วิจารณ์หนัง บุญชู ไอเลิฟสระอู
ผมอดใจไม่ไหวจริงๆ ที่จะไม่เขียนวิจารณ์เรื่อง บุญชู ไอเลิฟสระอู เรื่องนี้ เหตุผลนะเหรอครับ อยากฟังเหรอ เล่ายาวนะ ก่อนอื่นบอกตามตรงอย่างไม่เกรงใจเลยครับ ในเรื่องบุญชูทั้ง 8 ภาคที่ผ่านมา ผมยังไม่เคยได้ดูเลยแม้แต่ภาคเดียว ไม่ใช่เกิด ไม่ทันหรอกนะครับ เป็นเพราะว่าช่วงนั้น ผมไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ นั่นคือเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้ผมไม่กล้าเขียนวิจารณ์เรื่องนี้
อีกอย่างทราบมาว่า ภาพยนตร์เรื่อง บุญชู เป็นภาพยนตร์ ในตำนาน ที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทย และก็มีแฟนคลับของเรื่องนี้หนาแน่นมาก เดี๋ยวเขียนอะไรไม่ดีออกไปจะถูกต่อว่าเอาได้ แล้วผมก็ต้องรีบไปหาภาคเก่าๆ มาดูจนครบ ดูหมดแล้วก็เลยขอสมัครเป็นแฟนคลับของบุญชูอีกคน
หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงแล้ว บอกได้เลยว่า สนุกดี ชอบ แล้วก็กลับไปดูมาอีก 2 รอบรวมเป็น 3 รอบแล้วครับ เอาเป็นว่าผมจะวิจารณ์ตามความรู้สึกของคนดูหนังคนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ จะผิดจะถูกก็ว่าไปตามนั้นก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าผมไม่คุยถึงหนังเรื่องนี้แล้วผมกลัวว่า น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ที่เป็นผู้กำกับเรื่องนี้ อายุท่านใกล้จะ 60 ปีแล้ว แต่มากำกับหนังวัยรุ่นได้ยอดเยี่ยมมากครับ สมกับเป็นปรมาจารย์ที่คนในวงการยกย่องจริงๆ ครับ ตัวหนังเน้นไปที่เด็กมัธยมปลาย-มหาวิทยาลัยตอนต้นและคนวัยทำงาน
ตัวแสดงในเรื่องนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น คือรุ่นพ่อแม่ กับ รุ่นลูกๆ แล้วแต่ละรุ่นก็ไม่ใช่มีแค่คนหรือสองคน แต่มีถึงรุ่นละ 5 คนเป็นอย่างต่ำแต่อาบัณฑิตก็สามารถกระจายบทให้ทุกคนได้อย่างลงตัว ไม่มีใครมีบทเด่นเกินใคร บทของทุกคนสำคัญเท่ากันหมด แม้แต่บทเล็กๆ อย่างเด็กผู้หญิง 2 คนที่อยู่กับ พิมพร ก็ยังมีส่วนสำคัญของเรื่องเท่าๆ กัน บางช่วงตัวภาพยนตร์จะมีลักษณะเหมือนการเล่าเรื่องผ่านบทเพลง ที่มีคุณ แอ๊ด คาราบาว มาเป็นผู้เล่า แต่ก็ดูดีนะครับไม่ขัดหูขัดตากลมกลืนกับเรื่องได้ดี การตัดต่อดีและเรียงลำดับดี ถ่ายภาพสวยครับ
ส่วนนักแสดงรุ่นพ่อแม่ (บุญชู+โมลี และเพื่อนของบุญชู) ไม่ต้องพูดถึงทุกคนแสดงได้ดีมากจริงๆ มุขตลกกระจาย แถมเป็นมุขที่ดี มุขสะอาด มุขไม่หยาบ อาบัณฑิตเคยให้สัมภาษณ์ว่า มุขของหนังเรื่องนี้ เป็นมุขที่คิดขึ้นมาทั้งหมด ไม่ใช่มุขแสดงสดๆ อย่างหนังตลกทั่วไป โดยเฉพาะแก๊งซูโม่ แค่เห็นหน้าก็ขำแล้ว
เพราะว่าพวกเขาเป็นตลกอาชีพจริงๆ ถึงแม้เรื่องนี้จะนำมุขเก่าๆ จากภาคก่อนๆ มาเล่นดัดแปลงบ้างเล็กน้อยตามยุคสมัย แต่ผมว่ามันก็เป็นคาแร็คเตอร์ประจำตัวของแต่ละคนไป ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศเก่าๆ จากภาคเดิมๆ ด้วย แฟนรุ่นเก่าเมื่อเห็นหน้าผองเพื่อนของบุญชู ก็จะทำให้หายคิดถึงได้บ้าง ส่วนแฟนรุ่นใหม่ ก็จะได้ทำความรู้จักกับตัวละครเหล่านี้ไว้ ถ้ามีโอกาสทำภาคต่อจะได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น
การแสดงในรุ่นลูก ถึงแม้ว่าการแสดงจะยังสู้รุ่นใหญ่ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะฉากที่เข้าไปในบ้านยายทองหยิบ แสดงอาการการกลัวผีได้ไม่เนียนนัก ดูแล้วเหมือนแกล้งกลัวมากกว่า ไม่ได้เป็นความกลัวที่มาจากความรู้สึกจริงๆ ยิ่งน้องที่แสดงเป็น แอ่น (ซาร่า AF3) ก็ทำให้รู้สึกว่า หลอกเพื่อนๆ เล่น ไม่มีผีอะไรในบ้านหลังนี้หรอก
แต่โดยรวมๆทั้งเรื่องแล้วทุกคนก็ตั้งใจเล่นได้ดีครับ โดยเฉพาะตัว บุญโชค ที่ ได้น้อง อาร์ตี้ (ธนฉัตร ตุลยฉัตร) มาเล่น ผมว่าน้องเขาเล่นดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ (แค่เรื่องแรก) นี่ถ้าเอาพระเอกอีกคนที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่าจะมาเล่นในบทบุญโชค ผมว่าคงสู้น้องอาร์ตี้ไม่ได้ เพราะพระเอกคนนั้นหน้าออกไปทางฝรั่งเกินไป น้องอาร์ตี้นี่แหละเหมาะที่สุดแล้วครับที่มาเป็น บุญโชค เพราะดูแล้วถอดแบบมาจากบุญชูเปี๊ยบเลย
เรื่องเพลงประกอบดีนะครับ เพลงประกอบเพราะดี ทั้งบทเพลงที่คุณแอ๊ด คาราบาวร้อง รวมถึงเพลงประกอบอีกประมาณ 3 เพลงในเรื่อง โดยเฉพาะเพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน ที่เอามาทำใหม่ ซึ่งก็ทำได้ไพเราะจริงๆ ครับ ชอบมาก (เห็นบอกว่าที่นำเพลงนี้มาใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้ด้วยเพราะว่า เป็นการร่วมรำลึกถึงคุณ จรัญ มโนเพชร (เสียชีวิตไปแล้ว) ที่เคยทำเพลงประกอบหนังให้อาบัณฑิตมาหลายเรื่องแล้ว ส่วนในบุญชูภาค 9 นี้ ได้คุณแอ๊ด คาราบาวมาทำเพลงให้แทน)
แต่ยังมีจุดที่ผมไม่ค่อยชอบอยู่เล็กๆ นะครับ อย่างเช่น คำพูดของแม่บ้านในเรื่อง ตอนที่พวกบุญโชคบุกเข้าไปถึงที่พักพิมพร แม่บ้านไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย เหมือนรู้เห็นเป็นใจให้คนทำผิด ถึงแม้ว่าความผิดนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าสงสารก็เถอะ น่าจะแนะนำหาทางช่วยกันแก้ไขจะดูดีมากกว่า
อีกช่วงหนึ่งคือตอนที่ให้เด็กเล็ก 2 คนแต่งชุดนักเรียน(พวกมิจฉาชีพ) ไปหลอกขอเงินบริจาคในห้าง พอดูเรื่องนี้แล้ว ในชีวิตจริงๆ ถ้าเกิดเราไปเดินห้างแล้วเจอเด็กนักเรียนแขวนกล่องรับบริจาคที่เข้ามาขอเงินจาคเราในลักษณะนี้ เราจะฉุกคิดทันทีว่า เป็นพวกเด็กหลอกลวงหรือเปล่า ทำให้เรา อาจจะไม่กล้าให้เงินบริจาคตรงนั้นไป
ฉากงง ตอนที่ ปพาฬ ไปแขวนรูปคุณยายทองหยิบ แล้วลื่นผ้าเช็ดพื้นตกลงมาพร้อมกรอบรูปไหลมาตามบันได ทั้งๆ ที่เป็นบันไดหักศอกแท้ๆ แต่สามารถไหลลงมาถึงด้านล่างได้ ไหลลงมาได้ไง งงจริงๆ แต่คิดไปคิดมา อ้อ มันเป็นหนังตลก ทำให้ฮาเฉยๆ ฉากนี้ก็เลยผ่านความคิดไป
ฉากน่าเบื่อ ตอนใกล้จบวิ่งไล่กันในโกดัง นานมากนานจริงๆ วิ่งไปวิ่งมาเดาถูกว่าจะเกิดอะไรบ้างในนั้น แต่ถึงนานก็ยังดูสนุกดี ก็เป็นแง่มุมเล็กๆ เท่านั้นที่ผมคิดถึง แต่โดยรวมของหนังแล้วดีมากครับ หนังบุญชู ยังคงสไตล์ ความใสซื่อของเด็กบ้านนอกเข้ากรุง แม้เวลาจะเปลี่ยนไป ความนึกคิดต่างๆ ของคนเปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาแทนที่ แต่จิตใจของบุญชู,โมลีและเหล่าเพื่อนๆ ของเขา รวมทั้งรุ่นลูกๆ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงยังคงรักษาความดีเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงหรือต่างจังหวัด ในส่วนของฉากจบก็ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างดี บอกเป็นนัยๆ ว่าเตรียมตัวดูภาคต่อได้เลย มีแน่ๆ
ภาพยนตร์ที่ผมคิดว่าจะเป็นตำนานได้นั้น น่าจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ ดีทั้งข้างนอก และ ดีทั้งข้างใน ดีข้างในก็หมายถึง ผู้กำกับกำกับดี บทภาพยนตร์ดี นักแสดงแสดงได้ดี สิ่งที่ต้องการนำเสนอดี สิ่งที่ต้องการสื่อออกมาเข้าใจ ภาพรวมของภาพยนตร์ดี ดีข้างนอก หมายถึง คนดูหนังเรื่องนั้นๆ
เมื่อดูหนังจบออกมาจากโรงภาพยนตร์แล้ว ยิ้ม อมยิ้ม หัวเราะ ดูแล้วมีความสุข เป็นภาพยนตร์ที่มีการกล่าวขานในด้านบวกเป็นจำนวนมากกว่าลบ ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั้งเงินและรางวัล ถ้าคุณสมบัติของ "ภาพยนตร์ไทยในตำนาน" มีแค่นี้ ผมว่าภาพยนตร์เรื่อง บุญชู ก็สมควรได้รับตำแหน่งนี้ไปเลยครับ...
วิจารณ์ โดย TCK