วิจารณ์หนัง Mamma Mia

วิจารณ์หนัง Mamma Mia

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
หนังเพลง Musical กับตัวผมเป็นเคมีที่ต้องเหมาะกันอยู่แล้ว ในเมื่อส่วนตัว จะนอกจากที่รักหนังเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็ยังแอบแบ่งปันใจไปสดับรับฟังงานเพลง ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า เป็นไทยหรือเทศ ก็ล้วนแต่รับได้หมด ขอเพียงที่สำคัญอย่างเดียวให้ฟังแล้วเข้าหูไว้ก่อน ( คือ จะฟังเพลิน หรือร้องเพราะ เอาสักอย่างหรือทั้งสองอย่างนั่นแหละ) ซึ่งถึงแม้ว่าผมจะถือตัวว่าเป็นนักฟังเพลง ที่แทบจะขาดเสียงเพลงไม่ได้ ในทุกขณะจิตไปแล้ว แต่กระนั้น มันก็คงจะห่างไกลจากการเป็น เซียนเพลง อยู่ดี ยิ่งถ้าให้ไปขุดเพลงเก่าๆ นักร้องรุ่นดึก ตั้งแต่สมัยโบราณกาลที่ผมยังไม่เกิดเป็นตัวดักแด้ (เป็นคน หรือเป็นหนอนหว่าเนี่ย) มาถาม จะมีสักกี่เพลงเองเชียว ที่สามารถตอบได้อย่างรู้จริงว่า ชื่อเพลงอะไร เป็นเพลงของใคร คำร้องใครแต่ง ทำนองใครเขียน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในกรณีของหนังเพลงเรื่องล่าสุดอย่าง Mamma Mia ก็เข้าข่ายว่าเป็นหนังเพลงเรื่องหนึ่ง ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมกับความว่างเปล่าในหัวสมองของผม และก็ทำให้ผมได้คิดตั้งคำถามขึ้นมา ว่าใคร คือ ABBA หากลองให้ผมยกชื่อของนักร้องกลุ่มที่รวมตัวเป็นวง แล้วมีชื่อเสียงดังโด่งจนกลายเป็นดาวค้างฟ้ามาถึง ณ บัดนี้แล้ว ที่ผมมั่นใจว่าจะคิดออกในอันดับแรกๆก็คงจะเป็น The Beetles, Carpenters, BeeGees, Scorpions และ The Eagles แต่ถ้ามีใครถามว่าผมได้ลืมวง ABBA ไปหรือไม่เนี่ย ก็เห็นจะต้องเรียนกันตามตรงว่า ผมไม่รู้จักซึ่งมันก็อาจเป็นเพราะ 5 วงที่ผมขึ้นมาเหล่านั้น ล้วนต่างแต่มีเพลงเพราะๆ ฮิตๆ โดนๆ ที่เรียกได้ว่า คลาสสิค เอามาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เปิดให้ฟังตามคลื่นวิทยุกันได้บ่อยๆ จนเป็นสิ่งที่ติดหู และติดใจได้สม่ำเสมอ หากในขณะเดียวกันที่ ABBA ก็คงจะเคยมีเพลงที่ผ่านหูผมกันมาบ้าง แต่เรื่องของชื่อเสียง จนกระทั่งชื่อวง กลับเหมือนจะไม่ได้รับการเผยแพร่ในประเทศไทย อย่างสม่ำเสมอเทียบเท่ากับพลพรรคที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา ตรงนี้ผมไม่ได้โทษใครทั้งนั้นหรอก หากมันคงจะต้องโทษตัวเองซะละมั้ง ที่เกิดมาไม่ทันในช่วงเวลายุคทองของเสียงเพลงสากลฝรั่ง ในเมืองไทย ที่ได้ข่าวว่าราวๆ 30 ปีก่อน วง ABBA ที่ว่านี้ ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนในความดังไปกว่าแก๊งสี่เต่าทอง กันเลยทีเดียว แต่กระนั้นแล้ว เรื่องของ ABBA ที่ผมเคยสงสัยแต่ต้น ไม่นานจากนั้น มันกลับได้ตกอันดับไปอยู่เป็นประเด็นรองๆไปเลย เมื่อมาเทียบกับข่าวดีที่ผมได้รับรู้ด้วยใจตื่นเต้น ว่าเราจะกำลังได้เห็นอะไรแหล่มๆเป็นบุญตา เมื่อเจ้าป้าออสการ์ อย่าง เมอรีล สตรีพ จะพลิกบทบาทเทพ มารับเล่นหนังเพลงสามัญชน ที่ยังจะต้องร้องเพลงด้วยเสียงของตัวเองอีกต่างหาก เรื่องราวของ Mamma Mia! มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่หญิงสาวผู้หนึ่ง โชฟี กำลังจะทำฝัน 2 เรื่องของตัวเองให้เป็นจริงด้วย การแต่งงานกับ สกาย ชายที่เธอรัก ไปพร้อมๆกับ การเชิญคนที่เธอคิดว่ามีสิทธิ์จะเป็น พ่อ ตัวจริงของเธอ มาร่วมเป็นประจักษ์พยานส่งตัวเธอเข้าหอ แต่เรื่องมันช่างยากยุ่งอีรุงตุงนังจริงแท้ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตัวแม่อย่าง ดอนน่า ก็ได้เคย มีกิ๊กกั๊กกับผู้ชายถึง 3 คนในช่วงเวลาเดียวกัน จนกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจแน่ใจได้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องกันแน่ซะอย่างงั้นแล้วอย่างงี้ ผู้ชายคนใดกันแน่ ระหว่าง สถาปนิกรูปหล่อ แซม ไฮโซเพลย์บอย แฮร์รี่ และนักผจญภัยสุดขอบโลก บิล จะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับบุญหล่นทับ นับว่าเป็นตัวจริงของครอบครัว ดอนน่า และ โซฟี ในทีนี้เห็นทีงานนี้ คงต้องเหนื่อยกันหน่อย จะไม่ให้เหนื่อยได้ไงไหว ก็เล่นตามลุ้นหาความจริงไป พร้อมๆกับส่งเสียงร้อง ออกสเตปเต้นโยกย้ายส่ายลีลา ไปกับมนต์เพลงแห่ง ABBA ที่ต่างจะต้องร้องอุทาน ยอมฝืนสังขารที่โรยรากันแทบทั้งนั้น งานใหญ่ของ Mamma Mia ฉบับหนังโรง ในครั้งนี้ ได้ยกทีมงานพลพรรคทื่เคยสร้างชื่อเสียง อันดังปรี๊ดแตก จากการสร้าง Mamma Mia ฉบับละครเวที มาแทบทั้งกะบิ เพื่อหวังจะสร้างผลงานที่มีความน่าพอใจมากไปกว่าตัวละครเวที ที่พวกเขาบอกว่า มันยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่หนังโรงน่าจะสามารถเดินไปให้ถึงจุดที่ดีเยี่ยมได้มากกว่า หากแม้คำพูดของทีมงานเหล่านั้น อาจจะมีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือได้อยู่เหมือนกัน เพราะมันถือเป็นความจริง ที่ถึงหนังโรงอาจไม่ให้ความสดเฉกเช่นกับละครเวที แต่ก็ยังคงจะเก็บรายละเอียดปลีกย่อยได้ดีมากกว่า แต่โดยส่วนตัว ที่ได้ดูเพียงหนังโรง ก็รู้สึกแค่ว่า Mamma Mia เป็นหนังเพลงที่ทำออกมาได้ธรรมดา เกินกว่าที่คิดหวังเอาไว้ กับความเป็นจริงที่ผมได้มองเห็นในมุมของผม ถึงแม้ตัวหนังจะได้รับการดูแล จากมือฉมังที่คุ้นเคยกับการร้อยเรียงเพลง ABBA ให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวมาแต่หนที่เป็นละครเวที อีกทั้งยังจะสามารถรับรองในเรื่องของการต้องแสดงผลที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยก็ตามแต่ หากถ้าว่าในเรื่องของการทำหนังโรงเป็นหลักสำคัญ ก็ดูออกอย่างเด่นชัดว่า พวกเขาค่อนข้างจะทำได้ไม่อยู่มือ หรือเรียกว่า มือใหม่ ที่ประสบการณ์ยังไม่ถึงพร้อม จะได้เคี่ยวกรำผลงานให้มาออกมาอย่างหนักแน่นนัก ผมรู้สึกได้ว่า Mamma Mia มีฉากอยู่หลายฉาก ที่หนังเดินเรื่องราวจากไดอะล็อกล่วงไปถึงการคลอตามเพลงได้ไม่ลื่นไหล มีเป็นพักๆ ที่หนังสะดุดกึก แล้วส่งอารมณ์ไปให้คนดูได้ไม่ต่อเนื่อง เมื่อมันจะขาดหายรายละเอียดบางสิ่ง ซึ่งถ้าหนังให้เวลากับมันได้เติมเต็มอีกสักหน่อย ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรที่จะทำ แม้ส่วนของการจัดการเพลง เพื่อใช้เป็นการสื่อสารเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละฉาก จะเอื้อให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมไปตามเหตุการณ์นั้นๆได้ แต่มันก็ยังไม่ได้ถึงส่งผลลัพธ์คืนมาอย่างรุนแรงนัก เพราะโดยการตัดต่อ ตบแต่ง ค่อนข้างจะมีปัญหา ที่มันไม่ smooth เป็นเนื้อเดียวกันหมด อีกทั้งโดยการกำกับ ก็ไม่แม่นในจังหวะจะโคน ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างมีพลัง ทั้งแปรเปลี่ยนเป็นเวลาบางห้วง ที่ผมยังเห็นว่ามีมุมที่ดูน่าเบื่อ ถึงตาจะไม่ได้ละออกจากจอพ้นไป ก็ยังคิดว่าควรจะมีความบันเทิงที่น่าติดตามให้มากกว่านี้ได้อีก ถ้าเรื่องของอารมณ์ร่วมในหนังที่ส่งถึงคนดู จะถือเป็นสิ่งที่เรียกว่า ความอิ่มเอม ประทับใจในหนังแต่ละเรื่อง ที่มีมากน้อย ดีด้อย แตกต่างกันไปตามพลังที่มันมี Mamma Mia ก็คงจะถือว่ามีจุดด้อยเพียงแต่ในเรื่องนั้นเสียซะมาก หากแต่ถ้านับสิ่งที่เรียกว่า ความสนุก เป็นประการสำคัญ ก็คงจะถือว่าหนังมันทำหน้าที่ได้ดีตามที่สมควรจะเป็นแล้ว แม้กระทั่งกับคนที่ไม่เคยคุ้นตัวบทเพลงและสาระเนื้อในที่แต่ละเพลงของ ABBA ต้องการสื่อออกมา อย่างผม ก็ยังคงต้องจำยอมที่จะเปิดตาดู เปิดหูฟัง แล้วปล่อยใจที่จะเพลิดเพลินไปกับมัน อย่างสำเริญสำราญสร้างรอยยิ้ม ได้ดีนักเชียว จนกระทั่งที่หนังจะมีฉากซึ้งเรียกน้ำตามาร่วม ก็ย่อมต้องยกย่องว่าเพลงที่ใช้ในฉากนั้นอย่าง The Winners Take It All สามารถที่จะสร้างจุดพีคในตัวของมันได้เองเลยด้วยซ้ำ (หากมันก็ยังจะพีคได้ยิ่งกว่าด้วยการแสดงของเจ้าป้า ที่เทพพอจะเอาเพลงเสียงสูงนี้มาเป็นเครดิตของตนได้อยู่หมัด) แล้วที่ Mamma Mia จะลืมให้เครดิตก็ไม่ได้เลย ก็คือ ส่วนของทีมนักแสดง ที่ต่างก็มีบทบาทที่สลักสำคัญ มีโมเมนต์เป็นของตัวเอง อย่างไม่ให้รู้สึกว่ามันน่าน้อยใจ ในการออกฉากที่มีมากน้อยแตกต่างกันไป.. หรือจะเอาเพียงแค่ ฉากเครดิตปิดท้าย ซึ่งรวมก๊วนผู้อาวุโสทั้งหญิงชาย มาโชว์มูฟประชันกัน ก็นับว่า ความแก่เป็นแค่เรื่องเด็กๆ ที่ไม่ได้มีผลต่อความกล้าได้อายอดใดๆเลย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คนที่จะต้องถูกพูดถึงมากที่สุด อย่างเจ้าป้า เมอรีล ก็คือคนที่ขโมยซีนได้มากที่สุดของหนัง ไม่ว่าเจ้าป้าจะออกมาอีท่าไหน ประกบกับใคร สายตาของผมแทบจะจับจ้องไปมองหาเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เรียกได้ว่า เสน่ห์จับ บารมีเปล่งเป็นอาร์ตตัวแม่ที่ แอ๊บแบ๊วได้ใจชายวัยละอ่อนเช่นผม ซะเหลือเกิน ซึ่งไม่ว่าใครจะมองว่า Mamma Mia เป็นหนังของ ABBA ก็ตามแต่ หากถ้ามันไม่มีเทพสักคน อย่าง เมอรีล สตรีพ มาร่วมจอ ก็คงจะมีสีสันซีดๆไม่จี๊ดจ๊าด จัดจ้านถึงเท่านี้ได้เป็นแหง Mamma Mia หากเทียบกับ Jukebox Musical ที่อาร์ทจ๋า เจตนาฟุ้งฝันมากกว่าอย่างหนังรวมเพลงสี่เต่าทอง Across the Universe แล้ว งานรวมฮิตเพลง ABBA ในฉบับหนังโรง ยังคงไม่อิ่มเอมเท่า กับเรื่องราวที่ผ่านตาอีกทั้งค้างคามาแต่คราวต้นปีที่ผ่านพ้น แต่ถ้าใจคออยากจะดูหนังเพลงกันจริงๆแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าผิดหวัง เอาแค่ได้เห็นเจ้าป้า สลัดความแก่ มาแอ๊บแบ๊วไปกับแอ๊บบ้า ก็แทบจะทำให้ชีวิตที่นั่งนิ่ง อยู่ในโรงหนัง นับเวลาร่วม 2 ชั่วโมง หมดลงไปอย่างเฮฮา คุ้มค่ากันจริงเชียว

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง Mamma Mia

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook