วิจารณ์หนัง Max Payne

วิจารณ์หนัง Max Payne

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ผมยอมรับว่าในฐานะคนเล่นเกมส์ ผมเองก็ไม่ค่อยผิดหวังกับหนังที่ถูกสร้างมาจากเกมส์หลายต่อหลายเรื่อง อาจจะไม่ยอดเยี่ยมหรือดีประเสริฐเลิศเลออะไร แต่มันอยู่ในระดับที่น่าพอใจมากกว่า ตั้งแต่ Mortal Kombat, Resident Evil , Silent Hill, Doom หรือแม้กระทั่งหนังที่ใครก็ด่าห่วยๆกันอย่าง Street Fighter หรือ Super Mario Bros. ผมก็ไม่ค่อยผิดหวังเท่าไหร่นัก! (สงสัยทั้ง 2 เรื่องคงดูตั้งแต่สมัยผมยังเด็ก!) แต่ที่ผิดหวังหนังเกมส์มากที่สุดก็คงเห็นจะเป็นหนังเกมส์ผลงานกำกับของ Uwe Boll แทบทุกๆเรื่อง ซึ่งหนังไปดัดแปลงเกมส์ที่ผมคุ้นๆมาบ้าง ไม่ว่าจะ House of The Dead, Alone In The Dark, Blood Rayne หรืออย่างล่าสุด Dragon Sidge ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่น่าจดจำแต่อย่างใด ส่วนตัวผมคิดว่าการที่หนังเกมส์ จะออกมาได้ดีนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และความทุ่มเทของทางทีมสร้างมากกว่า ว่าจะถ่ายทอดหนังเกมส์เรื่องนั้นให้แฟนเกมส์ถูกใจได้มากน้อย แค่ไหน Max Payne เป็นเกมส์ที่ผมฝันอยากจะให้เป็นหนังอย่างมาก เพราะนี่เป็นเกมส์ที่เป็นส่วนผสมระหว่าง Film-Noir กับ The Matrix เอามารวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้น เหมือนกับหนังแบบ Dead Wish เหล่านั้น โทนเกมส์นี่แบบว่ามืดมนต์สุดๆ ซึ่งรูปแบบการเดวาลอปป์ค่อนข้างเป็นที่แปลกใหม่ของเกมส์ประเภท First Person-Shoot อย่างมาก เพราะนำ Bullet-Time ของ The Matrix มาใส่ไว้ในเกมส์ ขณะเล่นคุณก็สามารถคอนโทรลตัวพระเอกของเรื่องให้สโลว์ช้าๆตอนไหนก็ได้! คือมันเป็นเกมส์ชั้นยอดที่ได้อารมณ์เหมือนดูหนังหรืออ่านหนังสือการ์ตูนขาว-ดำไปพร้อมๆกัน แถมก็เกิดความเร้าใจในเวลาเดียวกัน ช่วงเกมส์ที่ผมชอบมากที่สุดของเกมส์นี้คือด่านฝันร้ายของ Max Payne ซึ่งเหมือนกับคนเล่นได้เผชิญหน้ากับฝันร้ายที่ Max Payne ได้ประสบมา มันเป็นจุดเชื่อมโยงที่สามารถคนเล่นอินไปเกมส์มากยิ่งขึ้น แน่นอนในเมื่อเกมส์สุดยอดขนาดนี้ มันก็คงต้องมีภาคต่อ และเกมส์ภาคต่อก็ทำได้ดีไม่แพ้กับภาคแรกเช่นเดียวกัน แล้วในเมื่อเกมส์ทั้ง 2 ภาคสร้างความประทับใจกับชาวเกมเมอร์ทั่วโลกเป็นอย่างดีแล้ว เหล่าๆชาวเกมเมอร์ก็หวังว่าจะได้ดูเกมส์นี้มาโลดแล่นสู่แผ่นฟิล์มเสียที ( โดยส่วนตัวผมอยากให้ Michael Bay มากำกับ และ Ryan Gosling มารับบทนำ เพราะคิดว่าคงเป็นส่วนผสมที่น่าจะเกิดปฏิกิริยาต่อคนดู ) แต่ขอโทษครับ สื่งที่ผมหวังไว้ ก็ต้องสูญสลาย เมื่อหนังเรื่องนี้ตกไปอยู่กับ 20th Century Fox ( ค่ายหนังที่เหมือนว่าจะรักหนังแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน) ซึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงชะตากรรมของหนังเกมส์นี้คงไม่สดใสแน่นอน สิ่งที่หวั่นใจต่อมาคือ ผู้กำกับดันเป็น John Moore คือความจริงหนังเขาบางเรื่องก็ดูสนุกแหละ แต่หนังเขาส่วนใหญ่ มักหลุดๆ และก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง คือบางเรื่องลองอ้างอิงให้เหตุการณ์เหมือนโลกจริงๆ แต่ใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในหนังที่ไม่จำเป็นเลย เช่นการสโลว์ในฉากบู๊ๆหนังเขาแต่ละครั้ง ผมว่าบางครั้งมันมาแบบไม่ถูกจังหวะเท่าไหร่ ถ้าคุณได้ดู Behind Enemy Lines และ Flight of The Phoenix คุณจะเห็นว่าผู้กำกับคนนี้ชอบวิธีการใส่ Bullet-Time ในหนังเขามาก แต่มันดันมาไม่ถูกจังหวะ ที่จะทำให้คนดูตะลึงหรืออึ้งภายในเวลาเดียวกันได้ น่าเสียดายคือสิ่งที่เขานำเสนอนั้นมันเกือบจะพาหนังตกเหว ( อันนี้เป็นข้อที่ควรสังเกตุในหนัง Flight of The Phoenix ) จะเห็นได้ว่าผู้กำกับคนนี้เป็นลูกรักของค่าย Fox จริงๆ เพราะหลังจาก 2 ผลงานแรกของเขา เขาก็เปลี่ยนมากำกับหนังสยองขวัญ แต่มันเป็นงานรีเมคคลาสสิค The Omen สิ่งที่ตามมาก็เหมือนกับหนังรีเมคทั่วไปที่คนดูหนังไปและต่างก็คิดว่า "ไม่รู้ว่าจะสร้างมาเพื่ออะไร อีกสิ่งที่ผมหวั่นใจสุดคือ Mark Wahlberg ผมคิดว่าทางค่ายหนัง และ John Moore เลือกนักแสดงคนนี้มารับบทนำก็คงเป็นเพราะความดัง ในระดีบที่ชาวบ้านทั่วไปเห็นชื่อนักแสดงคนนี้ก็สนใจแน่ โอเคผมเห็นด้วยเวลาที่ Mark Wahlberg เล่นฉากบู๊ในหนังแต่ละเรื่องเขาก็ทำได้ดูจริงจังดี แต่ผมไม่เคยวาดฝันเลยว่า Mark Wahlberg จะได้บทนี้ และก็บท Max Payne มันไม่ใช่ตัวเขาเลย แน่นอน เหมือนรู้ชะตากรรมหนังทั้งหมด รวมถึงการที่หนังได้รับเรท PG-13 คนเล่นเกมส์นี้อย่างผมคงต้องเตรียมใจผิดหวัง และก็พบมันก็ช่างน่าผิดหวังจริงๆ เพราะหนังเหมือนว่าจริงๆหนังถ่ายทำในรูปแบบเรท R แบบฮาร์ดคอร์ แต่ก็นั่นแหละทางค่ายหนังต้องการรายได้ส่วนนึงจากกลุ่มคนดูรุ่นเด็กๆ (ที่ชอบเล่นเกมส์) ด้วย สุดท้ายเลยต้องมาในรูปแบบนี้ หนังมีโทนต่างจากเกมส์ไปอย่างมาก หนังพยายามจะยัดเยียดให้เป็น Neo-Noir และถอดแบบจากเกมส์ต้นฉบับไกลเกินไป หนังต้องการแสดงอารมณ์ให้เหมือนกับประมาณหนังอย่าง Sin City โดยการใส่ช็อตโทนภาพให้ดูคลึมๆเกินไป ถ้าใครได้ดูช่วงแรกจะรู้ทันทีว่าหนังพยายามใส่ความเป็น Sin City โดยการใส่แดงหรือสีแรงๆขณะที่ตัวละครในเรื่องนั้นกำลังชกต่อยกันอยู่ ผมว่ายังทำได้ไม่สุดเท่าไหร่นัก ยอมรับว่าวิธีการเปิดเรื่องดูแตกต่างดี ใช้วิธีการเล่าย้อนอดีตจนกลับมาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันซึ่งก็เป็นฉากเปิดเรื่อง แต่น่าผิดหวังตรงที่หนังพยายามจะถ่ายโทนภาพให้ออกมาคลึมๆและสวยแบบซี๊ดๆคล้ายๆกับหนัง Tim Burton บางเรื่อง แต่อารมณ์มันยังไปไม่สุด ทั้งๆที่งานศิลป์นี่ออกมาระดับเทพใช้ได้ทีเดียว ที่น่าเศร้าคือวิธีการเล่าเรื่องดูธรรมดามากๆ อย่างน้อยน่าจะใส่ฉากแอ๊คชั่นที่ดูน่าแปลกตาหน่อยในช่วงเริ่มต้น หรือไม่ก็น่าใส่อะไรให้น่าสนใจแบบหนังเกมส์อื่นทั่วไป (ตัวอย่างที่ดีคือ Resident Evil และ Doom เป็นต้น) แต่หนังใช้วิธีเก่าๆในการเล่าเรื่อง เล่าย้อนและก็ค่อยๆโผล่แผลใจของ Max Payne มาทีละนิด ทีละนิด พูกจริงๆนะ ในเกมส์ Max Payne จริงๆเขาออกจากการเป็นตำรวจ ( ผมจำได้ว่าในเกมส์ Max Payne เป็นตำรวจนะครับ แต่ในหนังกลับเป็นนักสืบแทน) เพื่อออกไปตามหากลุ่มขบวนการที่ฆาตรกรรมภรรยาและลูกเขา แต่หนังกลับใส่ซับพล็อตที่ไม่จำเป็นเช่น Max Payne ในหนังนั้น เขาไม่ได้ออกจากหน้าที่ตามหาคนฆ่าคนรักเขา กลับมัวนั่งอ่านแฟ้มคดีเก่าๆหาเส้นสายเพื่อตามตัวหาฆาตรกร (แล้วตอนที่สืบสวนพวกแก๊งจี้ในห้องน้ำ จะพูดออกมาทำไมว่า "คืนนี้ฉันไม่ได้มาเป็นตำรวจ") จะว่าไป Max Payne ฉบับหนังที่ผมวาดฝัน ก็น่าจะเป็นแบบเกมส์เปี๊ยบๆ คือ Max Payne ตัดสินใจเป็นศาลเตี๊ย เพื่อออกตามล้างแค้น แต่หนังก็มัวชักช้าด้วยการให้พระเอกของเราตามสืบตามหาตัวการเรื่อยๆแบบไม่มีทิศทาง และก็มันไม่เกิดผลประโยชน์อะไร เพราะก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกลับใส่ความชักช้าและความน่าเบื่อตามหลังจากนั้น แถมมีการแสดงใส่ความเซ็กซ์ซี่ที่ไม่จำเป็น และเมื่อถึงเวลาที่เข้าพล็อตหนังเรื่องนี้จริงๆ คือคู่หูของ Max Payne ถูกฆาตรกรรมและทุกๆคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คู่หูเขาต้องตาย และเขาก็เริ่มได้เบาะแสเมื่อรู้ว่าคดีการตายของหญิงที่เขาพยายามจะสอบสวน มีการเกี่ยวพันกับการตายของภรรยา ถ้าหากหนังเล่าเรื่องเร็วกว่านี้จะดูน่าติดตามหน่อย แต่พูดจริงๆตั้งแต่ต้นเริ่มจะเข้าสู่เรื่องราวของหนังจริงๆ หนังไม่น่าติดตามแม้แต่อย่างใด โดยเฉพาะฉากแอ๊คชั่นที่ยิงกันในห้องน้ำมันดูเหมือนว่า John Moore จะจงใจเกินไป ซึ่งความบู๊ตอนเริ่มต้นน่าจะมันส์ได้ซะหน่อย แต่กลับรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ผ่านๆมาแล้ว และไม่ใช่แค่นั้นหนังนอกทางไปเลยในตอนประมาณกลางๆเรื่อง เพราะมันไม่เร้าใจเท่ากับตอนเล่นเกมส์ หนังพยายามจะดัดแปลงให้ดูซีเรียสและทำให้แตกต่างกับเกมส์มากขึ้น แต่เพราะไอ้ความแตกต่างที่ John Moore ได้ใส่ลงไป กลับรู้สึกว่าหนังที่เราดูเหมือนไม่ได้ดัดแปลงจากเกมส์ Max Payne ที่เรารู้จักเลย กลับเหมือนกำลังดูหนังดราม่าเรื่องนึงที่พยายามตามคนที่ฆ่าภรรยาและลูกของเขา Max Payne ในเกมส์ดูมีสไตล์เป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้เยอะ Mark Wahlberg ดูจะไม่สามารถถ่ายทอดบท Max Payne ออกมาให้คนดูเชื่อได้ว่านี่คือตัวละครที่มาจากเกมส์ ซึ่งแน่นอนว่า "ถ้าคนที่เล่นเกมส์นี้และค่อนข้างประทับใจในระดับที่ไม่อาจลืมเลือนได้ และอยากให้หนังเคารพในความเป็นเกมส์ และหนังแสดงอะไรให้เห็นที่น่าจะเจ๋งอีกแบบกว่าตอนที่เป็นเกมส์ ผมบอกได้เลยคุณผิดหวังกับหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน นอกจาก Mark Wahlberg จะไม่สามารถถ่ายทอดตัวละคร Max Payne ให้ดูน่าเชื่อถือได้แล้ว ยังมีการใส่ตัวละครในหนังที่ดูไม่น่าสนใจและทำให้หนังดูจืดจางลงไปกว่าเดิม แถมตัวละคร Mona Sax ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวละครใช้บารมีของตัวเองไม่เต็มที่ ทั้งๆที่ตัวละครนี้มีบทบาทในเกมส์ภาค 2 กลับรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้มาช่วยอะไรในหนังเลย ถึงแม้นักแสดงที่รับบทนี้ Mila Kunis จะมีผลงานที่ผมโปรดปรานมาแล้ว อย่าง Forgetting Sarah Marshall และซีรี่ส์เรื่อง That's 70's Show แถมลักษณะเธอในเรื่องนี้จะดูเปรี้ยวเป็นพิเศษ กลับรู้สึกว่า Mona Sax ในหนังแทบจะไม่มีความจำเป็นแก่เนื้อเรื่องเลย เพราะตอนแรกคิดว่าในหนังจะเหมือนในเกมส์ก็คือ Mona Sax จะมาช่วย Max Payne แก้แค้น แต่ในหนังก็รู้สึกว่ามันช่วยแก้แค้นไม่เต็มที่อยู่ เมื่อถึงช่วงเวลาที่หนังต้องเฉลยว่าใครเป็นตัวการ กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยจะช็อคอะไรนัก กลายเป็นว่ามันดูน่าจำเจมากกว่า เพื่อไอ้เรื่องที่คนไม่ได้คาดหวัง มาเฉลยตอนท้ายกลับกลายเป็นทริคที่ใช้บ่อยแล้วในหนังทั่วไป ถ้าหากว่าหนังเนื้อเรื่องตามรอยเกมส์ทั้ง 2 ภาค ผมว่าคงจะดูดีและมีสไตล์ที่มากกว่านี้แน่ ที่ขำมากที่สุดคือตอนที่ Max Payne บ้าเลือดหลังจากได้กินเซรุ่ม และก็ดูดุเดือดเกินเหตุ ผมจะบอกอะไรให้นะ ทำไมผมถึงขำตอนช่วงนี้ เพราะผมรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ในหนังไม่ใช่ Max Payne แต่กลับเป็น Mark Wahlberg ที่บ้าเลือด บ้าพลังแบบ Rambo มากกว่า ผลลัพท์ที่ออกมานั้น กลายเป็นการใส่แอ๊คชั่นที่แทบจะไม่มีความลงตัวและความเป็นตัวของตัวเองเลย! ถึงแม้ว่ามนุษย์วิหคที่เป็นภาพหลอนของ Max Payne ช่วงที่กำลังขุ้มคลั่งนั้น จะดูสวยงดงามหรือแบบว่าสะกดความรู้สึกจนละสายตา แต่นั้นก็เป็นอีกส่วนเกินที่ยัดเยียดใส่มากเกินไป จนทางผู้สร้างไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป (ยิ่งตัวละครนักสืบ Bravura ที่รับบทโดยนักร้องแร็พที่ผมถูกใจการแสดงของเขาหลายเรื่องอย่าง Ludacris ไม่รู้ว่าจะเอาใส่ไว้ในหนังทำไม ในเมื่อออกจะมีบทบาทในเกมส์ แต่กลับไร้ประโยชน์ในหนัง) ความหนังมีความดีที่ด้านโปรดั๊กชั่น งานฝ่ายศิลป์ การมิกซ์เสียง และ ดนตรีประกอบหนัง แต่นั่นคือความดีของหนังจริงๆ เพราะนอกนั้นมันเป็นอะไรหลายอย่างที่ผมผิดหวังมาก และไม่อยากจะเอากลับไปคิดต่อไป มันเหมือนกับงานที่เราคุ้นเคยที่ใครบางคนทำลายจนมันไม่เหลือของดีอะไร ซึ่งมันน่าเศร้าใจมาก ที่มันมาเกิดกับเกมส์ที่ผมโดนใจอย่าง Max Payne และดูเหมือนว่า John Moore ก็มีแววฝีมือใกล้เคียงแบบ Uwe Boll เสียแล้ว ในความคิดสุดท้าย เรียกได้ว่างานนี้เป็นอีกหนึ่งงานน่าผิดหวังประจำปีนี้ก็ว่าได้ เพราะมันไม่ใช่แค่มาผิดหวังเมื่อได้มาชมหนังจริงๆ แต่มันผิดหวังมาแล้วตั้งแต่ประกาศผู้กำกับและนักแสดงนำแล้ว ว่างานนี้มันไปด้วยดันไม่ได้ และจากเกมส์ที่สุดโดน กลายมาเป็นหนังที่รู้สึกได้เลยว่า ทีมงานไม่ได้ใส่ใจหรือพิถีพิถันเพื่อคนดูเลย ถึงแม้ว่าด้านศิลป์จะออกมาได้ดีก็จริง แต่ผมก็ยังแทบจะไม่ได้เห็นความลงตัวกับหนังเกมส์เรื่องนี้เท่าไหร่ ต่างกับหนังเกมส์เรื่อง HitMan เมื่อต้นปี ถึงแม้เรื่องนั้นอาจเป็นผลงานที่ดูธรรมดา แต่มันยังพอหาความบันเทิงอย่างความเหมาะสมแบบหนังเกมส์ได้อยู่ แต่ใน Max Payne กลับเป็นงานที่หลอกคนมาดูง่ายดายจากตัวอย่างหนัง และมันก็รู้สึกไอ้ฉากยิ่งกร่านมันธรรมดาเกินไป การเช่าแผ่นมาดูที่บ้านพร้อมกับเปิดโฮมเธียร์เตอร์ เป็นการเสียเวลากับหนังเรื่องนี้ในรูปแบบโฮมเธียร์เตอร์ยังคุ้มค่า เหมาะสมกว่าไปเสียตังและเวลาในโรง ถึงแม้หนังเรื่องนี้ในโรง Digital ภาพจะออกมาชัดสวย หรือระบบเสียงจะกระหึ่มได้ใจ เสียงปืนกระหน่ำดี แต่ก็คงจะบอกว่า ใครที่รักเกมส์นี้จริงๆ คงจะต้องผิดหวังกับฉบับหนังนี้ ผมว่าสิ่งที่ผิดพลาดสุดของหนังคือการเลือกทีมสร้าง ผมว่าทีมสร้างค่อนข้างสำคัญกับการสร้างสรรค์เรื่องราวและองค์กอบต่างๆของหนังตามหา ผมลองคิดว่าถ้าหากว่า Michael Bay ได้มากำกับหนังเรื่องนี้ เขาอาจจะมีวิสัยทัศน์ในแบบที่เราไม่เคยเห็นในหนังเขามาก่อน และคิดว่าเขาคงมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับฉากบู๊ในเรื่องนี้แน่ และก็ Ryan Gosling ผมรับรองว่านักแสดงคนนี้ต้องถ่ายทอดอารมณ์เข้ากับความรู้สึก Max Payne ได้อย่างเต็มเปี่ยมมีพลังแน่ ถ้าคุณได้ดูบทบาทการแสดงของเขาใน The Notebook, Stay และ Half Nelson คุณก็คงรู้ทันทีว่า เขามีโอกาสที่จะถ่ายทอดบทนี้ได้มีพลังน่าเชื่อถือแน่นอน สุดท้ายนี้ผมคิดว่านี่เป็นหนังที่ดูเฉพาะฆ่าเวลาจริงๆแบบว่าไม่มีอะไรทำ ก็หยิบดีวีดีมาดูในช่วงที่นอนไม่หลับก็คงจะดี เผลอๆช่วงประมาณ 15 นาทีแรกคุณอาจจะหลับแบบไม่รู้ตัวก่อนหนังจบ วิจารณ์หนังโดย Matthew McPhee'Z

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง Max Payne

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook