วิจารณ์หนัง สี่แพร่ง

วิจารณ์หนัง สี่แพร่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
วิจารณ์หนัง สี่แพร่ง

ฮือๆ..ฮือ..ช่วย..ด้ว..ยยย !! ลากเสียงยาวกันไปเลยทีเดียว สวัสดีเป็นทางการอีกครั้ง กับผมนาย Tendama ที่มาแบบลากเสียงชวนสยองแทบจะวิ่งไปถ่ายท้องนั้น ไม่ใช่อะไรที่ไหน เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เผชิญโลกแห่งความสยึมกึ๋ยส์ แบบสุดพลังกับหนัง สี่แพร่ง ซึ่งขอบอกกับผู้อ่านทุกท่านเลย ส่วนตัวผมเป็นคนกลัวหนังผีสุดๆออกแนวว่าให้มาฉายเถอะถ้าไม่มีเหตุอันใดข้าพเจ้าขอ บ๊ายบายดีกว่า แต่แล้วความที่ยิ่งเกลียดยิ่งเจอตามคนโบราณว่าไว้ ก็ได้ชักพาผมมาผจญเจอกับตัวเองจังๆกับหนัง สี่แพร่งที่ ดูไปต้องมีมือไซร้มาบังหน้า แล้วเอาตามองลอด ผ่านง่าม นิ้วระหว่างมือ โอ๊วว พระเจ้า จอร์จ มันยอดข้น คนมันกลัวน่ะครับ เข้าเรื่องเลยดีกว่า หนังสี่แพร่ง เป็นหนังอาศัยความฉลาดในตัวเองที่วางเหตุการณ์ให้เชื่อมโยงกัน ซึ่งตรงนี้ผมว่าเหมือนกับที่จะเล่นกับคนดู ซึ่งถ้าเป็นพวกที่ตั้งใจดูหนังพอสมควรหรือพวก จ้องจับผิดหนังแล้ว จะเห็นได้และคิดตามกันได้แน่ๆ เพราะทั้ง 4 เหตุการณ์มีจุดเชื่อมต่อโยงกันครับ คือเหมือนกับว่า มันไม่ได้แค่มาโดดๆ 4 เรื่องจริงๆ ไม่ใช่แนว ผี 3 บาท ในสมัยยุคเดิมๆเหมือนกับ หลายคนพูดกัน แถมหนังยังฉลาดที่จะใช้เหตุการณ์ต่างๆ มาบีบบังคับสถานการณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ เช่น ขาหักในตอนเหงา ตอนโดนรูดซิบเปิดเต็นท์ ในตอน คนกลาง ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ตอนนี้น่ากลัวอย่างมาก และมีอีกมากมาย แต่ผมขอที่จะไม่กล่าวและให้ทุกคนไปชมกันเองครับ โดย ผมขอวิจารณ์แยกเป็นทีละตอนนะครับเพื่อความน่าสนใจของแต่ละตอน

ตอนเหงา 1 ใน หนังสี่แพร่งตอนแรก ที่ได้ผู้กำกับ ยงยุทธ ทองกองทุน ที่กำกับ แก๊งค์ชะนีกับอีแอบ และ สตรีเหล็ก ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการมากำกับหนังผีเลย โดยส่วนตัวผมมองว่าคงไม่มีอะไรมากมายเพราะพี่แก กำกับมาในแนวทางหนังตลกคงไม่เท่าไหร่กับหนังผี แต่ที่ไหนได้ล่ะครับ พี่แก ประยุกต์ผีซะให้เทคโนโลยี ดิจิตอล กันเลยทีเดียวมาแบบ sms มากันเลย และได้นักแสดงอย่าง เอ๋ เพื่อนสนิท หรือ เอ๋ มณีรัตน์ คำอ้วน ที่แสดงได้ดีจริงๆ ต้องบอกถึงความน่ากลัวที่ผู้กำกับป้อนให้คือ ความเงียบ ความกดดัน ความอึดอัด โดยที่ว่า หนังสี่แพร่งในตอนเหงานั้น มีบทพูดน้อยมากหรือไม่ก็แทบไม่มีบทพูดเลย ส่วนใหญ่จะหนักไปทางใช้เสียงซาวด์เอฟเฟคของโทรศัพท์มือถือ บวกกับ ความเงียบ และการใช้แสงเงาอัน อึมครึมทะมึนๆ จนบอกไม่ถูกว่า ที่ที่เอ๋ อยู่ในเรื่องนั้นมันหอพักหรือ โรงแรมร้างกันแน่ เพราะดูแล้วสภาพน่ากลัวสุดพลัง จนทำให้ผมนั้นจินตนาการไปต่างๆนาๆ และบทที่เอ๋ ต้องรับเป็นสาวขาหักด้วยแล้ว มันดูทรมานอย่างยิ่งในการหลบหนีตอนผี จะมามันทำให้ผมลุ้น หลายๆทีเลยดีเดียว กระเพลกได้ใจมากๆ และที่สำคัญ ในตอนเหงา นั้น เอ๋ ได้แสดงจริงๆโดยไม่ใช้ตัวแสดงแทน ในฉากที่ เธอ ตกตึก นั้นคือ สปิริตนักแสดงอย่างที่สุด ผมข้อยกนิ้วให้กับ ตอน ที่มีชื่อว่าเหงา ในหนัง 4 แพร่งนี้

ตอนที่ 2 ยันต์สั่งตาย ได้ผู้กำกับอย่าง ปวีณ ภูริจิตปัญญา ที่กำกับ บอดี้ ศพ#19 มาหมาดๆ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และเรื่องนี้ ปวีน ภูริจิตปัญญา ก็ได้โชว์พลัง CG แบบฉบับของตัวเองเช่นเคย ถึงได้นักแสดงวัยรุ่นหลายคนมานำแสดงในตอนยันต์สั่งตายนี้ ไม่ว่าจะเป็น สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญ และ วิทวัส สิงห์ลำพอง หรือ น้องบอล season chang และได้ ชล วจนานนท์ หรือ ชลลี่ มาแสดงแต่ในเรื่องที่จำกัดด้วยเวลาของหนังทำให้ตอนที่ 2 ตอนนี้ดูบีบอัดและรีบร้อนไปนิดกับเหล่านักแสดงที่เยอและมากมาย จนผิดจากความน่ากลัวตอนแรก ซึ่งตอนยันต์สั่งตายนี้ ถ้าใครเคยอ่านในหนังสือการ์ตูนเล่มนึงซึ่ง ถ้าคนเคยอ่านการ์ตูนเรื่อง 13 เกมส์สยองมาแล้วนั้น รับรองเลยว่าต้องมีเรื่องนี้อยู่แน่นอน และ ผู้กำกับ ปวีณ ก็จับเรื่องนี้มาทำได้ดี แต่ผมว่ายังไม่ดีเท่า บอดี้ ศพ#19 ที่ทำให้หลายคนอึ้งกันเลย เพราะเนื้อหาของตอนที่สองนี้เน้นไปทาง เล่นไสยศาสตร์ กับ ความรุณแรงในหมู่วัยรุ่น ซึ่งถ้าถามถึงความน่ากลัวตอนยันต์สั่งตายนี้ ก็ไม่ได้สร้างความน่ากลัว แต่จะให้ความหลอนและสะพรึงกลัวถึงอำนาจมืดเสียมากกว่า ซึ่งทำออกมาได้น่ากลัวจริงๆ ส่วนเอฟเฟกต์ CG ฉากไฟไหม้นี้สิซึ่งเป็นฉากใหญ่ผมว่ายังทำแล้วดูไม่ค่อยโอเคนะ มันยังดูกระด้างอยู่ทำให้รู้ว่าเราใช้เอฟเฟค กับส่วนนี้เยอะไปหรือป่าว ก็เข้าใจว่า ตัวหนังเองก็ไม่ได้ทุนสร้างที่อลังการมากนัก แต่ดูแล้วก้ยังขัดตาอยู่ดี แต่จะสมจริงพวกฉากต่างๆในหนังเสียมากกว่า โดยเฉพาะตอนนี้จะเน้นหนักสีของการดำเนินเรื่องซึ่งจะใช้เป็นโทนสี ซีเปีย ( sepia ) ทำให้เกิดมิติที่ดูถึงความอบอ้าว ความขลัง และเก่าของสถานที่ ถึงแม้ประเด็นในหนังจะมากเกินกว่าจะทำออกมาได้ลงตัว แต่อย่างน้อยหนังก็ทำความรุนแรง และปัญหาของความรุนแรงในวัยรุ่นได้สมจริง แต่ยังโดดเด่นเท่าตอนแรกไม่ได้ครับ แต่จะบอกถึงเรื่องความสยองให้สะดุ้งตกใจนั้นมีครับแต่ผมว่า ทุกคนดูก็คงเดาออกเลยไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมายถือว่าเป็นตอนที่ ดูได้ไม่เครียดครับ

ตอนที่ 3 คนกลาง ได้ผู้กำกับ บรรจง ปิสัญธนะกูล ที่กำกับหนังอย่าง ชัตเตอร์ และ แฝด มาแล้ว ผมว่าตอนนี้คือตอนที่ผมว่าเป็นตอนที่ทุกคนหลายคนคงชอบกันรวมทั้งผมด้วยแน่ๆ เพราะได้มีการหัวเราะผ่อนคลายกับมุขหน้าตาย อย่าง นาย ฟรอยด์ ณัฏฐพงศ์ ชาติพงศ์ และ ชาวคณะทั้งอีก 3 คนของพวกเขาเหล่านั้น ทำให้แอบยิ้มหัวเราะแบบฝืนๆเฝื่อนๆกับการที่กลัวมาแล้ว 2 ตอนติด มาตอนที่ 3 คนกลางนึกอุ่นใจมีขำขำมุขฮาๆ เออดีนะ แต่ความผ่อนคลายของผมก็ต้องหมดไปในไม่ช้า เพราะในตอนนี้ถือเป็นเซอร์ไพรส์ของผมเลยครับ ตอนนี้มันจะผสมผสานระหว่างความฮาและความน่ากลัว แต่ด้วยชื่อของ ผู้กำกับที่ชื่อว่า บรรจง ที่ทำให้ผมน้ำตาไหลกับชัตเตอร์นั้น ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยสักนิด แถมยังประทับใจอีกต่างหาก ด้วยการแสดงที่เข้ากันและเป็นธรรมชาติอย่างมากๆ ซึ่งทำให้เราเชื่อสนิทใจว่าพวกเขาเหล่านี้สนิทกันจริงๆ เหมือนปฏิกิริยาเคมีที่ลงตัว หรือถ้ามันยากไปก็ เหมือนส้มตำคู่ไก่ย่าง ผสมกับการเล่าเรื่องสไตล์แปลกใหม่ ตัวหนังเองยังแทรกการเสียดสี ถึงวงการหนังไทยเล็กๆ หนังผีของฝรั่งหน่อยๆ ซึ่งเมื่อเสียดสีเสร็จ หนังตอนนี้ก็แสดงให้ดูเลยว่า ผีแบบใหม่เป็นอย่างไร และขอบอกว่าตอนจบ อาจจะทำให้หลายๆคน ตะลึงและอึ้ง ที่ผู้กำกับคนนี้ซัดเราอยู่หมัดจริงๆครับ หลอกกันได้แม้ไม่ใช่ผีก็เถอะ และ ตอนคนกลาง นี้ก็ทำออกมาได้สยองและตลกในเวลาเดียวกัน ซึ่งครั้นจะตลกก็ฮาสุดฤทธิ์ แต่พอคิดจะสยองขึ้นมากลับขนลุกได้ดีเลยครับ โอย..และ ผมเป็นคนชอบ ผจญภัยแบบนี้ด้วยสิ นึกแล้วเสียวว..!!

ตอนที่ 4 เที่ยวบิน 224 ได้ผู้กำกับอย่าง ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ที่กำกับหนังสุดน้ำตานองแก้มที่ผมช็อคสุดใจสมัยวัยรุ่น อย่าง ชัตเตอร์ และ แฝด อีกแล้วครับท่านผู้อ่านท่านผู้ชม ในตอนนี้ได้นักแสดงอยาก พลอย เฌอมาลย์ บุญศักดิ์ มาแสดงซึ่งตอนนี้ มีการคล้องกับตอนที่ 3 คือ คนกลาง จนทำให้ นางเอกของเราต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น และเหตุการณ์เหล่านั้ ก็ทำให้ผมและคนนั่งข้างๆ และคนอีกหลายคนในโรงนั้น กรี๊ด กร๊าด แหกปากกันตามกันเลยทีเดียว ตอนนี้ถือว่าเป็นตอน ไคล์แมกซ์ ของหนังที่จะทำให้ทุกคนจดจำกับบ้านให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะการแสดงของพลอย การใช้ฉากที่อึมครึมและแคบในเครื่องบินโดยสาร กับการที่ผู้กำกับพยายามยัด เสียงการไอ การใส่ลูกเล่นตกใจจนน่าผวา ผมว่าตอนที่ 4 ไม่รู้จะหาคำบรรยายจากไหนว่าไม่บีบครั้นหัวใจ จนหลอนได้อีก ไม่ไหวแล้ว สำหรับตอนนี้ ผมว่าทำได้อย่างน่ากลัวจริงๆ ถ้าผมเป็นสจ๊วตและต้องมาเจอแบบนี้ ผมก็ไม่เป็นดีกว่าเห๊อะ..โอยย สรุป หนัง 4แพร่ง นั้นทั้งเนื้อเรื่องความสอดคล้องของหนังนั้นมีการต่อเนื่องกันได้ ถ้าเราดูกันดีๆ ถึงจะไม่กระโดดเว่อร์ๆแต่ก็ เรียบเรียงเหตุการณ์ได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่อง เอฟเฟกต์ ของนั้นคงไม่ต้องพูดอะไรมากมายทำได้ดีมากคนไทย คนทำหนังอยากให้เอาเยี่ยงอย่างแบบนี้หรือ ให้ดีกว่าไปเลยผมยอมรับว่า เอฟเฟกต์ ของหนังเรื่องนี้อยู่อันดับต้นๆของประเทศไทยแน่นอน ส่วนเรื่องความน่ากลัวสำหรับคอสยองขวัญคงได้ใจกันไปเต็มๆ ผมไม่ชอบหนังผี แต่ผมดูหนังผี สี่แพร่งต้องบอกว่า หนังมีเขานั้นมีการยืดหยุ่นและเล่นกับระดับอารมณ์ของผู้ชมได้ดีอย่างมาก ยกตัวอย่างเรื่องน่ากลัวค่อยๆผ่อนเบาด้วยความ เล่นมุขตลก และตบท้าย ด้วยการหลอนแบบสะพรึงงันแบบทันใจทันด่วนเลย ผมบอกได้เลยว่าดูหนังสี่แพร่ง ต้องมีคนลุกยืนไม่ไหวแน่อาจจะกลัวหรือทำใจในการเดินก่อน ( ผมนึงคนในนั้นหัวใจเต้นตึกตักๆ ) ซึ่งบางคนอาจปากแข็งว่า ไม่เห็นเท่าไหร่เลยเฉยๆอะ ผมมั่นใจเลยครับว่า ความสะพรึงมันยังไม่หาคุณตอนคุณอยู่กับเพื่อนฝูงแต่คุณกลับบ้านอยู่คนเดียวแล้วคุณ จะนึกถึงความสะพรึงนั้นที่ตามติดมา หนังสี่แพร่ง เป็นหนังผีที่หลอนจนกลับบ้านไปแล้ว ยังหลอนได้อีก โดยส่วนตัว ผมเองหลอนไป 2 วันกันเลยที่หัวใจสั่นตุบๆ ถ้าจะถามว่าคุณดูหนังผีเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เผื่อความหลอนและกลัวกับความอิ่มในแนวนี้ ผมคงยกนิ้วให้กับ หนัง สี่แพร่งนี้ว่า สุดยอดหนังผีไทยต้อนรับปิดเทอมโดยแท้จริง ผมให้ 5 ดาวไม่ได้อิงใครเพราะคนดูและเอามือปิดตานั้นไซร้ก็ ข้าพเจ้าเอง น่ากลัวจริง..!! " บทวิจารณ์ภาพยนตร์เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล กรุณาตัดสินจากการชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง " วิจารณ์ภาพยนตร์ โดย Tendama

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง สี่แพร่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook