน คือเรื่อง “ขุนกระบี่ ผีระบาด” หนังแอ็คชั่นแฟนตาซีพันธุ์ไทยแท้ๆ ที่ดูแล้วเหมือนโดนกระบี่ฟาดฟันลงกลางกบาลยังไงไม่รู้ กับเรื่อง “อสุจ๊าก” หนังวัยรุ่นที่เอาเรื่องลับที่ไม่มีใครคิดถึงว่าจะทำออกมาเป็นหนังได้ จนคนที่เข้าไปดูเรื่องนี้ร้องจ๊ากกันเป็นแถวๆ สมกับชื่อหนังจริงๆ ซึ่งหนังทั้ง 2 เรื่องที่ผ่านมาของคุณคุ้ยไม่ประสบผลสำเร็จทางด้านรายได้ และได้รับคำติจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก และผมก็เชื่อแน่ว่าหลายคนที่เข้ามาอ่านบทวิจารณ์นี้ก็คงได้ดูหนังทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนี้ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้าที่จะมีเรื่อง “อนุบาลเด็กโข่ง” คุณคุ้ยได้ทำหนังสั้นในโครงการชวนเด็กดูหนังของ สสส.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ในเรื่อง “หัวหน้า” และก็ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้ชมหนังสั้นเรื่องนี้เป็นอย่างมาก คุณคุ้ยจึงได้หยิบยกเรื่อง “หัวหน้า” ที่เป็นหนังสั้นนั้นมาต่อยอดให้เป็นหนังยาว และจึงเกิดเรื่อง “อนุบาลเด็กโข่ง” ขึ้นมา
อนุบาลเด็กโข่ง พูดถึงเด็กที่ตัวโตผิดปกติ ที่เรียนอยู่ชั้น อนุบาล 3 แต่ว่าตัวโตเหมือนเด็กอายุ 18 แถมเด็กคนนี้ยังเป็นถึงหัวหน้าแก๊งคิงคอง อันเลื่องชื่อในละแวกตำบลนั้นอีกด้วย และด้วยร่างกายที่โตกว่านี้เอง “โอม” ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งคิงคอง จึงยกพวกไปยึดพื้นที่แก๊งต่างๆ ในตำบลเกือบหมด ยกเว้นอยู่แค่แก๊งเดียวเท่านั้นที่โอมยังไม่สามารถไปยึดได้นั่นก็คือ แก๊งแพนด้า...
ตอนที่หนังตัวอย่างเรื่องนี้ออกมา ผมมีความรู้สึกว่า เหมือนหนังเรื่องนี้สื่อให้เด็กยกพวกตีกัน เริ่มตั้งแต่อนุบาลเลย แต่พอได้ไปดูก็เปลี่ยนทัศนคติไปอีกอย่าง ก็อย่างว่านะครับ มันเป็นภาพยนตร์ และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นคอเมดี้ เบบี้กุ๊กๆ ด้วยแล้ว ถึงจะเป็นการยกพวกตีกัน แต่ก็เป็นอะไรๆ ในโลกของเด็กเท่านั้น ไม่มีความรุ่นแรงอะไรมากนัก (แต่ก็ไม่มั่นใจว่านั้นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่ความรุนแรงหรือเปล่า) ดูไปออกจะยิ้มไปด้วยซ้ำ กับความน่ารักของเด็กๆ แต่ละคน ผมว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่เครียดนะ มีทั้งบู๊ (แบบเด็กๆ) รัก หลงผิด หักหลัง ล้างแค้น และก็ความรู้สึกดีๆ กับคำว่า “เพื่อน” กับคำว่า “ความรัก” ที่พ่อแม่มีให้กับลูก หนังดูแล้วออกจะเวอร์ไปหน่อย (ไม่หน่อยหรอกเยอะเลย) แต่ก็อยู่บนพื้นฐานที่พอจะเข้าใจและอนุโลมได้ตลอด ดูไปก็ยิ้มไป หัวเราะไป ว่างั้นเถอะ
การแสดงของตัวโอม (นพฤทธิ์ สุริวงศ์) ที่เป็นหัวหน้าแก๊ง มีหลายคนบอกว่า หน้าเขาดิบเกินไป ถ้าเอาน้องแจ๊คแฟนฉันมาเล่นจะเหมาะกว่า อันนี้ผมไม่มีความคิดเห็น แต่จากการให้สัมภาษณ์ของคุณคุ้ย เคยบอกว่าเด็กที่จะมารับบทตรงนี้ จะต้องเป็นเด็กตัวโตที่สามารถใส่ชุดเด็กอนุบาลแล้วสามารถดูแล้วกลมกลืนหรือเข้ากับเด็กอนุบาลได้ดี อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับผู้กำกับนะครับว่า น้องโอมใส่ชุดเด็กอนุบาลแล้วเหมือนเด็กอนุบาลจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว น้องโอมก็เป็นเด็กในคาถาของคุณคุ้ยอยู่แล้ว เพราะว่าเล่นหนังสั้นของคุณคุ้ยมาแล้วหลายเรื่อง แล้วจะหาเด็กคนอื่นมาทำไมให้เมื่อยตุ้มล่ะจริงไหม .....(นี่ผมถามใครนี่)
สำหรับน้อง ยิปซี (คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์) ที่รับบทเป็น ออม นั้น แสดงได้ดีแล้ว อาจจะไม่น่าเชื่อว่าเป็นหนังเรื่องแรกของเธอ แต่ก็คงไม่ยากอะไรนัก เพราะว่าน้องยิปซีเคยผ่านงานด้านโฆษณามาเยอะแล้ว ทั้งเคยเล่นมิวสิคให้กับนักร้องดังมาด้วย ก็เลยเป็นของหมูๆ สำหรับเธอ แต่ขอตินิดเดียวครับ (นิดเดียวจริงๆ) ในเรื่องพอจะรู้ว่าเธอเป็นสาวนักเรียนม.ปลาย ที่เข้ามาในชีวิตโอม แต่ขอโทษเถอะในเรื่องนี้ เธอเป็นใครครับ” เธอมาจากไหน? เธอมาแล้วเธอก็ไป!! ผมไม่ทราบจริงๆ ขนาดน้องคิตตี้ที่เล่นเป็น จำเนียร หญิงลึกลับที่ต้องการยึดแก๊งคิงคองตอนจบยังเฉลยที่มาที่ไปเลย หรือแม้กระทั้ง ตัวโอมเอง ก็ยังมีเฉลยเลยว่าทำไมเขาถึงตัวโตผิดปกติ แต่กับออมนี่ “เธอเป็นใครหรือครับ? ผมดูจนหนังจบเรื่องแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าเธอได้คำตอบที่ต้องการหรือยังที่เที่ยวไปถามใครต่อใครว่า ชีวิต คืออะไร
ผมชอบการแสดงและบทของ น้องจอน (ด.ช. เศรฐวุฒิ มนัสปิติสุข-น้องเซฟ) มากกว่า น้องเขาแสดงได้ดีนะครับ ผมว่าเป็นตัวเด่นอีกตัวที่น่าจะมีอนาคตทางด้านการแสดงอีกไกลเลย และอีกอย่างหนึ่งน้องเขาเล่นกีฬา เทควันโด การออกท่าทางก็เลยดูทะมัดทะแมง สมกับจะเป็นคู่ปรับกับโอมได้ดีเลยทีเดียว แม้จะตัวเล็กกว่าก็ตาม
ในส่วนของนักแสดงคนอื่นๆ อย่าง “ไอ้หมี (ไม่รู้จำชื่อถูกรึเปล่า) ก็เล่นได้ดี น้ำลายฟูมปาก หักนิ้ว น้องอีกคน (แต่คนนี้ยังเล่นแข็งอยู่) คือน้องที่เล่นเป็น เปี๊ยก (ด.ช.ปรเมศร์ โทนเนินสูง-น้องออมทอง) ตอนที่เดินร้องเพลงเท่มาก สำหรับน้องคิตตี้ไม่ต้องห่วงเรื่องการแสดง เพราะผ่านงานภาพยนตร์มาแล้ว 2 เรื่อง (อรหันซัมเมอร์, โหดหน้าเหี่ยว) การแสดงของเธอเรียกว่าอยู่แถวหน้าของดาราเด็กอยู่แล้ว
ด้านฉากและภาพ มีภาพสวยๆ อยู่หลายฉากเหมือนกัน อย่างเช่น ฉากบนยอดตึกที่โอมกับออมคุยกัน หรือฉากท้องฟ้า ตอนที่โอมหนีออกจากบ้านไปอยู่เกาะ (หรือเปล่า) ส่วนการออกแบบฉากอย่างซุ้ม(ฐาน) ของแก๊งคิงคอง จะดูสดใสหลากสีสัน ดูแล้วให้ความรู้สึกสนุกสนานน่าอยู่ ส่วนซุ้ม (ฐาน)ของแก๊งแพนด้า ดูแล้วน่าเกรมขาม น่ากลัว เพราะได้ชื่อว่าเป็นแก๊งที่โหดที่สุดก็เลยต้องดูเป็นแบบนั้น ผมว่าการออกแบบฉากหรือการหาสถานที่ถ่ายทำดีครับ ให้เต็มเลย
ในส่วนเนื้อเรื่องก็ดีนะครับ 95% เป็นเหตุและเป็นผลซึ่งกันและกันดี ชอบตรงคำว่า เพื่อน ในเรื่องนี้ มันมีความหมายมากเลยสำหรับคนที่โตแล้ว คิดย้อนกลับไปในอดีตที่เคยมีเพื่อนที่รักกันมานานเคยมีปัญหากันบ้าง แต่คำว่า เพื่อน ในเรื่องนี้กินใจมาก ตอนที่โอมมีรองเท้าข้างเดียวแล้วไปเหยียบหนามหรือเหยียบอะไรก็แล้วแต่ทำให้เจ็บขา แต่พอได้รองเท้าอีกข้างหนึ่ง โอมบอกกับรองเท้าอีกข้างหนึ่งของโอมว่า แกได้เพื่อนซะที แม้จะเป็นรองเท้าที่ไม่ใช่คู่ของมัน แต่เมื่อมันเป็นเพื่อนกันแล้ว โอมใส่แล้วก็สามารถป้องกันเท้าตัวเองได้ ก็รู้สึกอุ่นใจไประดับหนึ่ง เพื่อนนี้ช่วยได้จริงๆ แล้วยังมี การขอโทษการให้อภัยซึ่งกันและกัน และ การช่วยเหลือกันสามัคคีกันสิ่งเหล่านี้ผมว่าควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักให้มากๆ แล้วเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กที่ดีในอนาคต
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลย คือเรื่องเพลงประกอบ เพลงใช้ได้เลยทีเดียว ผมชอบเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลง พระเจ้าตาก ของวงคาราบาว แล้วอีกเพลงที่ขึ้นต้นเป็นเพลงญี่ปุ่นแต่พอลงท้ายแล้วก็บอกว่า ไอ้ขี้โม้ๆ คิดไปได้...ส่วนดนตรีประกอบ (ซาวด์เอฟเฟ็คท์) นั้นใส่ได้ลงตัวเลยทีเดียวใส่ได้ตรงจุดตรงอารมณ์ในขณะนั้น ทำให้เราดูแล้วสนุก และเข้าถึงอารมณ์มากขึ้น...
อยากให้ผู้ปกครองพาลูกๆ หลานๆ ไปดูหนังเรื่องนี้ครับ ผมก็กะว่าจะพาลูกชายไปดูอีกรอบ เพราะว่ารอบแรกผมไปดูตอนทำงานเลยไม่ได้พาลูกชายไปดูด้วย เสาร์-อาทิตย์นี้คงไม่พลาด หนังเรื่องนี้คงไม่เหมาะกับวัยรุ่นสุดๆ เพราะดูเรื่องนี้คงไม่สนุก แต่หนังเรื่องนี้จะเหมาะกับเด็กประถม-ม.1 และก็พวกผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวแล้วน่าจะดูสนุก ดูความน่ารักของเด็กๆ ดูแล้วไม่เครียดครับ สำหรับคนที่เคยติดตามผลงานของคุณคุ้ยเมื่อ 2 เรื่องก่อนหน้านี้ กรุณาลืม 2 เรื่องนั้นไปให้สนิท แล้วมาดูผลงานชิ้นนี้ของคุณคุ้ยใหม่ อาจจะได้มุมมองที่ดีอีกมุมก็ได้....
บทวิจาจารณ์โดย TCK E-mail :TCK05@sanookcom