วิจารณ์หนัง Happy Birthday
ในที่สุด คุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผู้กำกับเลือดร็อคก็เลือกที่จะใช้คู่พระนางจากการกำกับของตัวเองเมื่อเรื่องที่แล้ว (Me Myself ขอให้รักจงเจริญ) มาพบกันอีกครั้งใน Happy Birthday เพราะยังคงเชื่อว่า ทั้งสองคนนี้ยังสามารถที่จะดึงดูดคนดูให้กลับมาดูหนังรักสุดแสนโรแมนติคเรื่องนี้ได้ ไม่แพ้เรื่องที่แล้ว
Happy Birthday กล่าวถึงหนุ่มช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง กับสาวไกด์นำเที่ยว ที่ทั้ง 2 บังเอิญได้มาพบรักกันที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ด้วยความมือบอน ของฝ่ายสาว และทำให้ทั้งสองรู้จักกันและเกิดความรักในที่สุด ในช่วงแรกๆ นั้นความรักของคนทั้งสองก็ยังคงราบรื่นดีอยู่ แต่ความรักของหนุ่มสาวคู่นี้เกิดมีอุปสรรคมากมายในภายหลัง ชายหนุ่มจึงพยายามที่จะรักษาของขวัญวันเกิดที่เขารักมากที่สุดไว้ให้นานที่สุด
ขอตินิดสำหรับขั้นต้นในการโปรโมทหนังเรื่องนี้ กับตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาก่อนหนังจะฉายจริง ไม่น่าปล่อยภาพจุดหักเหของเรื่องนี้ออกมาให้ดูกันก่อนเลย ทำให้ไม่ได้ลุ้นในโรงภาพยนตร์ ถ้าไม่ปล่อยออกมาก่อนให้เรารู้ในโรงน่าจะกระชากอารมณ์ร่วมได้มากกว่านี่ แต่นี้จากการดูตัวอย่างก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยไม่ได้ลุ้นเลย ที่เหลือก็แค่ดูว่าเขาทั้งคู่จะแก้ปัญหาชีวิตรักของเขายังไงก็เท่านั้น
ตัวหนังดูได้เรื่อยๆ ในช่วงแรกๆ สมกับคำที่บอกว่าเป็นหนังรักโรแมนติค บรรยากาศของหนังจะเป็นอารมณ์เดียวกับเรื่อง โคตรรักเอ็งเลยและสบายดีหลวงพระบาง เป็นความรักแบบน่ารักๆ พระเอกเป็นช่างภาพหนังสือท่องเที่ยว ส่วนนางเอกเป็นไกด์นำเที่ยว เพราะฉะนั้นภาพที่ออกมาจะเน้นไปที่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีวิวสวยๆ ยอมรับว่าภาพที่ถ่ายออกมาในช่วงแรกๆ นี้ สวยมาก สถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในหนังทั้งๆที่อยู่ในไทยแท้ๆ แต่ผมยังไม่เคยไปเลยสักที่ วิวสวยมาก ภาพสวย นั่งดูไปก็อดใจไม่ไหวที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ที่นี่ที่ไหนสวยดี น่าไปเที่ยวจัง โดยเฉพาะฉากตอนที่นางเองนั่งวาดรูปอยู่ริมแม่น้ำ สุดยอดมาก น้ำที่ไหลไปพร้อมกับหมอกบางๆ กับละอองน้ำ ไม่เคยเห็นอะไรสวยอย่างนี้มาก่อนเลย (แต่ภาพดูเหมือนใช้ CG ช่วยด้วย) ถ้ามีโอกาสคงอยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่งว่ามันจะสวยเหมือนในหนังหรือเปล่า
อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ที่รับบท เต็น ในเรื่องนี้ ก็เคยเล่นหนังที่รับบทเป็นช่างภาพมาก็หลายเรื่องแล้ว (ชัตเตอร์, สบายดีหลวงพระบาง, Happy Birthday) แต่ขอบอกว่าดูยังไงๆ ก็ยังไม่เหมือนช่างภาพมืออาชีพสักเท่าไหร่นัก เข้าใจว่าช่างภาพมีหลายประเภทหลายระดับ แต่กับบทบาทช่างภาพของอนันดาแล้ว ผมว่าเหมือนมือสมัครเล่นมากกว่า การจับกล้อง หรือลักษณะท่าทางในการถ่ายภาพ ดูแล้วก็ยังแข็งๆ อยู่ เพราะผมเคยเห็นช่างภาพอาชีพจริงๆ ถ่ายภาพ เขาดูเท่มาก สมาธิเขาสูงจริงๆ ส่วนการแสดงในส่วนอื่นๆ อนันดาก็ทำได้ดีแล้ว พัฒนาตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนของคุณฉายนันทน์ มโนมัยสันติภาพ ที่เล่นเป็น เภา ไกด์สาว ผมติดภาพเธอมาจากเรื่องที่แล้ว เธอเล่นได้น่ารักดีนะ เป็นธรรมชาติดี และเรื่องนี้เธอก็ยังคงฝีมือไว้ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง โดยเฉพาะบทตอนที่ต้องกุ๊กกิ๊กกับพระเอก เธอเล่นได้ดีจนผมอยากมีแฟนอย่างเธอบ้างจัง แต่ผมคงทำได้ไม่ดีหรือทำได้ไม่ดีเท่าเหมือนเต็นในเรื่องแน่
ส่วนนักแสดงประกอบคนอื่นๆ นั้น ถือว่ายังเล่นไม่ค่อยดี โดยเฉพาะพ่อของนางเอก เล่นได้เรียบเฉยมาก เก็บอารมณ์จริงๆ ทั้งๆ ที่คนที่นอน พะงาบๆ อยู่ที่เตียงพยาบาลอยู่นั้นคือลูกตัวเองแท้ๆ แต่นักแสดงหลักๆ ของเรื่องนี้ก็มีอยู่แค่ 2 คน คนอื่นๆ ก็ดูผ่านๆ ไปก็แล้วกันนะครับอย่าคิดมาก
ในส่วนครึ่งหลังของเรื่อง แทบจะไม่เห็นภาพสวยๆ เลย เพราะเป็นช่วงอุปสรรคของความรักของคนทั้งสอง จึงเห็นแต่ภาพเตียงผู้ป่วย ความเศร้าหมอง อะไรๆ ทุกๆ อย่างที่ดูแล้วทำให้เราไม่ค่อยสบายใจ ใจคอไม่ดี ถ้าใครเป็นโรคขี้เบื่อล่ะก็ มาถึงตรงนี้คงจะรู้สึกอย่างนั้นบ้าง เพราะช่วงนี้รู้สึกว่ากินเวลานานมากกว่าช่วงแรกเสียอีก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในช่วงหลังนี้ ถ้าดูในด้านเนื้อหาแล้ว ช่วงหลังนี้แหละเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดของคำว่า "รักแท" อาจจะมีหญิงสาวบางคนที่นั่งดูเรื่องนี้อยู่คิดในใจว่า เธอจะมีผู้ชายดีๆ อย่างเต็นสักคนไหม เอาไว้ดูแลซึ่งกันและกันก็เป็นไปได้
ในช่วงหลังนี้หนังพยายามที่จะเสนอให้เห็นว่า ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความรักเหลือล้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเธอ ทั้งๆ ที่มีโอกาสในการที่เขาจะสละอุปสรรคที่อยู่ด้านหน้าทิ้งไปได้เลย และพร้อมที่จะมีชีวิตใหม่กับคนอื่นก็ได้ เพราะยังมีคนที่ต้องการเขาและเห็นใจเขาอยู่อีกคน (เพื่อนที่ทำงานเต็น) แต่เขาก็ไม่ทำ เขายังคงรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่เขารักอย่างมั่นคงและไม่ท้อแท้ แม้ว่าจะมีบางเสี้ยวของอารมณ์มษุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดอาการท้อแท้ขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ปรับตัวได้ทัน ตรงนี้อาจจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อให้เห็นว่า คนเราจะรักกันแค่ไหน ก็คงต้องดูตอนที่อีกฝ่ายลำบากที่สุดนั่นแหละถึงจะรู้ นับว่าเป็นสื่อที่สร้างสรรค์จริงๆ
หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคู่รักที่กำลังดูใจกันอยู่ จะได้ปรับทิศทางเข้าหากันได้อย่างถูกต้อง ถ้าคุณจะพาคู่รักของคุณไปดูหนังเรื่องนี้ ก็อาจจะต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าให้พร้อม เพราะว่ามีฉากเศร้าอยู่หลายฉากเหมือนกัน บางครั้งอาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ขนาดคนใจแข็งๆ ยังน้ำตาปริ่มๆ เลย ส่วนฉากซึ้งๆ ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง ในส่วนของฉากที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ น่าจะเป็นฉากที่ดูแล้วเห็นทั้งคู่มีความสุข ผ่านดวงดาวหมู่ฝนดาวตกในฉากสุดท้ายนั่นเอง (แต่ฝนดาวตกทำCGได้แข็งมาก) ผมเห็นตรงนี้แล้วทำให้ผมนึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ที่เป็นเพลงของคุณกบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ชื่อเพลงรักเราไม่เก่าเลย และถ้าได้เพลงนี้มาประกอบหนังเรื่องนี้ด้วยก็คงจะดี แต่เพลงประกอบเรื่องนี้ก็เพราะอยู่แล้ว เพลงเพราะดีครับ
สรุปแล้วถ้าคุณชอบหนังรักโรแมนติคแบบไม่ซ้ำซากจำเจ สื่ออารมณ์แบบซึ้งๆ แม้ตัวหนังจะสะดุดอยู่หลายฉากก็ตาม แต่ถ้าเราไม่สังเกต และปล่อยให้คล้อยไปตามอารมณ์ของหนัง Happy Birthday ก็ถือว่าเป็นหนังที่น่ารักและน่าดูอีกเรื่องหนึ่ง จนบางครั้งอาจจะมีคำถามในใจขึ้นมาว่า จะมีใครสักคนไหมที่คอยดูแลเราเหมือนอย่างในหนังเรื่องนี้...
บทวิจารณ์โดย TCK Email : TCK05@sanook.com