วิจารณ์หนัง Slumdog Millionaire
หนังออสการ์ยอดเยี่ยมปีล่าสุดนี้เกือบจะดับและตกลงเหวแล้ว เพราะจะถูกส่งลงเป็นแผ่นก่อนจะลงโรงเสียอีก แต่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมายิ่งกว่าซินเดอเรลล่าหรือตัวละครเทพนิยายใดๆ แถมยังมาแบบเหนือเมฆ เพราะตอนนี้ราคาหนังสูงมากจนประเทศไทยเองเกือบจะไม่นำมาฉายซะแล้ว เนื่องจากมันราคาแพง เป็นหนังอิน(ดี้)เดียที่จำกัดโรงฉาย ไม่คุ้มลงทุน ทั้งยังแนวทางหนังก็ไม่ถูกปากคนไทยนัก แต่ด้วยกระแสด้านบวกล้นหลามจากปากต่อปาก นักวิจารณ์ และสามารถคว้ารับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากลูกโลกทองคำและออสการ์ Slumdog Millionaire จึงมีโอกาสมาให้คนไทยลิ้มรสจนได้
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องสั้นที่ตีแผ่สังคมอินเดียผ่านเรื่องราวของจามาล มาริค เด็กหนุ่มวัย 18 หน้าตาฉลาด(น้อย) ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่มีพื้นเพมาจากสลัมมุมไบ แต่กลับพลิกผันได้มาเล่นเกมส์ในรายการ Who Wants To Be A Millionaire (หรือรายการเกมส์เศรษฐีบ้านเรานั่นแหละครับ) จามาลเหลืออีกเพียงหนึ่งคำตอบที่ถูกจากหนึ่งคำถามก็จะคว้าเงินรางวัลสูงสุด 20 ล้านรูปี ด้วยลักษณะและพื้นเพความเป็นมาของเขา ทำให้เพรม คูมาร์พิธีกรของรายการคิดว่าจามาลโกงเกมส์การแข่งขัน ช่วงพักรายการก่อนถ่ายต่อคำถามสุดท้าย ตำรวจจึงนำตัวเขาไป(ทรมาน)สอบสวนเค้นความจริง เด็กหนุ่มจากสลัมจึงเล่าเรื่องทุกอย่างในอดีตที่เป็นกุญแจไขสู่คำตอบให้ฟัง
ชีวิตความเป็นอยู่ของจามาล สะท้อนภาพลักษณ์ สังคม บ้าน(ป่า)เมือง(เถื่อน)ของเขามาโดยตลอด เช่น ฉากที่แม่จามาลถูกฆ่าตาย เกิดจากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างฮินดูและมุสลิม ที่ฝ่ายแรกต้องการไล่ฝ่ายหลังออกนอกประเทศ ซึ่งความไม่ลงรอยนี้ก็สืบเนื่องมานับพันปีเห็นจะได้ หรือฉากที่จามาลกับซาลิมพี่ชายอจมป่วน และเด็กสาวที่จามาลรัก ลาติกาต้องตกอยู่ในเงื่อมมือแก๊งจับเด็กไปขอทาน อย่างที่รู้ๆกันดีว่า อินเดียติดอับดับประเทศที่มีขอทานเยอะสุดของโลก หรือกระทั่งพฤติกรรมการดูถูกของพิธีกรรายการต่อจามาลก็ดูช่างไม่ต่างกับการแบ่งชนชั้นวรรณะในสังคมอินเดีย เป็นต้น แต่ความหนักอึ้งของเรื่องกลับไม่ได้ทำให้หนังดูตึงเครียดเกินไป หนังผ่อนคลายด้วยการแทรกมุขตลก และความตื่นเต้นอยู่เสมอ จนลืมไปว่าความรันทด ยากจนข้นแค้นแสนลำบากลำบนของจามาลมันหนักหนาสาหัสเอาเรื่องทีเดียว
ส่วนตัวผมชอบที่หนังตั้งคำถามว่า
How did he do it?
A. He cheated
B. He's lucky
C. He's genius
D. It's written
สร้างปมให้เราคิด และคาดหวังว่าจะตอบถูกหรือไม่ ประหนึ่งว่าเราตกอยู่สถานการณ์เดียวกับจามาล ที่กำลังเล่นเกมส์เศรษฐีอยู่ แล้วคำตอบก็จะค่อยๆเฉลยเมื่อเรื่องราวดำเนินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง
เนื้อหาโดยหลักแล้วเป็นเรื่องของตามหารักที่หายไปของตัวเอก และเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาต้องมาเล่นเกมส์เศรษฐีนี้ จามาลพลัดพรากกับลาติกาสาวคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็พยายามสู้ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพื่อรักแท้ หนังสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันได้ลงตัวน่าสนใจ โดยใช้เรื่องเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินในอดีตมาตอบโจทย์ ทั้งยังสร้างความผูกพันตัวละครกับคนดูให้เอาใจช่วยลุ้น และบอกที่มาที่ไปได้ลงตัวสอดคล้องกับปัจจุบัน ส่วนนี้ต้องยกนิ้วโป้งให้กับบทหนังดัดแปลงที่สมบูรณ์และฝ่ายตัดต่ออันยอดเยี่ยม แต่ในความดีเด่นนั้นมันก็มีผลร้าย ที่สุดท้ายแล้วเหมือนว่าเรากำลังดูรายการสู้แล้วรวย ซึ่งตอนจบมักจะลงเอยตามชื่อรายการ เป็นข้อเสียอย่างนึงที่ผมเห็น คือ คาดเดาเรื่องได้ง่าย (ผมเดาออกอยู่คนเดียวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ...อิอิ) ที่ไม่ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ ประหลาดใจอะไรให้ผม เพราะเรื่องราว (D.It's written) เหมือนถูกเขียนไว้แล้ว การเดาเรื่องออกก็ไม่ได้แปลว่าผมชำนาญการแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่นักดูหนังจะสัมผัสได้เอง
ขอยืมคำพูดของคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ ที่จะพูดไว้ในรายการเกมส์เศรษฐีว่า ''ไม่มีใครโง่หรือฉลาด มีเพียงแค่รู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง'' คำพูดนี้ได้รับการยืนยันในหนังด้วย เมื่อตอนครั้งที่เจอคำถามง่ายดายที่ใครๆก็รู้แต่จามาลกลับตอบไม่ได้ พอเป็นคำถามที่คนอื่นคิดว่ายาก เขากลับตอบได้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เป็นข้อคิดที่ดีว่าอย่าดูถูกใคร แต่ละคนล้วนเจอประสบการณ์ที่แตกต่างกัน บางคนอาจรู้สึกง่ายในเรื่องที่อีกคนกลับบอกว่ายาก
ความดีงามจนล้นเอ่อของหนังในทุกด้าน ช่วยบดบังข้อด้อยอันน้อยนิดให้เรามองข้ามไป เพราะหนังถึงพร้อมด้วยสาระและความสนุก ดูแล้วรู้สึกดีและประทับแน่นอน และนี่เป็นผลงานสร้างลำดับที่เก้าของแดนนี่ บอยล์ ผู้กำกับขวัญใจเด็กแนว (ผมเองก็ติดตามผลงานเขามาตลอด แต่ไม่ยักจะแนวเท่าไหร่) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงราวัลจากทุกสถาบันมากกว่าทุกเรื่องที่เขาเคยทำมา ผมก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่า Slumdog Millionaire นี้ ของเขาดีจริงสมราคาตัวเต็งออสการ์ เป็นคำตอบสุดท้ายเลยครับ
บทวิจารณ์โดย ManasuK