วิจารณ์หนัง Before Valentine
เมื่อวานผมมีโอกาสได้แวะเวียนไปชมภาพยนตร์ Before Vanlentien ...ก่อนความรักหมุนรอบตัว ภาพยนตร์ที่ชวนอมยิ้ม แถมสกิดต่อมความรู้สึกที่ถูกสะท้อน เหมือนกระจกเงาของความรักที่มีต่อคู่รักกระทบ และฉายออกมายังไงยังงั้น
อักทั้งความรักของคนสองคนที่ก่อเกิดจากความรู้สึกของคำว่า "ชอบ" พัฒนาตามลำดับขั้นบันไดที่ต่างคนค่อยก้าวไปข้างหน้าทีล่ะก้าว แม้อาจจะมีหยุดพัก เหนื่อย และบางครั้งอาจจะรู้สึกผิดหวัง แต่สุดท้ายหัวใจก็เรียกร้องให้ก้าวเดินต่อไป เพื่อความรักที่ยืนยาว เสนอมุมมองความรักในแบบฉบับ 3 กลุ่ม 3 วัย โดยเฉพาะ วัยแรกแย้ม หรือแรกรุ่นที่ความรักเข้ากระทบความรู้สึกอย่างง่ายได้ ดำเนินเข้าสู่วัยกลางคน หรือวัยที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางชีวิต เพื่อเสริมสร้างความรักให้แข็งแรง และจบด้วยความรักรุ่นสั้น สั้นในความหมายของผมคือ ตลอดทั้งชีวิตมันกำลังถูกจำกัดด้วยเวลาที่อยู่ด้วยกันให้เก็บเกี่ยวความทรงจำให้ยาวนาน แม้ใครคนใดคนหนึ่งอาจต้องตายจาก
หนังเรื่องรักแสนโรแมนติกได้ 3 ผู้กับอย่าง ทรงศักดิ์ มงคลทอง (วุ้น)มือกำกับชั้นเยี่ยมที่วาดลวดลายจากเรื่อง ผีจ้างหนัง แถมเขียนบทให้หนังเรื่องเฮี้ยน และ ผีสามบาท มาแล้ว มาถึงพรชัย หงษ์รัตนาภรณ์(พิ้งค์) ความแปลกใหม่แบบฉบับตัวตนของตัวเองที่ทำให้คนดูติดใจ เรื่องทวานยังหวานอยู่ และยังอยู่เบื้องหน้าใน นช.นักโทษชาย อีกด้วย และคนสุดท้าย เสรี พงค์นิธิ (โหน่ง) ผู้กับกับมือดีที่ทำให้ผู้ชมขนหัวลุกมาแล้ว ในเรื่อง ลองของ และสะใภ้บรื้อ และเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทายความสามารถของคนทั้ง 3
Before Valentine ภาพยนตร์ที่เติมเต็มไปด้วยความอบอวลแห่งความรัก มิตรภาพที่แสนยั่งยืน แม้ต้องแลกด้วยความเสียใจ เมื่อความรักกำลังจะสูญเสีย แต่มักจะมีคำพูดของอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกกับผมว่า "ความสุขจากสวรรค์มักจะมาพร้อมกับความลงทัณฑ์จากพระเจ้าเสมอ" ใช่ครับไม่มีอะไรสวยงามไปตลอด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่คนสองคนจะเปิดใจได้กว้างแค่ไหน เพื่อรับอีกคนหนึ่งเข้ามา
ฉากที่ทำให้ผม และใครหลายต่อหลายคนที่ได้ชม ต้องอดอมยิ้มไม่ได้กับประโยคที่ ชิดชนก รับบทโดย ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ หญิงสาวในตาเชื่อมั่น แต่เธอโดยหาความอบอุ่น และการแสดงออกซึ่งความรักจากชายผู้เป็นที่รักของเธอ พูดคุยกันกับ สุธี รับบทโดย ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์ ชายหนุ่มรักอิสระ ไม่มีอะไรเป็นแบบแผนในชีวิต แต่เขามีความรักที่เอ่อล้นพร้อมจะดูแลเธอคนนี้ แม้บางครั้งมักจะคิดว่าเขาไม่คู่ควร
สุธี : "ถ้าฉันคบคนอื่นล่ะ"
ชิดชนก : "ก็แสดงว่าเราไม่ได้รักกันแล้ว"
สุธี : ถ้ กันด้วยล่ะ"
ชิดชนก : "ก็แสดงว่าแกกำลังกวน...ฉันอยู่"
ประโยคเด็ดที่สื่อความหมายแบบตรงใจ แต่ตรงทางความรู้สึกได้ดี ด้วยการเปิดฉากเริ่มต้นของตัวละครทั้งสอง
อย่างว่าครับ เรื่องความรักมักจะมีด้านดี และไม่ดี มันอยู่ที่การมอง แต่มองอย่างไรให้ไม่กระทบความรู้สึกทางจิตใจ และสามารถปรับเปลี่ยนทำความเข้าใจในรักให้ดำเนินต่อ เพราะผลทางการวิจัย (ของผมนี่แหละครับ) คนส่วนใหญ่มักจะคิดเอง และเออเอง โดยไม่เคยเอ่ยปากที่จะถามคนรักว่าเป็นอย่างไรกันแน่ นั่นสิแล้วถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไรเมื่อคนหนึ่งบอกเลิก อีกคนขอแต่งงาน คุณจะจบ และเงียบงำความเจ็บปวดในขณะนั้นไว้เพียงผู้เดียว หรือคุณจะหาคำตอบว่าความรักยังอยู่รอบตัวหรือไม่ ผมว่าคุณคงหาคำตอบที่ดีได้จากหนังเรื่องนี้ครับ
อาจจะรำคาญกับใครหลาย ๆ คนนะครับในฉากที่หาคำตอบภายในใจของตัวเอง แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นกับทุกคนไม่ใช่เหรอครับกับการหาคำตอบจากตัวตนความเป็นเราว่า "เราต้องการอะไรมากที่สุด"
ในส่วนแรกรุ่นของความรักคงขาดไปไม่ได้วัยรัก วัยเรียนที่ใคร ๆ ก็เคยผ่านมา หากคุณย้อนรำลึกไปได้นะครับ (แต่จะมีกี่คนอันนี้ผมก็ไม่ทราบ)โจ๊ก เด็กหนุ่มใส่ซื่อ ไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึก รับบทโดยอาตี้ ธนฉัตร ตุลยฉัตร นักแสดงวัยรุ่นที่น่าจับตามอง ด้วยพัฒนาการทางการแสดงที่ทำเอาผมชื่นชมเมื่อครั้งเขารับบท บุญโชค ในหนังเรื่อง บุญชู แต่สำหรับบทนี้อาจะเหมาะเจาะเพราะตรงกับวัยความลื่นไหลของเนื้อเรื่องจึดำเริรได้อย่างไม่สะดุด บวกกับตัวละครอย่าง จิ๊บ รับบทโดย จีน เกล้าแก้ว สินเทพดล หญิงสาววัยใส เรียบร้อย แต่ชุ่มช่ำไปด้วยความน่ารัก
ความรักก่อเกิดจากความเป็นเพื่อน พัฒนาทีละขั้นมากกว่าในปัจจุบันที่เห็นความรักกลายเป็นความธรรมดาที่ลงเอยการมีเซ็กส์ด้วยฉากเรียบง่าย บวกกับเนื้อเรื่องแสนธรรมดา แต่ในความธรรมดามักจะนำเสนอมุมมองแอบชวนสะกิดใจได้อย่างแยบคาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อจากตั๋วรถเมล์ ซึ่งดูแล้วผมก็เป็นหนึ่งที่เคยนั่งบวกตั๋วให้ได้ 9 แล้วอธิษฐานในสิ่งที่อยากได้จะสำเร็จ และที่ทำเอาผมย้อนไปสู่วันรุ่นคงหนีไม่พ้น ตอนน้องชายของจิ๊บชวนเล่น นับคะแนนในกระดาษที่มีรูปมือ และแต่ละช่องบอกความเป็นไปว่าสิ่งที่ต้องการและหวังมีอะไรบ้าง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า จิ๊บ รักโจ๊ก และนี่คือความรักแบบคนเดียว รักเดียวจนสุดท้ายทั้งคู่สมหวังในรักจนยืนยาวจนถึงบั้นปลายชีวิตที่ได้อยู่ด้วยกัน
น่าแปลกนะครับ ความรัก ยามแรกก็หวาน ๆ พอนานเข้านานเข้าความหวานบางครั้งก็ลดน้อย แต่ด้วยเหตุและปัจจัยผมก็ไม่อาจล่วงรูับความรักของคนทุกคู่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความเข้าใจ หากคนเรามีความเข้าใจ ความรักก็จะเต็มปริ่มในแก้วใบนั้นเสมอ ๆ
เหมือนความรักวัยรุ่นตอนปลายอย่าง เฮีย รับบทโดย จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ชายหนุ่มสูงวัยที่เจ้าอารมณ์ ขี้บ่น พูดจากวนประสาทไปมา ใครหลายคนอาจชมการแสดงของ จตุรงค์ ม๊กจ๊กมาหลายรูปแบบ แต่ผมว่าบทอย่าง เฮีย ทีเขาแสดงค่อนข้างยังติดตลก และทำให้ผมยังนึกถึงบทตลกมากกว่าบทรัก แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้สะดุดจนผมอึดอัด เพราะด้วยบทอย่าง เจ๊ รับบทโดย แจง วราพรรณ หงุ่ยตระกูล เข้ามาทำให้เนื้อเรื่องชวนอมยิ้มมากกว่าการนั่งดูตลก 6 ฉากจนเกิดความราบรื่นได้อย่างลงตัว พร้อมด้วย แจ๊ค รับบทโดย เปรม บุษราคัมวงษ กับ แหม่ม รับบทโดย สิตา ธนัญโชติการที่มาเติมเต็มคำว่า "อุปสรรค" ที่เกิดขึ้นให้จางหายได้ด้วย "ความเข้าใจ"
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคงเป็นภาพฉาก บรรยากาศที่ทางผู้กำกับจัดสรรมาให้ชม แม้ว่าอาจจะไม่ได้สวยมากมาย แต่ผมว่ามันมีเสน่ห์ในแบบของมันจริง ๆสีที่ใช้บ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความรักที่เสมือนเหล่าเครื่องปรุงหลากหลายให้คนได้ลิ้มลอง ดูไปแล้วมันราบเรียบแสนธรรมดา แต่ผมกลับสัมผัสไออุ่นรักได้เสมอ ภาพยนตร์รักแสนโรแมนติกไม่ถึงขั้นต้องร้องไห้ฟูมฟาย หรือเศร้าโศก แต่แบบฉบับความรักที่อาจสะกิจต่อมทางความรู้สึกของใครอีกหลายคนให้ชวนนึกถึงใครอีกคนคงเพิ่มมากขึ้น
เพราะเวลามักจะเดินไปตามวิถีทางที่มันเป็น ความรักก็เช่นกันมันจะเดินตามวิถีทางมันได้ อยู่ที่คนสองคนพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันหรือไม่...แค่นั้นเอง (ผมคิดแบบนั้น)
บทวิจารณ์โดย โดย นายมูฟวี่