จอนนี่ แอนโฟเน เผย ติดมอร์ฟีนหนัก ลงแดงนาน 8 เดือน
จอนนี่ แอนโฟเน กับอาการติดมอร์ฟีน จากการรักษาแผลไฟไหม้ และนางฟ้า เทพประทาน สิ่งใดแก่เขา...
ละคร "เมียแต่ง" กำลังสนุก ไม่ได้สนุกเพราะแย่งผัวแย่งเมียกันอย่างไร้สาระ แต่แยกให้เห็นคุณค่าของผู้หญิง "เมียแต่ง" ถูกปรับให้ทันสมัย เมื่อหญิงยุคนี้ทำงานเก่งนอกบ้าน แต่ไม่ทิ้งงานบ้านงานเรือน เคียงข้างสามีเสมอ ดูแลและใส่ใจ ช่วยงานที่ตนพึงกระทำได้ ผู้ชายจะไปไหนรอด นอกเสียจากพวกไม่รักดีจริงๆ
เห็นภาพ อรุณประไพ ใน "เมียแต่ง" ก็นึกถึงภาพของ "นก จริยา แอนโฟเน" ผู้จัดละครเรื่องนี้ ดังกับว่าสอดเรื่องราวบางส่วนของตนใส่ลงไป แต่ จอนนี่ แอนโฟเน ก็ไม่ถึงกับเป็น คงไคย และ ณ ปัจจุบัน ถอดเขี้ยวเล็บนิ่งสนิท "ชีวิตนี้ผมหาใครไม่ได้อย่างเมียผมอีกแล้ว" นี่คือคำพูดของ จอนนี่ แอนโฟเน ที่เราได้คุยกัน หลังช่วงเบรกถ่ายละคร "ตะวันเดือด"
แต่การคุยคราวนี้หลังจากไม่ได้เจอกันมาร่วม 10 ปี อดไม่ได้ที่จะคุยถึงลูกๆ และมุมน่ารักๆ ที่จอนนี่ นำภรรยามาขายให้ฟัง ระหว่างความสัมพันธ์แม่ลูก ได้ฟังก็ทำให้ยิ้มได้ตลอดเวลา ความร้อนของอากาศในกองถ่าย "ตะวันเดือด" ที่ไร่ใบคาน มิได้ทำให้การสนทนาเรื่องครอบครัวเป็นอุปสรรค แต่กลับมีความสุขและชื่นไปกับครอบครัว แอนโฟเน่
89 ปีที่หายไปจากการแสดง
"ตอนนั้นถ่ายละครเรื่อง 'เงินปากผี' แล้วไฟไหม้ รักษาตัวอยู่ 2 เดือนออกจากโรงพยาบาล (จอนถลกแขนเสื้อให้ดูเป็นแผลหนาเป็นปื้นใหญ่และยาวมากทีเดียว นี่คืออุบัติเหตุจากการทำงานในวงการ) กลายเป็นคนติดมอร์ฟีน คือใช้มอร์ฟีนช่วยบรรเทาความเจ็บ คือหมอก็ไม่คิดว่าจะติดนะ เพราะก็ให้ในปริมาณที่ควบคุม คือพอออกจากโรงพยาบาลวันแรกไปนอนที่บ้านลงแดงเลย สั่นปวดเข้ากระดูก แซะห้อง มุด ไม่ใช่พังห้องนะ จนไม่ไหวแล้ว หมดแรง สั่นมาก นกเรียกรถพยาบาลมากลางดึก พอกลับเข้าโรงพยาบาลหมอเห็นอาการโอ้โฮ ลงแดง ผมกลายเป็นคนติดมอร์ฟีนซะเลย คือใช้มอร์ฟีนรักษาแผลไฟไหม้ สุดท้ายติดมอร์ฟีน ใช้เวลาเลิกมอร์ฟีนอีก 8 เดือน หมอก็ให้ยาซึ่งเป็นชนิดหนึ่งของมอร์ฟีนให้วันละ 3 หยดพอสัปดาห์ต่อไปเหลือ 2 หยดครึ่งไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ เหลือจี๊ดเดียว จนสุดท้ายให้ผสมกับน้ำแบบเจือจาง คือยังต้องให้อยู่ ต้องได้วันละนิดไม่งั้นเดี๋ยวลงแดง จนเลิกได้ 8 เดือนเลยนะที่อยู่กับน้ำหยดเดียวเนี่ย"
เคยหักดิบไหม ตัดสินใจไม่ใช้มันอย่างเด็ดขาด
"เคยหักดิบอยู่ 2 ครั้ง เห็นว่ารักษามาไกลแล้วไง คือ 5 เดือน เหลือแค่หยดเดียวแล้ว คิดหักดิบ ตอนนั้นไปคอนเสิร์ตสัญจรที่เชียงใหม่ ห้าวเลย เอาวะไม่เอาไป เพื่อนยังบอกเลย (วิบูลย์ ลีรัตนขจร) 'แน่ใจเลย เอาติดตัวไปหน่อยมั้ย ไม่กินก็ไม่เป็นไร' ผมบอก 'ไม่เอาๆ มันต้องไม่มีเลย' ถ้าเอาไป แล้วมีอาการขึ้นมานิดนึง เดี๋ยวเราก็ต้องใช้ หักดิบดีกว่า ปรากฏว่าห้องพักที่เชียงใหม่ ผมแซะห้องมุดตู้ มุดเตียง แซะผ้าม่าน เลื้อย คือมันปวดเข้ากระดูกไง อาการที่เราแซะคือพยายามที่จะหาที่ที่เราสบายที่สุดอยู่น่ะ
...แล้วมันแสบตรงที่อาการของมันนี่นะ ชอบเล่นงานตอนที่เราจะหลับ ทั้งวันไม่เป็นไร คือถ้าผมตื่นอยู่ได้ทั้งคืนก็ไม่เป็นไรนะ แต่เมื่อไรที่เราจะหลับเคลิ้มขึ้นมาละก้อ มาเลยซัดตรงนั้นเลย ไม่ให้นอน ปวดเข้ากระดูกทันที ผมก็บิด เลื้อย มุด แซะไปทั้งห้อง ที่เชียงใหม่นั่นอาการอย่างนี้ตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึง 8 โมงเช้า แซะห้องอยู่อย่างนั้น (หัวเราะ)ทำเราจนหมดแรง จนร่างกายไม่ไหวร่วงไปเอง เที่ยงตื่นขึ้นมากลับทันที ทีแรกจะค้างสองคืนไม่ไหวแน่
...อีกครั้งที่บ้านแต่ยามีอยู่กับตัว ลองอีกที พอจะหลับเริ่มแซะ พอเริ่มแซะนิดหน่อยไม่เอาแล้วหยอดเลยดีกว่า 8 เดือนแน่ะ ทรมานมาก ผมก็เลยทำอะไรไม่ได้ ณ ขณะนั้น และผลพวงอีกอย่างหนึ่งคือลิ่มเลือดในขามันแข็งเป็นก้อน ตอนรักษาแผลเนี่ย (จอนนี่ถลกแขนเสื้อให้ดูรอยแผลเป็นเป็นทางยาวที่เกิดจากไฟไหม้ ณ ขณะถ่ายละคร 'เงินปากผี') มันทำให้ขาบวมก็ต้องละลายลิ่มเลือด แต่ตอนนี้ไม่ได้ละลายแล้ว เพียงแต่ไม่ให้มันกลับมาเป็นลิ่มเลือด ต้องกินยาประคองตัวเองไป
...ปีหนึ่งที่ผมอยู่กับการรักษาตัวเองอย่างเดียวก็เลยหายไป พออีกปีถัดมาผมก็กลับมาดูแลตัวเอง รักษาขาไป ช่วยนกเขา (งานตัดต่อละคร) เลี้ยงลูก ผมก็ทำห้องตัดใช่มั้ย เพราะละครต้องตัดตลอด เราก็มีเด็กมาทำงานคนหนึ่ง ผมก็ทำงานอยู่กับบ้าน เพราะขาตอนนั้นยืนไม่ได้ แต่ด้วยความที่อยู่ห้องตัดมากก็กิน นอน กิน นอน ไป 100 กว่ากิโลเลย ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะมันออกไม่ได้ เนื่องจากเรายังมีอาการเจ็บป่วยที่ขาอยู่ มันจึงไป 100 โล มือนี่วางบนพุงเลย (หัวเราะ) โอ้โฮไม่ไหวแล้ว มันเริ่มมีปัญหาสุขภาพตามมา พอน้ำหนักเยอะ โรคหัวใจก็มา คอเลสเตอรอลก็มา ความดันก็ขึ้น ไม่ได้โว้ย ไม่ไหว"
และก็ได้จังหวะที่ต้องทำให้ลดน้ำหนัก นั่นคือละครเรื่อง "ตะวันเดือด" ของ ฉัตรชัย
"พี่นกติดต่อมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่ 'ดิน น้ำ ลม ไฟ', 'เหนือเมฆ' (ไม่เล่น เพราะอ้วน) ไม่ ไม่ ผมไม่บอกว่าผมอ้วน แต่บอกเรื่องสุขภาพ เราก็ไม่อยากเล่น จนมาเรื่อง 'ตะวันเดือด' พี่นกบอก 'เฮ้ย บทนี้มันต้องมึงเลย' เหรอพี่ แล้วบทมันเป็นแบบไหนล่ะ 'แบบเรื่อง ฟ้า น่ะ ตัวเหี้ยๆ ตัวเลวสุดๆ อะไรเนี่ย' ผมก็เหรองั้นขอผมสักเดือนนึงหรือเดือนครึ่งก็ได้ ถ้าพี่จะถ่ายผมขอเอาน้ำหนักลงก่อน (เหตุนี้แหละที่ ฉัตรชัย เปิดกล้องช้า ถามทีไร พี่นกจะบอกว่า รอจอนนี่ลดน้ำหนัก) พี่นกบอกเออ ยังไม่เปิด ยังไม่เปิด กูอยากให้มึงเล่น เอางั้นเหรอ เราก็เอาๆ กลับมาเล่นสักทีก็ได้และ จริยาเขาก็เชียร์"
ที่ นก จริยา ภรรยาสุดที่รักเชียร์ ก็เพื่อให้สามีได้มาสนุก และเจอเพื่อนๆ นั่นเอง
"ใช่ เขาอยากให้ผมออกมาข้างนอกบ้าง ได้มาเจอเพื่อน เพราะผมอยู่แต่ในบ้าน ทำงานก็ที่บ้าน เพราะเราทำห้องตัดต่อไว้ที่บ้าน พอออกมาครั้งนี้ยาวเลย ทั้งละคร และไปทำสปีดแชนแนลเพิ่มอีก ทีนี้อีรุงตุงนัง ตอนที่รับเล่นละครพี่นก ยังไม่มีสปีดแชนแนล (ทรู 72) พอละครเปิดกล้องถ่ายทำไปได้พักนึง ต้องขึ้นสปีดแชนแนล ไปดูไปคุม เอาแล้วซิยุ่งแล้ว จริยาก็ต้องปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก 'อ่ะเธอบำรุงหน่อย อ่ะเธอพักหน่อยนะ'
...จุดประสงค์แรกของ จริยา คือแค่อยากให้ออกมาเจอนู่น นี่ นั่น บ้าง ได้ออกมาเล่นละคร ได้เจอเพื่อนสนุกสนาน ได้ทำในสิ่งที่เราเคยทำ และเราก็รัก พอตอนหลังมันอีรุงตุงนังปุ๊บนี่ แล้วงานเขาก็ต้องถ่ายละคร ลูกอีก ไหนจะหันมาโด๊ปเราอีก แล้วผมประชุมทุกวันเพราะช่วงเซ็ตอัพตอนแรกนี่มันยุ่งมาก ไหนจะเรื่องคน เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ เรื่องโปรดักชั่น เรื่องราวเนื้อหา (contents)ที่จะมาใส่ ยุ่งไปหมด
...อย่างในหมวดเซิร์ชฯ ก็แค่ผลิตรายการ ประชุมเกี่ยวกับเรื่องหนังสือ "F3" บ้าง ครอบครัวข่าวบ้าง นิดหน่อย คอนเสิร์ตสัญจรบ้าง มันไม่ใช่แบบโอ้โฮอยู่ทั้งชีวิตเลย มันก็แค่รายการ แค่อีเวนต์ แต่สปีดแชนแนลมัน24ชั่วโมงในหนึ่งช่อง ทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยจริงๆ แล้วเป็นอะไรที่เรายังใหม่กับมันน่ะ ก็เพิ่งได้ลองทำดู เริ่มตั้งแต่ 1มกราคม ตอนนี้ก็ยังมีปัญหา ปัญหาคน กับปัญหาคอนเท็นต์เหมือนกัน ว่าจะเปลี่ยนจะสลับ เอาอันไหนออก อันไหนเข้า หรือแต่ละซีซั่นเรายังขาดอะไรอยู่
...เรื่องมอเตอร์ไซด์เรายังน้อยไป เราจะหาเรื่องมอเตอร์ไซค์เข้ามายังไง จะหาผู้จัดนอกเข้ามาร่วมทีมยังไง แล้วเราก็ไม่ใช่คนในวงการรถยนต์อ่ะ เราโปรดักชั่น ในขณะที่พาร์ตเนอร์เรา อาร์ม (วิบูลย์ ลีรัตนขจร) เอย หรือแม้กระทั่งน้องของ โบ๊ท ซึ่งเก่งเรื่องรถ รู้เรื่องรถก็เอามาผสมกันทำงานด้วยกัน เหนื่อย ยุ่งอ่ะ"
ขอคุยเรื่องครอบครัว เพื่ออัพเดตให้แฟนละครทราบบ้าง น้องเจมส์เรียน มหิดลอินเตอร์ โดยสอบเข้าทางลัด
"คือเขาอย่างนี้ เรียนตามระบบวันหนึ่งเรียน 7 คาบ เรียนเลข ภาษาไทย วิทย์ พละ สุขศึกษาหรืออะไรก็แล้วแต่ เขามีความรู้สึกว่าเลขเขาไม่ได้ใช้ แล้วเขาก็ไม่ชอบทำไมเขาต้องมานั่งเรียน เขาไม่ชอบที่จะมาทางนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าโตขึ้นจะไปเป็นนักการเมือง หรือนักคณิตศาสตร์หรือวิชาเกี่ยวกับฟิสิกส์ เคมีเขาก็บอกว่าเขาไม่ใช้อ่ะ เขาไม่คิดว่าจะไปทางนั้น แล้วทำไมเขาจะต้องมาเรียนในระบบ เขาเลยบอกว่าเขาจะเอาเฉพาะที่เขาใช้ได้มั้ย เขาคุยกับผม ผมก็อ่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ก็ต้องไปให้ถึงให้ได้จริงๆ นะ ไม่ใช่เพื่อจะหนีไม่เรียนเลข หรือเพื่อจะเลี่ยงไม่ใช่นะ แต่ถ้ายูมีเป้าหมายแล้ว อ่ะไปเลย
...พอเขาออกมาปุ๊บจากการที่เรียนกระท่อนกระแท่น ก็คือเบื่อ เพราะต้องเรียนทุกอย่าง ไม่ชอบเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน พอเขาโฟกัสการเรียนนอกระบบ ปรากฏว่าคะแนนเต็ม 100 เขาได้ 95 แทบจะทุกตัว เขาทำคะแนนได้ดี เราก็เอ่อเขาชอบแบบนี้จริงๆ แบบนั้นเขาไม่ชอบ แล้วเขาก็กำหนดระยะเวลาให้กับตัวเองด้วยว่า 6 เดือนต้องจบ เพื่อที่จะสอบเข้ารุ่นนี้ ที่เขาวางไว้ พี่เจมส์ก็ทำได้ตามเป้าเป๊ะๆ เขาก็แฮปปี้
...ตอนนี้เขาก็ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างแฮปปี้ มีความสุข เราก็อ่ะ ตามสบาย ไอ้น้องก็จะเอาตามพี่เขา น้องก็ดูพี่เป็นตัวอย่าง เจมี่ เขาก็เอาเลย อันนี้เขาไม่ได้ใช้ วิชานั้นก็ไม่ใช้ พอ ม.5 เจมี่โดดมาเลย ตอนนี้สอบผ่านเกือบหมดทุกวิชา เหลือฟังผลวิชาสุดท้ายตัวเดียว เราก็บอก เอ้า ไอ้ตัวเล็กเอายังไง (จอนนี่หมายถึงลูกสาวคนเล็ก น้องจีนส์ จิรชยา) 'หนูก็อยากออกมานะ' เฮ้ย เราน่ะยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ เรียนตามระบบไปนั่นแหละ คือเราถามไอ้ตัวเล็กว่า โตขึ้นจะไปเป็นอะไร 'ไม่เอา หนูจะอยู่กับบ้าน หนูจะเกาะป๊าเกาะมี่กิน' เราก็เอ้า ถ้าอย่างนั้นเรียนตามหลักสูตร ตามระบบเขานั่นแหละ ไม่ต้องรีบ คือไอ้ตัวเล็ก นิสัยแบบลูกคนเล็กน่ะ สักพักหนึ่งถามเขาอีก โตขึ้นจะทำอะไร ? 'ขอตังค์ป๊ากับมี้กินไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะไปเป็นอะไร ให้ป๊ะกับมี้เลี้ยง' (จอนนี่ยิ้มๆ แต่คนสัมภาษณ์หัวเราะซะขาเก้าอี้เอียง) ถ้าอย่างนี้ก็เรียนตามระบบไป เพราะไม่มีเป้าหมายอะไรเลย คือ 2 คนนั้นเขามีเป้าหมาย จีนส์จะท่องจำอยู่ คือ ขอตังค์ป๊ากับมี้, อยู่บ้าน, ทำงานบริษัทป๊ากะมี้ (ยิ้ม) คือถ้ายังหาเป้าหมายไม่เจอก็เดินตามเส้นไปก่อน อย่าเพิ่งทะลึ่งออกมาเรียนนอกระบบ แต่ถ้ามีเป้าหมายอยากจะแยกไปทางลัดก็อ่ะ ตามใจ"
จอนนี่เลี้ยงลูก ดูแฟร์ดี
"ตามใจลูก ผมนะ ผมตามใจลูก ทะเลาะกับนกประจำ ไม่ได้ทะเลาะแบบแรงนะ ประมาณกระง่อนกระแง่นกันน่ะ ตอนลูกยังเล็กๆ ผมจะเข้มงวด แต่ภรรยาผมจะคอยปลอบลูก โอ๋ลูก พอลูก 8-9 ขวบ ผมกับเขาเริ่มสลับไลน์กันแล้ว นกจะเข้มงวดกับลูกมาก (เน้นเสียง) ขณะที่ผมเนี่ย คือในช่วงที่ผมเข้มงวดมันผ่านมาแล้ว ผมก็กลายเป็นอยู่ฝ่ายลูก แล้วเวลาแม่ลูกเขาอะไรกัน ลูกๆ ก็จะป๊า ดูมี้ซิ อีกแล้ว ป๊าจัดการซิ (หัวเราะ) เหมือนผมเป็นเพื่อนเขา คือผมว่าเขาเริ่มโตแล้ว พูดรู้เรื่องแล้ว"
สิ่งที่นกจริยาจ้ำจี้จ้ำไช
"กินข้าวหรือยัง ทำไมยังไม่นอน" คือเป็นเรื่องแม่ๆ ลูกๆ น่ะ "เมื่อไหร่จะกินข้าว เมื่อไหร่จะนอน ทำไมแต่งตัวอย่างนี้" จะประมาณนี้ที่แม่กับลูกเขามีอะไรอย่างนี้กันทุกวัน
...อย่างตอนนี้ พี่เจมส์ เขาอยู่ ม.มหิดล เขาอยู่หอพัก แม่เขาก็เอาเลย "ต้องโทร.หาชั้นทุกวัน ศุกร์เขากลับบ้านแม่ไปรับ เย็นวันอาทิตย์ไปส่ง แล้วพี่เจมส์กับแม่จะมีสัญญากันว่า "ทุกวันนะ กลับถึงหอ พอถึงห้องปั๊บต้องโทร.เลยนะ ชั้นไม่เข้มงวดกับเธอก็ได้ แต่เธอต้องรายงานตัวให้ตรงตามเวลา"
...ทีนี้ พอ 2 ทุ่ม 3 ทุ่มลูกชายไม่โทร.มา แม่อยู่ทางนี้เอาแล้ว และถ้าจันทร์-อังคาร-พุธ แม่เขาโทร.จี้ พอวันพฤหัสฯ แม่เขาก็บอกผม "เธอลองโทร.ซิ ทำไมไม่โทร.มา" คือคงเขินเหมือนกัน จี้ลูกมากๆ ผมก็โทร.หาลูก "เฮ้ย ลูกโทร.หามี้เขาหน่อยซิ ลืมอีกแล้วเนี่ยเขาพล่านไปหมดแล้ว" (หัวเราะ) ลูกชายก็ "เหรอป๊า ครับๆ" แป๊บนึงเสียงโทรศัพท์เครื่องแม่ดังแล้ว "ทำไมไม่โทร. ทำอะไรอยู่ไหนเนี่ย" (ทำเสียงเข้ม แบบ นก จริยา) นกเขาไม่ชอบที่ผมตามใจลูก เข้าข้างลูกน่ะ"
จอนนี่เองมีกรอบไว้ประมาณไหน
"คือเขาไม่ได้ไปทำอะไรเลวร้ายอ่ะ ผมก็เอาเลยลูก เต็มที่ตามสบาย คือผมเลี้ยงลูก ผมก็ดูพื้นฐานความรู้สึกนึกคิดเขาอ่ะ ว่าหล่อหลอมมายังไง เขาจะเป็นยังไง คือเขาไม่มีเชื้อโจร ไม่มีเชื้อเกเรอ่ะ คือเขาอาจจะสนุกมากไปบ้าง คะนองไปบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งใจไปเลว ถ้าอย่างนั้นละก็ ต้องมีเรื่องกันแล้วล่ะ แต่นี่ลูกสนุกบ้าง ลืมบ้าง แม่กะลูกบ้านนี้นี่จุกจิกกันทั้งวัน (ยิ้ม) ทั้ง 3 คนนั่นแหละ แต่จะตีกับเจมี่เป็นประจำเพราะเขาเหมือนกัน เป็นแม่ลูกที่เหมือนกันมาก แล้วหน้าเจมี่ก็ออกไปทางแม่ นิสัยก็เหมือนๆ กัน จะตีกันสองคน ไม่ค่อยยอมกัน
...พี่เจมส์กับจีนส์จะเหมือนผม นกเขาก็จะเรียนรู้ลูกจากนิสัยผมเป็นหลัก เพราะเขาอยู่กับผมมานานก็รู้นิสัยว่า ควรจะจัดการผมยังไง เขาก็ใช้วิธีกับเจมส์และจีนส์ ใช้กับ 2 คนนั้น แต่ตัวกลางเหมือนเขาก็เลยตีกันหนักหน่อย ที่เขาบอกว่านิสัยเหมือนกันมักอยู่กันไม่ค่อยได้ ลูกสามคนก็เข้าหาผมหมด (ยิ้มปลื้ม) แต่ถ้าความสนิทหรือมีปัญหาอะไรละก้อต้องแม่เขา ยังไงก็ต้องแม่ เพราะแม่เลี้ยงมา แม่ดูแลทุกอย่าง ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงๆ เขาก็คุยกัน ลูกชายก็สนิทกับแม่ แต่จะรำคาญ (หัวเราะขำที่เม้าท์เมียลับหลัง)"
สุดยอดภรรยา ยกให้ จริยา แอนโฟเน
"ขาดไม่ได้ชีวิตนี้ ทุกช่วงเวลา ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่ผมเกิดอุบัติเหตุ ป่วยไม่ป่วยเขาก็ดูแลผม เขาเสมอต้นเสมอปลาย เราก็อย่างว่านะผู้ชายช่วงหนึ่งผมก็คึกคะนองบ้าง ไปเฮๆ กับเพื่อนบ้าง ลืมๆ บ้าง สุดท้ายผมก็กลับบ้าน และไม่ว่าจะภาวะไหน เมียผมรอที่จะรับผมตลอดเวลา พร้อมรับกลับบ้าน เมาแค่ไหนก็มารอรับ ไม่เคยมีด่าสักคำเดียว เราก็จะเกรงใจด้วยตัวเราเองอ่ะ คนเรามันต้องคิดได้ ไม่ใช่ยังจะมาทำอย่างนั้นทุกวัน
...และเขาก็ทำงานเยอะ บางทีเขาไปกองถ่าย ผมนอนไม่สบายอยู่กับบ้าน เที่ยงต้องวิ่งกลับมาที่บ้าน เอาข้าวมาให้ ถ้าไม่เอาข้าวกองมา เขาก็หาซื้อโน่น นี่มาให้ เรายังไม่ตื่น เขาวิ่งกลับไปกองอีกแล้ว แล้วเขียนโน้ตแปะไว้ว่า
"นี่นะ ราดหน้าสองห่อ อยู่นี่นะ กินซะนะ อย่าลืมกินล่ะ ไปกองก่อนนะ" อะไรอย่างเนี้ย ทุกเม็ด วิ่งซื้อข้าวซื้อปลาให้ทั้งวัน แล้วบางทีเราเลิกงานดึก นอนยาวไม่ตื่น เช้าขึ้นมาเขาก็เจียวไข่ไว้ให้ พอเราตื่นไข่เจียวหน้าตามันเหี่ยวมาก เพราะเขาทำไว้ให้ตั้งแต่เช้า แล้วออกไปกอง แล้วผมจะขาดเมียผมได้ยังไง"
ภรรยาทำไมไม่ให้แม่บ้านทำให้ล่ะ
"เขาไม่ยอม ก็ไม่รู้เพราะอะไร ต้องถามเขาเอง (ยิ้ม) คือเขาต้องทำ ผมก็บอกเขานะว่ากลางวันไม่ต้องวิ่งกลับมา เดี๋ยวผมหาอะไรง่ายๆ กินแถวนี้ก็ได้ หรือไม่มีจริงๆ เดี๋ยวผมต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้...ไม่ได้ๆ จริยาต้องวิ่งกลับมา ถ้าไม่มาเองก็โทร.ไปบอกน้องสาว ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน โทร.ให้ขวัญ น้องสาวไปซื้อที่ร้านนี้ ร้านนั้นแล้วเอามาทิ้งไว้ให้ผม แต่ส่วนใหญ่จะมาเองตลอด ต่อให้กองถ่ายอยู่ไกลขนาดไหนก็จะตีรถกลับมา เดี๋ยวออกไปกองใหม่ นางฟ้าครับ เทพประทาน" ยิ้มละไม เมื่อพูดถึงภรรยาด้วยความภูมิใจ
เรื่องย่อ ตะวันเดือด
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ