ดูหนังอย่าง (ไม่) ตัน กับ ตัน อิชิตัน
ถ้าพูดถึงชื่อ 'ตัน' หลายคนคงนึกถึงฉายาห้อยท้าย ที่คนมักเรียกกันติดปากซึ่งในที่นี้ มันก็เป็นชื่อของอาณาจักรธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ในบ้านเราอย่าง 'โออิชิ' ที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่ว่าหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ ชายคนนี้ ก็ไม่ใช่ ตัน โออิชิ อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันอีกต่อไป หากแต่กลายเป็น 'ตัน ภาสกรนที' ที่มาพร้อมกับธุรกิจใหม่ในชื่อเก๋ไก๋ว่า บริษัท 'ไม่ตัน' จำกัด ที่มีจุด มุ่งหมายลึกซึ้งไปกว่าแค่เรื่องเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพราะเป็นการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องราวที่เกี่ยวกับสังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ในนามมูลนิธิ 'ตันปัน' พร้อมกับการเปิดตัว ชาเขียวออร์แกนิกเจ้าแรกของเมืองไทยอย่าง 'อิชิตัน' ขึ้นมา
ตอนนี้คุณตันเริ่มธุรกิจใหม่คือ ชาเขียว อิชิตัน มันเป็นยังไงมายังไงครับ
ผมทำโออิชิมา 11 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นปีที่ 8 แล้ว ช่วงที่เข้าหลักทรัพย์ ผมขายหุ้นไป 30% ผ่านไปอีก 6 ปี ผมก็ขายหุ้นให้กลุ่มทุนไทยเบฟ ฯ กับฮ่องกงรวมกัน 55% แต่เราก็ยังถือหุ้นอยู่ส่วนนึงราว 42% การขายหุ้นก็เป็นการขายทั่วไป ไม่ได้มีสัญญาใด ๆ แต่ผมรับปากคนที่ซื้อหุ้นรายย่อยว่าเราจะช่วยเขาทำงานอีก 3 ปี แต่ผมก็ทำมาอีก 5 ปีกว่า ก็ลาออก ไม่ได้ทำให้ใครขาดทุนแม้แต่คนเดียว แล้วก็มาเปิดบริษัทใหม่ จริง ๆ ผมไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจอะไรแล้วนะ เพราะว่าทำมาตั้งแต่อายุ 17 แล้ว ถึง 52 ก็พอสมควรแล้วนะ อยากจะเที่ยวบ้าง แต่พอดีพนักงานของบริษัทโออิชิเดิม 4,000 กว่าคนเนี่ย มีอยู่ประมาณ 30-40 กว่าคนเป็นหุ้นส่วนเก่าและเป็นพนักงานเก่าแก่ 10-20 กว่าปีแล้ว พวกนี้ยังไงก็ออกมาพร้อมกับผม ก็เลยเป็นภาระที่เราอยากจะทำต่อ เพราะว่าบางคนก็ยังไม่มั่นคง ยังมีภาระที่ต้องดูแลอยู่ จริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะทำเท่าไหร่แล้วล่ะ อยากจะเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็รู้สึกว่า ถ้าวันนึงเรามีตังค์พอ เรามั่นคงแล้ว เราไม่เอาแล้ว เราก็ไปเสพสุขเองโดยไม่ส่งไม้ต่อหรือไม่ทำอะไรเลย ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย เพราะที่ผ่านมาที่เรามีวันนี้ ก็มีแต่คนให้โอกาสช่วยเหลือเราเยอะ พนักงานทุกคนก็ช่วยกันสร้างบริษัทจนมั่นคงเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้ววันนึงเราก็เลิก แต่เขายังไม่มั่นคงเหมือนเรา แล้วสิ่งที่เรามีวันนี้ ที่เราสุขสบายเนี่ย เรามีไฟฟ้าใช้ มีแอร์ มีถนน มันเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำมาให้เราทั้งนั้นเลย เราอาจจะมีหน้าที่ทำต่อให้กับคนรุ่นหลังบ้าง ถ้าเกิดเรายังไหว ก็เลยเป็นที่มาของบริษัท "ไม่ตัน"
เหมือนที่คุณเดินเข้ามาจะเห็นมีป้ายอยู่อันนึงเขียนว่า "ธุรกิจเพื่อภาระกิจ" คือบริษัทนี้ผมกับภรรยาถือหุ้นแค่ 50% ที่เหลือให้พนักงานถือหุ้นหมดเลย เป็นพนักงานเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่เคยทำธุรกิจกับผม ไปจนกระทั่งคนใหม่ที่อาจจะเพิ่งเข้ามามีส่วนร่วมที่จะพัฒนาให้บริษัทดีขึ้นเนี่ย เราก็ให้พวกเขาถือหุ้น 50% ส่วน 50% ของผมที่ผมถือไว้ ถ้าเกิดปีแรกมีกำไร ผมจะแบ่งกำไรครึ่งนึงให้กับมูลนิธิ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออีก 8 ปีข้างหน้า ผมอายุ 60 ผมจะนำกำไรไม่ต่ำกว่า 90% มอบให้กับมูลนิธิตลอดไป ก็อาจจะมีคำถามว่าทำไมต้อง 90% ไม่ 100% คือชีวิตเรามันไม่แน่นอนน่ะ ระหว่างนี้ถ้าผมอายุ 60 แล้วผมยังมั่นคง สุขภาพแข็งแรงอยู่ ให้เท่าไหร่ก็ได้ แต่สมมติพรุ่งนี้ผมเกิดป่วยเป็นมะเร็ง ผมก็อาจจะเป็นภาระกับสังคม อย่างน้อยอีก 10% ก็เอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ก็ยังมีคำถามว่าทำไมต้องตั้งมูลนิธิอีก ทำไมไม่เอาเงินให้กับมูลนิธิที่มีอยู่แล้วไปเลย วิธีคิดมันไม่เหมือนกันครับ การที่ให้มูลนิธิอยู่ถาวรได้ มูลนิธิต้องมีรายได้สม่ำเสมอ ถ้าผมเอาเงินให้เฉย ๆ เท่ากับผมเอาเงินให้มูลนิธิ แค่ 250 ล้านเอง เพราะบริษัทจดทะเบียนไป 500 ล้าน 250 ล้านเนี่ย ถ้าผมให้เป็นเงินต้นไป ใช้แป๊บเดียวก็หมดแล้ว หรือเอาไปฝากธนาคาร ดอกเบี้ยมันทำอะไรไม่ได้ไง แต่เงิน 250 ล้านเนี่ย ถ้าเอาไปช่วยทำงาน 5 ปี แล้วบริษัทเติบโตมั่นคง หรือไม่ผมตายไปแล้ว กำไร 50% ที่ผมถือหุ้นอยู่เนี่ย จะเข้าไปที่มูลนิธิอย่างน้อย 90% มันจะทำให้มูลนิธิอยู่ได้ตลอดไป นี่เป็นวิถีทางของธุรกิจ ตอนนี้ก็มีหลากหลายธุรกิจ ทั้งร้านอาหารและสมุนไพร เพราะคนกลุ่มเดิมที่อยู่กับผมเขาจะมีความรู้ด้านอาหาร ผมก็กลับมาทำธุรกิจสุขภาพและอาหารญี่ปุ่นเป็นหลัก
เข้าเรื่องหนังเลยก็แล้วกันนะครับ ทำงานหนักมาตั้งแต่วัยรุ่นขนาดนี้ ได้มีเวลาดูหนังบ้างไหมครับ
เป็นคนดูหนังนะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดคลั่งไคล้ บางคนดูหนังเกือบทุกอาทิตย์ แต่ผมดูไปเรื่อย ๆ ดูตามกระแส ใครบอกว่าดีผมก็ดู เราชอบเราก็ดู คือผมชอบดูสารคดีมากกว่า แต่บางทีมีลูกก็ต้องดูหนังทั่ว ๆ ไปด้วย อย่างสองอาทิตย์ที่แล้วก็พาลูกไปดู Kung Fu Panda 2 บางทีก็ต้องดูตามแฟน แฟนอยากดูหนังไทยก็ต้องไปดูกับแฟน Harry Potter ก็ดูตามลูก บางทีก็ดูตามกระแสก็มี ดอกส้มสีทอง อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ตอนแรกก็ไม่ได้ดู แต่คนพูดถึงทุกวัน เอ้า ดูก็ดู ดูแล้วมันติดน่ะ (หัวเราะ) แต่จริง ๆ แล้วผมดูหนังแล้วไม่ได้ดูแค่สนุกน่ะ แต่ผมเป็นคนที่ดูมุมมอง ดูวิธีคิด ต้องบอกเลยว่า หนังทุกเรื่องที่ผมดู ผมสามารถนำมาใช้กับชีวิตได้มากมาย อย่าง The Godfather เรื่องเดียว ดูมา 20-30 ปี จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว แต่ผมจำเรื่องที่เอามาใช้กับชีวิตได้มากมาย ที่บางคนอาจมองไม่เห็น แต่ผมเห็น มันมีความแตกต่างในการดู ไม่ใช่ดูแต่สนุกอย่างเดียว
งั้นพูดถึงเรื่องแรกเลยนะครับ The Godfather
หลัก ๆ ที่ผมจำแล้วสามารถเล่าได้เลย คือ The Godfather เป็นนักธุรกิจที่ไม่ค้ายาเสพติด แล้วเขาก็เกือบตายเพราะลูกที่ชื่อ ซันนี่ อันนี้มันสอนให้รู้ว่า อย่าแสดงความคิดเห็นอะไรให้ศัตรูรู้โดยไม่จำเป็น คือตอนนั้นมีคนมาชวน Godfather ค้ายาเสพติด ซึ่ง Godfather เขาไม่ค้ายาเสพติดอยู่แล้ว แต่ซันนี่กลับมาบอกว่า "ส่วนแบ่งไม่ยุติธรรม" นี่คือคำพูดที่ทำให้พ่อเขาโดนยิง เพราะคนฟังเข้าใจว่าถ้าฆ่าพ่อแล้ว ลูกเอาแน่ คือส่วนแบ่งที่ไม่ยุติธรรมมันเจรจาได้ไง แต่ถ้า Godfather ไม่ค้ายาเสพติด ยังไงก็คือไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องจัดการ Godfather ถูกไหม? หนังเรื่องนี้มันบอกให้เรารู้ว่า บางอย่างที่เราคิดไว้ อย่าเพิ่งพูดไป จนกว่าเราจะคิดให้ดีเสียก่อน ไม่จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่างที่เรารู้สึกโดยไม่จำเป็น มีอีกอันนึงที่ผมมักจะเอามาเล่าต่อก็คือ ซันนี่เป็นคนโมโหร้าย ทำอะไรหุนหัน คือจะฆ่าซันนี่ไม่ยาก แค่แกล้งซ้อมน้องสาว ซันนี่ก็โมโห ขับรถออกไปให้เขายิงตายแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ผมเคยบอกอยู่เสมอว่า คนเราเวลาโมโหอย่าใช้อารมณ์เข้าตัดสิน เพราะถ้าเรามีจุดอ่อนแบบนี้ มันง่ายนิดเดียวสำหรับคู่ต่อสู้ที่จะจัดการกับเรา ก็เลยเปรียบเทียบกับไมเคิล น่ะ ดูจ๋อย ๆ เรียบร้อย แต่ไมเคิลไปเจรจากับฝั่งตรงข้ามในที่ของพวกเขา ซึ่งทุกคนมองว่าเขาเป็นคนแหย ไม่ได้เรื่อง บ่มิไก๊ ไม่ได้ครึ่งของซันนี่ แล้วมาถิ่นของเรามันจะไปเหลืออะไร แต่ไมเคิลคุยเสร็จแล้วก็เดินไปที่ห้องน้ำ ไปเอาปืนที่ซ่อนไว้แล้วเดินมายิงตูม ซึ่งไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นไปได้ คุณมาคนเดียวแล้วจะทำแบบนี้ได้ แล้วคุณก็ไม่ใช่ตัวซ่าอะไรเลย เรียบร้อย เรื่องนี้มันสอนว่า อย่ามองข้ามคนที่เงียบที่สุด เรียบร้อยที่สุด คนที่อันตรายที่สุด คือคนที่ดูแล้วไม่อันตรายน่ะ ไอ้คนที่พูดว่า "กูจะฆ่ามึง!" น่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้คนที่ไม่พูดเลยน่ะ บางทีน่ากลัวกว่า
อย่างตัวไมเคิลเอง พอไปถึงจุดสูงสุดเขาก็ต้องโดดเดี่ยว ถ้าเปรียบเทียบกับวงการธุรกิจมันจะเหมือนกับสำนวน "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" ไหมครับ
มันก็ธรรมดา หนังมันก็สะท้อนถึงความเป็นจริงของคนอยู่แล้ว ทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์ บางทีเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก ต้องยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าใครอยากเป็นแล้วจะได้เป็นทุกคน บางคนไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น ถ้าเป็นแล้วก็ต้องเป็นให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง จำได้ว่าสมัยก่อนผมขายหนังสือเรื่องนี้ด้วยไง แล้วผมก็อ่านจนเละเลย อ่านเสร็จแล้วก็ขายด้วย ตอนนั้นมันหนาแล้วก็แพงมาก 80 บาทเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว แล้วไม่ได้ดูผ่าน ๆ ด้วยนะ ผมอ่านแล้วอ่านอีก พับด้วย คนซื้อไปโวยวายใหญ่เลย อยากได้เล่มใหม่ผมก็ไม่มีให้ด้วย ผมทำจนกลายเป็นหนังสือมือสองเลย
เรื่องที่สอง Kang Fu Panda ครับ
ภาคหนึ่งผมดูแล้ว ภาคสองผมพาลูกไปดู แต่ลูกสาวคนเล็กเขาอยากไปโยโย่แลนด์ ก็เลยไม่ได้ดู มันก็เป็นหนังการ์ตูนธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่ผมชอบใน Kung Fu Panda คือเรื่องที่เขาบอกว่า สูตรลับที่สุด ก็คือมันไม่มีสูตรลับ ทุกคนพากันตามหาคัมภีร์มังกร สุดท้ายเปิดมามันไม่มีอะไร ที่สุดมันอยู่ที่ใจเรา อันนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบเปรียบเทียบกับธุรกิจ บางทีคนชอบถามว่าการทำธุรกิจคุณคิดแบบนี้ได้ยังไง เอาความคิดมาจากไหน? แต่จริง ๆ คิดแบบธรรมด๊า ธรรมดา ไม่ได้คิดลึกซึ้ง อย่าไปหาเลยว่าคุณตันมีเคล็ดลับ สูตรลับอะไร เพราะความจริงมันไม่ได้มีอะไร คิดแบบธรรมดานี่ล่ะ โดนใจที่สุด คิดให้มันซับซ้อนเกินไปคุณไปไม่ถึงหรอก เขาตามคุณไม่ทัน เขาไม่เข้าใจ อย่างพระเอก Kung Fu Panda ที่มันชนะเพราะมันไม่คิดอะไร คนแก่งแย่งกันไปเพื่อที่จะหาเคล็ดลับสุดยอดวิชา สุดท้ายมันกลายเป็นกระดาษเปล่า เหมือนตอนผมดูหนังจีนบู๊ลิ้มสมัยก่อน มีจอมยุทธคนหนึ่งที่หาคู่ต่อสู้ไม่ได้เลย ใครสู้กับเขาก็ตายหมด จนไปเจอชาวบ้านคนนึงที่ไม่มีกระบี่ ผมจำได้แม่นเลยจอมยุทธชักกระบี่ออกมาแล้วก็ร่ายรำควับ ๆ ๆ เป็นมังกร ไอ้คู่ต่อสู้นี่มีไม้ไผ่อันเดียว รอจนรำคาญ เลยเดินไปนับ 1-2-3 เสียบเข้าไป จอมยุทธตาย! (หัวเราะ) ผมชอบเปรียบเทียบให้ฟังว่า เห็นไหมว่าบางทีคนเรามันตายน้ำตื้น คุณคิดไอเดียสารพัดได้หมดเลย ล้านแปด เคยโดนไหม นับ 1-2-3 แล้วเสียบเข้าไปทีเดียว แค่เนี้ย! การทำธุรกิจก็เหมือนกัน ซับซ้อนจนเกินไปมันก็ตายน้ำตื้น ตายให้กับเรื่องง่าย ๆ โดนใจ การต่อสู้มันต้องแทงโดนที่หัวใจ คุณจะรำมังกรรำอะไรมันไม่เกี่ยว เราดูธรรมดามันก็สนุกใช่ไหม แต่สำหรับผม มันเอามาใช้กับธุรกิจได้เยอะแยะ หลายครั้งที่โอกาสทางธุรกิจของผมมันมาจากเรื่องง่าย ๆ นิดเดียวน่ะ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เราทำโปรโมชั่นนี่มันไม่ใช่เรื่องยากเลย คุณก็คิดได้ เพียงแต่คุณรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป คุณไม่เอา คุณไปเอาที่ยากกว่านี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่า ยิ่งง่าย ยิ่งโดน ผมชอบคำว่า "โดนใจ"
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรจะโดนใจ
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมเปรียบเทียบให้ฟังแล้วกัน มีสินค้าตัวนึงให้รางวัลกับผู้โชคดีได้ตั๋วไปอังกฤษดูบอล ดีใจไหม? ดีใจไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่บ้านเริ่มหายนะแล้ว ทะเลาะกันแล้ว เพราะให้มาใบเดียว เริ่มเถียงกันแล้ว สุดท้ายก็อาจจะจบด้วยการไปซื้อตั๋วเพิ่มมาอีกใบ บางคนต้องไปกู้เงินนะ ไปเที่ยวเสร็จดูบอลกลับมาเป็นหนี้สองแสน แล้วมันแฮปปี้ตรงไหนครับ? มันแฮปปี้แป๊บเดียว แต่ถ้าผมให้คุณไปเลย 4 ใบ ตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก พร้อมวีซ่า กับพ็อกเก็ตมันนี่ให้คุณคนละแสน กลับมาคุณแฮปปี้มากเลย ใช่ไหม? ถ้าคุณคิดถึงแต่งบประมาณ คิดแต่ของคุณฝั่งเดียว คุณเคยคิดถึงคนที่ได้รางวัลบ้างไหม ว่าถ้าได้ตั๋วมาใบเดียว แล้วที่บ้านเขาล่ะ เหมือนกับรถน่ะ คุณโชคดีได้รถเก๋งมาคันนึง ดีใจปุ๊บ เดี๋ยวมีภาษี 5% อ้าว! 5% ของเบ๊นซ์มัน 5% ของสามล้าน โอ้โห! ค่าประกันอีกแสนห้า ค่าน้ำมันอีก เยอะน่ะ! กลับกัน คุณอยากได้อะไรล่ะ ถ้าคุณเป็นผู้โชคดีได้รถ แล้วมีคนเอารถมาจอดหน้าบ้าน ซื้อประกันให้ด้วย เติมน้ำมันให้แปดปี ซ่อมฟรีอีกแปดปี สนใจไหม? (ปรบมือฉาด!) ง่ายมาก! (หัวเราะกันลั่น) คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลย ในเมื่อรถมันไม่สร้างภาระให้คุณในอนาคต สำหรับผม การให้ถ้าอยากให้ถึงใจ ต้องใจถึงน่ะ ให้แบบสุด ๆ ตอนที่ผมอยู่โออิชิที่ทำโปรโมชั่นแล้วประสบความสำเร็จ คือผมให้ไปญี่ปุ่นทั้งบ้านสี่คน นั่งแท็กซี่มาก็ออกให้ ให้พ็อกเก็ตมันนี่อีกสามแสน ชีวิตคนไม่เคยมีเงินหมื่น ไปเที่ยวกลับมาแล้วมีอีกสามแสน เป็นคุณคุณดีใจไหม? โดนไหม? โดนอยู่แล้ว! ยากไหม? ไม่ยาก! อันนี้เป็นเรื่องจริง เป็นลูกค้าของเราที่ได้รางวัล แล้วมันไม่ใช่โดนแค่คนเดียวนะ โดนกันทั้งหมู่บ้าน นายอำเภอยังต้องมาแสดงความยินดี เพราะว่าเรื่องนี้มันไปถึงนายอำเภอเลย
เรื่องที่สามครับ Shall We Dance?
คือผมชอบมุมมองของครอบครัว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมทุกวันนี้ สังคมเราก็มีคนแตกแยก คู่รักหย่าร้างเต็มไปหมด มันก็เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่มีครอบครัวแล้ว มีเมียแล้ว นั่งรถไฟผ่านแล้วบังเอิญเห็นผู้หญิงเต้นอยู่ก็เลยไปหา คือมันเป็นธรรมชาติ และเป็นเรื่องจริงของคนเราที่อยู่ด้วยกันตลอดแล้วบางทีเราอาจจะรู้สึกเคยชิน อยากเจออะไรใหม่ ๆ บ้าง มันอาจจะไม่ใช่ความรัก หนังเรื่องนี้ก็สอนว่าในที่สุด ทั้งผู้ชายผู้หญิงมันก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ เพียงแต่ว่า ก่อนที่มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้ สุดท้ายพระเอกก็คืนกลับมาหาครอบครัวได้ มันโชคดีไง ถ้าสมมติครอบครัวไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน จากเรื่องเล็กอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ มันก็พังได้ ก็ดีนะ ผมว่าบางทีให้ครอบครัวไปดูแล้วก็อาจจะได้มุมมองที่ดี ในแง่ที่ว่า อย่าคิดว่าคนที่เรารักและคนที่รักเราที่อยู่ด้วยกันทุกวัน แล้วเขาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีโอกาสเจอสิ่งที่ดีกว่า บางทีมันก็มี เพียงแต่ว่า ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านั้น เราจะมีสติพอที่จะแก้ปัญหาร่วมกันได้ไหม เราจะผ่านมันร่วมกันไปได้ยังไง อย่าเอาแค่ความชอบ ความอยาก สะใจ หรือใช้อารมณ์ทะเลาะกันมันก็ยิ่งไปกันใหญ่
พูดถึงเรื่องครอบครัว คุณตันเป็นคนทำงานหนักขนาดนี้ แบ่งเวลาให้ครอบครัวยังไงครับ
มีงานก็ทำ มีความจำเป็นก็ไป มันเป็นแค่ข้ออ้างน่ะ คนเราถ้าบอกว่าไม่มีเวลา ถ้าอยากจะไปซะอย่าง มันก็ไปได้ สำหรับผม มีเวลาให้ครอบครัวเยอะไหม ก็ไม่ได้เยอะ อย่างลูกผมไปเรียนเต้นบัลเล่ต์ เขาบอกผมว่าเขาอยากให้ผมไป แล้วเวลาเราไปปุ๊บเราจะเห็นว่า เขาตั้งใจเรียนมากเวลาเห็นป่ะป๊ายืนดูอยู่ ผมเลยไปทุกอาทิตย์เลย พยายามไป เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงน่ะ ถ้าเราจัดเวลาดี ๆ ก็มี ถ้าไม่จัดก็ไม่มีน่ะ
เรื่องที่สี่กับห้า ควบกันเลยนะครับ Harry Potter กับ The Lord of the Rings เด็กมันชอบดูไง เรื่องการต่อสู้ ลูกชายผมอายุ 8 ขวบน่ะ ผมย้อนไปถึงตอนที่ผมเด็ก ๆ หนักกว่านี้อีก สมัยก่อนดูหนัง เดชไอ้ด้วน อยู่ที่สวนยางแล้วเอามีดฟันใบไม้ ผมเป็นแบบนี้น่ะ ลูกเราก็เป็นแบบนี้ คือจินตนาการน่ะ เด็กมันต้องการสิ่งเหล่านี้ ซึ่งบางทีพ่อแม่ไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่ไปดูหนังเราจะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้น่ะ แต่หนังเรื่องนี้ดีนะ จินตนาการแบบนี้คิดได้ยังไง แต่ถ้าเราย้อนมาคิด ตอนเราดู หวังหยู่ ก็อาการหนักเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ Harry Potter กับ The Lord of the Rings มันซ่อนการสอน ว่าเด็กดีเป็นยังไง เด็กไม่ดีเป็นยังไง คือดูตามลูก แต่ว่าเอาเนื้อหามาสอนเขาได้ บางทีไปสอนเด็กเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหนัง คุยไม่รู้เรื่องนะ คุณไปสอนเรื่องของสังคม เรื่องการเมือง ทำอย่างนี้ไม่ดี ไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าคุณเอาหนังมาดู มันมีความสนุกเฮฮา แล้วก็สอนให้เขารู้จักจินตนาการด้วย ถ้าถามผม หนังพวกนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากดู แต่บางทีเราก็ดูตามลูกไง อย่างเวลาเดินทางสมมติผมขับรถไปโรงแรมวิลล่า มาร็อก เวลาสามชั่วโมงครึ่งในรถจะให้ผมทำอะไร ก็หนังไง ดูหนังแล้วก็กลับไปเล่า สังเกตว่าในหนังมันจะสื่อกับลูกง่าย อย่าง Kung Fu Panda ลูกชายผมดูไปเป็นสิบรอบน่ะ ดูแล้วเราก็จะมาอธิบาย Harry Potter กับ Lord of the Rings เราดูตอนไป วิลล่า มาร็อก เกือบทุกครั้งน่ะ เพราะมันยาวมาก ไม่รู้จะดูอะไรก็ดูเรื่องนี้ เรื่องที่หก สารคดี Home ผมชอบดูสารคดี ตอนอยู่คนเดียวผมดูหลายเรื่อง มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือจริง ๆ แล้ว ก่อนอายุ 40 ผมไม่เคยปลูกต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว อันนี้สารภาพเลยนะ หลังจากนั้นผมก็เริ่มปลูกต้นไม้ ซื้อต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ แสนสองแสนมาปลูก ซื้อมาเยอะ หลายล้านเลย หลังจากดู Home แล้ว โอ้โห! ผมเปลี่ยนทัศนคติไปเลย คือพยายามไม่ซื้อ แต่ผมปลูกป่าแทน ตอนนี้ปลูกป่าที่อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี คือหนังเรื่องนี้ก็สอนว่า 20 ปีที่ผ่านมาเนี่ย มนุษย์ใช้ทรัพยากรที่โลกสะสมมากว่า 3,000 ปีไปมากกว่าครึ่งแล้ว หนักกว่านั้นก็คือ เขาบอกว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะใช้มากกว่า 30 ปีก่อนอีก 30 ปีก่อนกรุงเทพฯ มีตึกดุสิตธานีตึกเดียวที่สูงที่สุด ผมจำได้ ถ้าไปจีนแดง ดูไบ เนี่ย ไม่มีตึกสูงเลย ตอนนี้เมืองจีนเขาบอกว่ามีสามหมื่นตึก ทุก ๆ วัน จะมีตึกหนึ่งโผล่ขึ้นมา ดูไบ ตอนนี้เต็มไปด้วยตึก เราตัดต้นไม้ ทำบ้าน ทำโต๊ะเก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ เราเจาะน้ำมัน เจาะแร่ เจาะทองคำ คือเราเจาะทุกวันน่ะ เราใช้มากจนเกินไป คือเราไม่ใช้ไม่ได้หรอก แต่เราไม่พยายามที่จะใช้ให้น้อยลง เรากลับใช้มากจนพูดได้ว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ต่อไปอีกไม่นานโลกนี้จะไม่มีอะไรเหลือให้เราใช้แล้ว มันก็เป็นส่วนที่ทำให้เกิดความคิดว่า เราจะอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติได้อย่างไร ก็เลยเป็นที่มาที่ผมทำมูลนิธิ ส่วนแรกก็คือช่วยเหลือสังคม ส่วนที่สองก็คือการใช้หนี้สิ่งแวดล้อมน่ะ ผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมใช้ไปเยอะ ก็เลยคิดว่าเราควรจะทำคืนให้มั่ง แต่อย่าไปคิดว่าผมทำแล้วมันจะดีขึ้นนะ เหมือนผมทำโรงเรียนแล้วการศึกษาของไทยจะดีขึ้น มันคงไม่ได้ดีขึ้นมาหรอก แต่มันดีกว่าไม่ได้ทำอะไรน่ะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำลาย แล้วพยายามใช้ให้น้อย แล้วถ้ามีโอกาส ก็ปลูกเพิ่ม ช่วยกันสร้างใหม่ แต่ถ้าเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ปิดไฟซักหลอดนึงก็ยังดีนะ ผมว่าถ้าคนทั้งโลกมีทัศนคติแบบนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนสามพันล้านปีก่อน แต่อย่างน้อยมันก็ชะลอเหลือให้ลูกหลานได้ใช้บ้าง ทุกอย่างเป็นเพราะคุณตันได้ดูหนังเรื่องนี้? โอ้โห! ผมดูไม่ต่ำกว่าห้าครั้งน่ะ ผมมีหนังเรื่องนี้สามแผ่นน่ะ ที่บ้านแผ่นหนึ่ง ในรถคันละแผ่น เวลาผมเดินทางไปไหน ถ้าลูกไม่ได้ดูการ์ตูนผมก็จะดู ดูจนอินน่ะ วันนี้เพาะต้นไม้เอง แล้วที่ดินของผมทุกแปลง ไม่ว่าใช้หรือไม่ใช้ ผมจะปลูกต้นไม้จนเต็มไปหมดเลย การปลูกต้นไม้มันใช้เวลาไง ที่ลพบุรีผมปลูกเป็นพันต้นเลยน่ะ คุณตันคิดยังไงกับข่าวที่ประเทศเรามี นโยบายที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ครับ? (หัวเราะ) เยอรมันประกาศว่าอีก 20 ปีข้างหน้าเขาจะเลิกใช้ 100% เรากำลังคิดจะใช้ แต่ผมว่าคงไม่แล้วนะ ถ้าทบทวนให้ดี ๆ น่ะ เพียงแต่ว่าเราจะช่วยกันลดการใช้พลังงานได้ยังไง แล้วหันมาใช้พลังงานจากธรรมชาติให้มากขึ้น ถ้าเราทุกคนหันมาใช้เยอะ ๆ มันก็จะถูกลง เช่นโซล่าเซลล์สมัยก่อนแพงมาก แต่ตอนนี้ราคามันเริ่มจะเป็นไปได้แล้วนะ โรงงานใหม่ของผมตอนนี้ใช้หลอดประหยัดไฟฟ้าหมดเลย ถ้าเป็นสมัยก่อนคุณต้องรวย หรือเป็นธุรกิจที่กำไรเยอะมากจริง ๆ คุณถึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้ แต่ตอนนี้มันต่างกันนิดเดียว ถ้าคุณเอาใจใส่คุณก็ได้ใช้แล้ว ไฟที่ปิดเองเมื่อไม่มีคนอยู่ แอร์ที่ตัดเองเมื่อไม่มีความเคลื่อนไหว มันเริ่มมาแล้วน่ะ ถึงแม้จะไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังดี เรื่องที่เจ็ดครับ Food Inc. มันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ไง พอดูเสร็จแล้วเราถึงรู้ว่า อ๋อ! เขาเลี้ยงวัวแบบนี้นะ ปลูกพืชแบบนี้นะ ก็ต้องยอมรับนะว่า มนุษย์มันบริโภคเยอะมากเลย แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่มันก็กลืนธุรกิจเล็ก ๆ ไปหมด โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วน่ะ สองมือมนุษย์สู้เครื่องจักรไม่ได้แล้ว เทคโนโลยีก็เข้ามา หนังเรื่องนี้ก็เป็นตัวที่ทำให้เราเห็นเลยว่า ธรรมชาติของการเลี้ยงสัตว์มันถูกเปลี่ยนแปลงไปหมด จากไก่ที่ต้องโตใน 60 วัน มันสามารถเลี้ยงภายในแค่ 45 วัน แล้วก็กินได้เลย แถมตัวใหญ่ อกใหญ่ด้วย อยากให้ใหญ่ตรงส่วนไหนก็ใช้สารเคมีไปเร่งตรงส่วนนั้น ผมว่าน่ากลัว ถ้าเราไปดูสถิติของคนเป็นมะเร็งมันจะเป็นตัวฟ้องเลย ผัก ผลไม้ที่เรากินเนี่ย มันสวยงาม เพราะล้วนแล้วแต่มีสารเคมี มีสารอะไรไปเร่งให้สุกพร้อมกัน อย่างสับปะรดเนี่ย สุกพร้อมกันวันเดียวทุกลูกมันเป็นไปได้ยังไง ใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา เราไม่สนใจไม่ได้ โลกมันก็ควรจะมีหนังพวกนี้ทำออกมาให้เราเห็นน่ะ อย่างเห็นเขาเลี้ยงไก่ มันน่าสงสารน่ะ ปิดไฟให้ไก่ไม่รู้เดือนรู้ตะวัน กินอย่างเดียว ซึ่งมันผิดธรรมชาติ มันเป็นส่วนนึงที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้น่ะ ดูพวกนี้ก็ดี ดูแล้วมันอาจจะทำให้วิธีทำธุรกิจ มุมมองในการทำธุรกิจเปลี่ยนไปด้วย บางทีเราก็กลับมาคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันนะ ถ้าเราบริโภคมากเกินไป มันก็ทำให้เขาต้องผลิตเร็วขึ้น แต่จะให้เราไม่บริโภคเลยก็เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง เพียงแต่ว่าถ้าเรามีมุมมองแบบนี้ มันก็จะให้เวลาที่เราจะบริโภค หรือทำขายให้ใครมันก็จะมีวิธีมองอีกมุมนึง แล้วที่เป็นแบบนี้จะไปโทษใครไม่ได้นะ ก็ตัวเรานั่นแหละ ที่ทำให้เป็นแบบนี้ คุณชอบกินแบบนี้ เขาก็สรรหามาให้คุณ การทำน้ำชาเขียวออร์แกนิกของคุณตันได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากการดูสารคดีเรื่องนี้หรือเปล่าครับ มันเป็นพื้นฐานความคิด มันทำให้เราฉุกคิด ถ้าไม่มีตรงนี้ผมคงไม่คิดถึงออร์แกนิกหรอก เพราะว่าชีวิตคนเราจะเป็นยังไงมันอยู่ที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างเรา บางทีหนังมันก็ส่งอิทธิพลถึงชีวิตเรา ทำไมเขาถึงไม่อยากให้เราดูละครตบตี ๆ เพราะมันอาจจะซึมซับเข้าไปในความคิดของเรา ดูแล้วเราอาจจะเข้าใจผิด เราอาจจะไปเลียนแบบ Food, Inc. มันก็ทำให้ผมมองว่า ถ้าวันนี้เราอยากทำธุรกิจในอนาคตให้มั่นคง จงมองอีกมุมนึงด้วย อย่ามองแค่ว่าผลทางธุรกิจของคุณจะเป็นอย่างไร แต่มองว่าคุณจะทำอย่างไรให้สุขภาพของคุณและลูกค้าดีขึ้น มันเป็นความอยู่รอดทางธุรกิจของคุณในอนาคตนะ ถ้าคุณไม่มองจุดนี้ อนาคตคุณก็อยู่ยาก เพราะส่วนนึงมันคือกระแส แต่อีกส่วนหนึ่งมันคือความอยู่รอดของเราร่วมกัน เรื่องที่แปด สามก๊ก ครับ ถ้าใครอยากทำธุรกิจ ดูสามก๊กหน่อยก็ดี ไม่ต้องเอาไปใช้ อย่างน้อยก็ให้มองเห็นมุมนึงที่มันมีเล่ห์เหลี่ยมทางกลยุทธอยู่เต็มไปหมด คือเอามาใช้ในทางที่ดีมันก็ดี เอามาใช้ในทางที่ร้ายมันก็ร้าย สามก๊กมันสอนเราได้หลายอย่าง หนังเรื่องนี้มันมีการต่อสู้มากมายน่ะ มีเล่ห์เหลี่ยมมุมมองเต็มไปหมดเลย การทำธุรกิจมันก็เหมือนสามก๊กส่วนนึง ถ้าถามผมว่าผมเอามาใช้อะไรบ้าง อย่างน้อยผมก็จำเหตุการณ์สองอันได้ อันนึงคือ สมัยก่อนผมเคยทำร้านถ่ายรูปแต่งงาน มีครั้งนึงผมออกงานเว็ดดิ้งแฟร์ ตอนนั้นส่วนของผมมีอยู่ 20 ร้าน แต่จับฉลากได้ที่ไม่ดีสักที่เลยน่ะ ผมก็เลยเอาตอนนึงของสามก๊กที่จัดงานเลี้ยงก่อนออกไปรบมาใช้บ้างน่ะ คือยังไม่ทันได้ออกบูธเลย แต่จัดงานเลี้ยงก่อนเลย พนักงานก็งง ๆ เลี้ยงแบบว่า ไปออกบูธงานนี้เราชนะแน่ ๆ เราเลี้ยงล่วงหน้าเลย ยังไม่ทันได้สู้เลย สุดท้ายก็จบลงตรงที่ว่า ถึงแม้ที่จะไม่ดี แต่เราก็ประสบความสำเร็จมากกว่าคู่แข่ง อีกอันนึงที่ผมใช้มาตลอด ผมก็จำตอนไม่ได้ว่าตอนไหน ความจำไม่ดีเท่าไหร่ คือเวลาเจออุปสรรค ปัญหา ถ้าสู้ไม่ได้ต้องถอยน่ะ ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจะรู้ว่าตอนไหน มันจะมีคนบางจำพวกที่สู้ตายน่ะ สู้ จนตัวเอง ครอบครัว ญาติพี่น้องตายหมดทั้งบ้าน มันก็ไม่ไหวน่ะ เหมือนที่ผมทำธุรกิจในสมัยอดีตเนี่ย ผมมีร้านกิฟต์ช็อปที่มียอดขายหมื่นนึงต่อวันนะ ยี่สิบปีก่อนนี่เยอะมากเลยนะ แต่ตอนนั้นผมมองเห็นว่าธุรกิจนี้มันไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่วันนี้ไม่ไหวนะ แต่อนาคตมันไม่ไหว ผมเลิกก่อน ทำไมต้องเลิกก่อน คือเลิกตอนนั้นปุ๊บ แปลว่าของที่เรามีอยู่จะขายได้หมดเลย อุปกรณ์เอยอะไรเอย แล้วเราก็มีเงินที่จะไปเริ่มธุรกิจอย่างอื่นได้ แต่ถ้าวันนั้นเราสู้ตาย คือสู้จนธุรกิจเจ๊ง เราไม่มีกระทั่งเงินจะจ่ายชดเชยให้กับพนักงานด้วยซ้ำไป สู้ไม่ไหว ก็ถอยก่อน ในเมื่อทหารเรายังไม่ตาย เราก็สู้ใหม่ได้ใช่ไหม ธุรกิจเราไม่ไหวเราก็เก็บเงินไว้ เก็บทุนไว้ก่อน ไม่ใช่สู้จนทุนหมดแล้วล้มละลายถูกฟ้อง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว นี่แหละ ที่ผมได้มาจากสามก๊ก สู้ไม่ไหว ถอย! อย่าสู้ อันนี้ก็เป็นส่วนนึงที่ผมเอาข้อคิดจากสามก๊กมาใช้กับธุรกิจ ผมจำตอนไม่ได้แล้วล่ะ แต่ผมจำที่เขาบอกว่า ตราบใดที่เรายังมีทหาร เราก็สู้ใหม่ได้ ก็คือตราบใดที่เรามีทุนอยู่ เราก็เริ่มต้นใหม่ได้ อย่าสู้จนเราเจ๊ง วันนี้ผมยังขายดีอยู่ ผมเลิกวันนี้ ผมยังมีเครดิตอยู่ สินค้าที่ผมมีอยู่ผมขายได้หมด ผมก็จะเหลือเงิน จ่ายชดเชยให้กับพนักงานบางคนที่ไม่อยากทำ แล้วผมเปิดเป็นร้านใหม่ ผมก็ยังมีเงินจ้างคนอื่นอีก ไม่ใช่ทหารตายหมดแล้ว เหลือแต่ตัวกลับมาแล้วจะไปสู้อะไรกับเขาได้! เรื่องที่เก้าครับ ดอกส้มสีทอง เอาหนังไทยบ้าง เรื่องนึงก็หนังแฟมิลี่ที่ดังมาก ๆ กวน มึน โฮ ใช่ไหม อีกเรื่องก็ ดอกทองสีส้ม (หัวเราะ) ผมชอบนะ คือดูอีกมุมนึงน่ะ อย่างวันสุดท้ายผมก็ติดตาม แล้วตอนจบนี่จบสวยมาก คือผมมองว่าจริง ๆ แล้วตอนสุดท้ายที่ท่าน ว. วชิรเมธี ออกมานี่มันเป็นวิกฤตินะ แต่เขาพลิกมาเป็นโอกาสในตอนจบ ผมว่าในบทคงไม่มีท่าน ว. หรอกครับ แต่กระแสสังคมมันมาแรงมาก ก็เลยมีท่าน ว. มาพูด จริง ๆ แล้วก็ดี เพราะถ้าเราดูตอนนั้นมันดูเกินไป ผู้หญิงคนนี้มันสุด ๆ น่ะนะ แต่จุดจบเรยามันก็ไม่ได้อะไร แม้กระทั่งคนที่ตัวเองรักก็ไม่เหลือเลย หนังเรื่องนี้ทั้งหมดมันจบตรงท่าน ว. พูดน่ะ แล้วท่านก็พูดดีมาก ว่าเรยาเป็นแบบนี้ส่วนนึงก็คงต้องโทษแม่ เพราะแม่เอาใจเขามากไป คือที่ลูกเป็นอย่างนี้ส่วนนึงก็มาจากเรานั่นแหละ อย่าไปโทษคนอื่น ก็แล้วแต่มุมมอง จบสวยมาก ไม่ดูไม่ได้เรื่องนี้ เพราะที่บ้านนี่ตรงไหนก็เปิดเรยา ภรรยากลับถึงบ้านน้ำก็ไม่อาบ ต้องดูให้จบก่อน (หัวเราะ) ผมก็เลยต้องดูไปด้วย ก็สนุกดี มันก็ได้ข้อคิดด้วย เรื่องสุดท้าย กวน มึน โฮ ครับ กวน มึน โฮ นี่ผมรู้สึกว่าผมได้ข้อคิดนิด ๆ ก็คือ บางทีคนเราจะเห็นคุณค่าตอนที่เสียไปแล้ว คือคนเราก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ น่ะ แต่ก็แล้วแต่คนดูน่ะ บางคนดูแล้วก็ขำ เศร้า แล้วก็ร้องไห้ ไม่ได้ข้อคิดอะไร แต่ผมดูแล้วอย่างน้อยผมก็เห็นว่า มันก็เหมือนชีวิตเราน่ะ บางทีเราก็จะไม่ค่อยเห็นคุณค่า พอเราสูญเสียแล้วเราถึงจะเห็น ว่าเมียที่อยู่กับเราน่ะ ดีที่สุดแล้ว ลูกเรา พ่อแม่เราน่ะ ดีที่สุดแล้ว พนักงานเรา บริษัทเราดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่แบบว่า โอ้ย! บริษัทเขาดี บ้านเขาดี เมียเขาดี ผัวเขาดีกว่าเรา อย่าพูดแบบนี้ ลองคุณเลิกกับเมียดูสิครับ พอคุณไปมีเมียใหม่คุณจะรู้ว่าเมียของคุณน่ะ ดีกว่าคนนี้ตั้งเยอะ คือเราจะรู้ก็ตอนที่เราสูญเสียแล้ว ว่าเราหาดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น รักษามันเอาไว้ให้ดี ๆ คำถามสุดท้าย หนังให้อะไรกับคุณตันบ้าง ข้อคิด นอกจากความสนุกก็ได้ข้อคิด แล้วก็ทำให้เราผ่อนคลาย ใช้เวลาให้มีค่า เพราะคนเราไม่ได้มีชีวิตเอาไว้สำหรับทำงานอย่างเดียว ไม่ได้มีเอาไว้สำหรับเที่ยวอย่างเดียว หรือกินข้าวอย่างเดียว ทุกอย่างต้องมีรวมกัน ชีวิตคนเรามันเหมือนเค้กที่ไม่ได้มีแต่แป้ง มีแต่ครีม มันต้องมีผลไม้ มีสตรอเบอร์รี่ด้วย มันถึงจะนับเป็นเค้ก ชีวิตคนเรามันต้องมีครบทุกอย่าง หนังก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งจะมีมากมีน้อย จะมีสตรอเบอร์รี่สี่ลูก สามลูก ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีเลย เค้กชิ้นนี้มีแต่ครีมอย่างเดียว ถึงจะอร่อยแค่ไหนคุณก็เบื่อ ชีวิตมันต้องมีหลากหลาย หนังก็อาจจะเป็นผลไม้บนเค้กซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดู เปลี่ยนไปตามเวลา หวานมั่ง เปรี้ยวมั่ง ขมมั่ง หัวเราะมั่ง เสียใจมั่ง ร้องไห้มั่ง มันก็ทำให้เราครบ ทำให้เราอร่อยกับชีวิตเราครบทุกมุม ผมว่ามันเป็นส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตซึ่งมนุษย์ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องดูหนัง เหมือนเค้กที่จะมีแต่เนื้อเค้กอย่างเดียวไม่ได้ The Godfather Trilogy (1972, 1974, 1990) กำกับ: ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า นำแสดง: มาร์ลอน แบรนโด, อัล ปาชิโน่, โรเบิร์ต เดอ นีโร มหากาพย์ไตรภาคแห่งหนังเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งโรจน์ไปจนถึงร่วงโรยของครอบครัวมาเฟียตระ