วิจารณ์หนัง หลวงพี่เท่ง 2
หลวงพี่เท่ง 2 รุ่นฮาร่ำรวย แต่ไม่รู้ว่าจะร่ำรวยตามชื่อหรือเปล่า เหมือนจะมาผิดรุ่น
มีอยู่คำถามหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยมากจากคอหนังในเว็บหรือจากคนรอบข้างผมที่ชอบดูหนังเหมือนๆ กัน เกี่ยวกับเรื่อง หลวงพี่เท่ง ภาค 2 นี้ว่า คุณโน้ต เชิญยิ้ม ซึ่งเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้เอา คุณโจอี้บอย มาเล่นแทนคุณเท่ง เทิดเทิงแล้วจะสนุกเท่าภาคแรกไหม
ในความเห็นส่วนตัวของผม คุณเท่งนั้นเป็นนักตลกอาชีพ แค่เห็นหน้าก็อดขำไม่ได้แล้ว ส่วนคุณ โจอี้ บอย นั้นแม้ว่าจะเป็นนักร้องชื่อดัง แต่เทียบจำนวนครั้งในการปรากฏหน้าอยู่ตามสื่อต่างๆ แล้ว ยังเทียบไม่เท่าคุณเท่งเลย นั่นก็น่าจะแสดงว่าจะต้องมีคนรู้จักคุณเท่งมากว่าคุณ โจอี้ บอย อย่างแน่นอน
ในส่วนของคุณ โน้ต เชิญยิ้ม นั้น หลังจากที่ประสบผลสำเร็จในการกำกับเรื่อง หลวงพี่เท่ง ภาคแรกมาแล้วด้วยรายได้สวยๆ อยู่ที่ 141 ล้านบาท แต่ผลงานในชิ้นต่อๆ มาของคุณโน้ตก็ไม่ค่อยเข้าตากรรมการสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวตัวดำ ก็ดำหน้ามืดไปแล้ว หรือ อีส้มสมหวัง ก็ท่าทางไม่ค่อยสมหวังนัก ซึ่งก่อนหน้าหลวงพี่เท่งภาคแรกคุณโน้ตก็ทำเรื่อง คนปีมะ มาก่อน และไม่ประสบผลสำเร็จเช่นเดียวกัน
ก็คงมีเรื่องเดียวเท่านั้นที่พอจะกู้หน้าได้กับเรื่อง หลวงพี่เท่ง ภาค 2 รุ่นฮาร่ำรวย นี้ แต่เมื่อคุณโน้ตทำหลวงพี่เท่ง 2 ออกมาแล้วก็คงหนีไม่พ้นกับการที่ต้องถูกเปรียบเทียบระหว่าง ภาค 1 และ 2 ซึ่งหลังจากที่ผมได้ไปดูเรื่องหลวงพี่เท่ง ภาค 2 มาแล้ว ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การถ่ายภาพในเรื่องนี้ถ่ายได้ดีขึ้นอย่างมาก มีภาพสวยๆ ในเรื่องนี้หลายฉากเลยทีเดียว
โดยเฉพาะภาพบรรยากาศที่มีแสงแห่งตะวัน ไม่ว่าจะเป็นยามเย็นหรือยามเช้า ต้องขอชมในเรื่องนี้ ในเรื่องของมุขตลกก็ยังคงถือว่า ฮาในระดับหนึ่ง ซึ่งวัดจากจำนวนเสียงฮาในโรงภาพยนตร์ในวันที่ผมดู ( จำนวนคนเต็มโรง อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นวันแรกแห่งการฉายเรื่องนี้ ) ฮาก็ฮาอยู่หรอกนะ แต่ฮาแบบนับจำนวนครั้งได้ ส่วนความรู้สึกผมจะเหมือนว่าฮาน้อยกว่าภาคแรกนะครับ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า บางมุขเป็นมุขเก่าๆ ยังคงเอามาใช้อยู่ อย่างเช่น ตอนใส่บาตร แบบว่าจะต้องมีมาคุยกันเถียงกัน จนไม่ได้ใส่บาตรสักที มุขนี้ก็มีในหน้งหลายๆ เรื่องแล้ว เลยดูไม่ค่อยขำ
แต่ก็ใช่ว่ามุขใหม่ๆ จะไม่มีไม่ขำ ก็มีที่โดนเหมือนกันพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ด้วยหน้าตาของ โจอี้ บอย ที่ดูไม่ขำ แม้ว่าบางฉากจะพยายามให้ขำ อย่างเช่น ตอนที่ให้พระใส่หมวกแปลกๆ ( กันก้อนหินตกใส่หัว ) ก็ไม่ค่อยขำเท่าไหร่ ได้แค่ยิ้มๆ และที่ดูแล้วปัญญาอ่อนสุดๆ ก็ตรงมือปืนที่ถูกจ้างมาทั้ง 3-4 คน ที่แต่งตัวเลียนแบบหนังฝรั่ง ดูแล้วไม่ขำเลย ( ขำไม่ออกจริงๆ ) ฝืดมาก ทั้งที่นักแสดงพยายามทำให้มันตลกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดันอารมณ์ความชอบหรือขำออกมาได้เลยซักนิด
มันเป็นธรรมดาของหนังที่เอาพระเอาวัดมาเล่น ย่อมถูกเพ่งเล็งเสมอว่า เอาศาสนามาล้อเล่นเอาพระมาล้อเลียนหรือเปล่า ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน แต่ในตัวภาพยนตร์ก็ออกตัวไว้ก่อนแล้วว่า ไม่ได้เอาศาสนามาล้อเลียนเพื่อลบหลู่แต่ประการใด
โดยการแจ้งไว้ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ แต่ภาพที่ออกมาจะน่าเชื่อในสายตาของคนดูหรือเปล่าว่าไม่ได้เอาศาสนามาล้อเลียนอันนี้ผมไม่รู้ อย่างฉากที่พระโจอี้นั่งรถมากับคุณโน้ต พระโจอี้มีการเอาแขนมาอิงเบาะที่นั่งทั้งสองข้างด้วยในขณะที่ใส่ผ้าเหลืองอยู่ ผมดูแล้วรู้สึกว่าไม่สำรวมจริงๆ แต่คิดๆ ไปในเรื่องพระโจอี้มาจากนักร้องแร๊พ อาจจะติดนิสัยมาก็ได้ ก็เลย.. (ผ่านไป)
ในส่วนของธรรมะที่สอดแทรกเข้ามาในเรื่องนี้ก็มีเยอะเหมือนกัน ปกติแล้วหนังทุกเรื่องย่อมมีธรรมะเข้ามาสอดแทรกอยู่แล้ว อย่างเช่น ธรรมะย่อมชนะอธรรม, ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อะไรประมาณนั้น แต่เรื่องนี้อาจจะมีเยอะหน่อย เพราะในตัวหนังก็เกี่ยวกับพระกับศาสนาโดยตรง ผมชอบตอนพระ 2 รูปช่วยกันเทศน์(แหล่)
เรื่องเกี่ยวกับ แม่ ให้ญาติโยมฟัง และในหมู่บ้านนั้น (หมู่บ้านโคกสะอาด) มีถึง 3 ศาสนาด้วยกัน คือ พุทธ อิสลาม และคริสต์ แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะอยู่ศาสนาไหนก็อยู่ร่วมกันได้ แล้วความดีทั้ง 5 ที่สอดแทรกมาอีก ทำดี, คิดดี, พูดดี, คบคนดี, แล้วอยู่ในที่ดีๆ ก็เป็นสิ่งที่ผู้กำกับพยายามแทรกเข้ามา
นักแสดงแสดงกันได้ดีทุกคน คุณโน้ตพยายามดึงพี่น้องและเพื่อนฝูงของคุณโน้ตออกมาเล่นฉากละนิดฉากละหน่อย แถมภาคนี้ยังเอาลูกสาวสุดที่รักของคุณโน้ตมาเล่นด้วย (น้องแตงกวา) เหมือนเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวจริงๆ ส่วนดำตี10 คนนี้ผมจำได้ดี (คนที่เป็นลูกศิษย์วัด ขา-แขนพิการ) เพราะวันที่คุณดำประกวด "ดันดารา" ในรายการตี 10 ผมได้ดูในช่วงที่คุณดำเข้าประกวดพอดี ไม่คิดว่าคุณโน้ตจะเอามาเล่นในเรื่องนี้ด้วย
ผมว่าเขาเป็นคนตลกดีนะ แต่ในเรื่องนี้บทเขายังไม่เด่นเท่าไหร่ แต่แปลกที่เรื่องนี้ไม่มี โก๊ะตี้ เพราะปกติแล้วหนังของพระนครฟิล์ม จะมีโก๊ะตี๋เกือบทุกเรื่อง ส่วนเรื่องเพลงประกอบ เอ๋...!!ไม่มีนะถ้าไม่นับเพลงปิดท้ายเรื่อง กับเพลง "อาตมาไม่รู้สิ ทำให้ดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างในการดูหนัง
ไหนๆ ก็พูดถึงหนังของพระนครฟิล์มแล้ว อยากฝากไปถึงผู้บริหารสักหน่อย ผมว่าหนังของพระนครฟิล์มทุกเรื่อง บุคลากรในการทำงานในด้านต่างๆ ของพระนครฟิล์มที่เก่งๆ และดีๆ ก็มีอยู่มากนะครับ จะเห็นว่าหนังของพระนครฟิล์มปีหนึ่งๆ มีออกมาหลายเรื่องด้วยกัน
แต่ส่วนน้อยมากที่หนังจะประสบผลสำเร็จ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางค่ายพระนครฟิล์มวัดจากตรงไหนว่าหนังเรื่องนั้นๆ ประสบความสำเร็จหรือเปล่า เพราะว่าบางบริษัทอย่างหนังลงทุน 20 ล้าน ขายได้ 30 ล้าน ก็ถือว่าเป็นผลสำเร็จแล้ว แต่สำหรับนักวิจารณ์ผมคิดว่าน่าจะวัดจากคำติและคำชมตามสื่อต่างๆ นะครับ
ถ้าโดนติมากกว่าชมก็แสดงว่าหนังเรื่องนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ สำหรับค่ายพระนครฟิล์มผมคิดว่าทุกอย่างดีหมดยกเว้น บทภาพยนตร์ ครับ บทภาพยนตร์ของค่ายนี้น้อยมากครับที่ดีๆ ถ้าแก้ตรงจุดนี้ได้ ผมว่านักดูหนังไทยคงมีหนังดีๆ ดูกันอีกเยอะ ก็ขอฝากไว้ด้วยแล้วกันครับ
สรุปแล้วเรื่อง หลวงพี่เท่ง 2 รุ่นฮาร่ำรวย บทยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร บางช่วงบางตอนยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นหนังตลกจะเอาฮาอย่างเดียว ผู้กำกับพยายามยัดเยียดความฮาแต่กลับฮาได้ไม่เท่าไหร่ ถ้าคิดว่าจะมาดูหนังตลกสุดๆ ล่ะก็ผิดหวังแน่ๆ
แต่ถ้าคิดว่ามาดูเพื่อแก้เครียดกับเหตุบ้านการเมืองแล้วแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็คงพอไหว หรือจะเครียดกว่าเดิมก็แล้วแต่มุมมอง สำหรับผมคิดอยู่เหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้ ฮา ไหม? ก็เลยพยายามนึกคาแร็คเตอร์เท่ง กับ โจอี้บอย ว่าถ้าสองคนนี้แต่งชุดพระมายืนอยู่ตรงหน้าผม แล้วให้ทำหน้าตลก ผมจะตลกเท่งหรือโจอี้บอยกันแน่ แล้วผมก็ได้คำตอบแล้วว่า เท่งน่าจะตลกกว่า นั่นก็แสดงว่าผมให้ หลวงพี่เท่ง ภาค 1 สนุกกว่า ภาค 2 ครับ แต่ถ้าให้คะแนนผมก็ขอให้เท่ากันก็แล้วกันคือ 7/10 ครับ
ผมแถมเกร็ดเล็กๆ น้อยให้นิดนึงนะครับ
ไม่รู้ว่ารู้กันหรือยังนะครับเกี่ยวกับโลโก้ของค่ายหนัง พระนครฟิล์ม คำว่า พระนครฟิล์ม กลายเป็น พระนครฟิลม์ ในโลโก้ ตัวสะกดการันต์ จะไปอยู่ตรง ม.ม้า แทนที่จะอยู่ตรง ล.ลิง ที่ถูกต้องตามพจนานุกรม ที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้สะกดผิดหรืออย่างไรนะครับ เป็นเพราะว่าทางค่ายถือเคล็ดว่า ถ้ามีอะไรไปทับตรง ล.ลิง แล้วจะไม่ดี เพราะว่า ล.ลิง ในที่นี้ หมายถึง ล้าน (เงินล้าน) นั่นก็หมายความว่า ทางค่ายถือเคล็ดว่าหนังทุกเรื่องของค่ายต้องได้เงินล้าน (หลายล้าน) ทุกเรื่องนั้นเอง
วิจารณ์หนัง โดย TCK