ผู้พันเบิร์ด กับที่สุดของบทบาทในหนัง นเรศวร 3

ผู้พันเบิร์ด กับที่สุดของบทบาทในหนัง นเรศวร 3

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทสัมภาษณ์ผู้พันเบิร์ด กับที่สุดของบทบาทในภาคต่อ แห่ง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" รู้สึกอย่างไรกับบท "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ผมรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งมาก นับตั้งแต่ภาค 1-2 เป็นต้นมา ผมมีโอกาสได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผมยิ่งซึมซับในตัวละคร บทบาทและประวัติศาสตร์ มีการเชื่อมต่อเห็นมุมมองตัวละครในมิติต่างๆมากขึ้น ทำให้การแสดงของผมพัฒนาตามไปด้วย ผมในฐานะที่เป็นทหารก็ได้ปฏิบัติตามแนวนโยบายของกองทัพเรื่องการปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งภาพยนตร์ก็ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ผมได้รับมอบหมายและจะทำเต็มความสามารถ และหลังจากภาพยนตร์จบแล้วผมก็จะทุ่มเทให้กับงานในกองทัพมากขึ้น ความยากง่ายของบท "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" อยู่ตรงไหน ยากในช่วงแรกที่ต้องตีความความเป็นสมเด็จพระนเรศวร ตีความคาแรกเตอร์ของพระองค์ ตีความว่าในสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ท่านควรจะทำอย่างไรในความเป็นพระองค์ท่าน ผมต้องฟังจากที่ท่านมุ้ยเล่า อ่านหนังสือ ถามจากผู้รู้ท่านอื่นๆ หลายอย่างประกอบกันครับ ถ้าผมไม่เคลียร์ในเรื่องบท ไม่เข้าใจตรงจุดไหน วิธีการแก้ไขของผมก็คือ ไปถามท่าน ไปคุยกับท่าน และสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับผมคือทำตามอย่างที่ท่านบอกผมเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในตำนานของท่านมุ้ยครับ

การแสดงใน ภาค 3 นี้ ต่างหรือยากง่ายกว่าภาค 1-2 อย่างไร เมื่อเทียบกับภาค 1-2 แล้ว ภาค 3 ยากกว่ามาก เพราะฉากมีรายละเอียดมาก เช่น การรบทางเรือหรือที่เรียกกันว่า "ยุทธนาวี" เป็นฉากที่ยิ่งใหญ่เท่าที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ตามพื้นฐานของความเป็นจริง ทั้งเรือกระบวนเสด็จที่สร้างขึ้นจริงตามโบราณประวัติศาสตร์บันทึก และเรือสำเภาจีนโบราณ ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก และการรบทางเรือก็ยากกว่ารบทางบกมาก และในภาค 3 นี้ นอกจากผู้ชมจะได้เห็นฉากรบที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังจะได้เห็นภาพความงดงามของกระบวนเรือ พยุหยาตราทางชลมารคที่สวยงามและไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดทำมาก่อน หัวใจของภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 ยุทธนาวี" ที่ต้องการนำเสนอสู่ผู้ชมในความรู้สึกของพี่เบิร์ดคืออะไร ประการแรกเป็นเรื่องความสมจริงและยิ่งใหญ่ของฉากที่สร้างจากประวัติศาสตร์ ของชาติ ประการที่สองเป็นกลยุทธ์ทางการศึกและพระปรีชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่สามารถเอาชนะข้าศึกที่มีกำลังพลมากกว่า โดยใช้กุศโลบายทางการรบที่เหนือชั้น ประการสุดท้ายคือ เรื่องความเสียสละของคนไทย ที่มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากอริราชศัตรู

องค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้ภาพยนตร์ออกมาสมบูรณ์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" เป็นภาพยนตร์ของชาติที่มีรายละเอียดและลงลึกในประวัติศาสตร์มาก หลายคนอาจจะคิดว่าต้องใช้ทีมงานจำนวนมากเพื่อดำเนินงานสร้างได้สมบรูณ์แบบ แต่ความจริงแล้วเราใช้บุคลากรไม่มาก แต่มีศักยภาพสูง สามารถสร้างความพอใจให้กับนักแสดงได้มากเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายอุปกรณ์ประกอบฉาก (prop) ผู้ที่เขารับผิดชอบ เขาจะรู้ทุกอย่างว่าคน ช้าง ม้า ท้องพระโรง ฯลฯ จะต้องใช้อุปกรณ์อะไร แต่งกายอย่างไร รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ prop ในทุกฉากว่างั้นเถอะ เรียกว่าห้ามขาด ห้ามลา ห้ามป่วย ฝ่ายซ่อมบำรุง ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง เช่น เสื้อผ้า อาวุธ ฉาก ฝ่ายนี้เขาจะสามารถซ่อมได้รวดเร็วมาก ยกตัวอย่างชุดเกราะผมขาด เขาเอาหนังมาเย็บซ่อมให้ผมแป็บเดียวก็ถ่ายต่อได้เลย ฝ่ายเสื้อผ้า หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา จะมีข้อมูลความรู้เรื่องผ้าอย่างดี เลือกผ้าที่นำมาตัดชุด เลือกคนทอผ้าให้ได้ตามแบบที่ต้องการได้ รวมถึงคนตัดเย็บ คุณแอ๊ด สุมาลี จันก้อน มีความสามารถตัดเย็บได้ไวมาก ต้องเข้าฉากพรุ่งนี้ สั่งตัดชุดนี้ก็ได้ใส่เข้าฉากเลย เสื้อผ้าที่ใช้เข้าฉากมีเยอะมาก นับหมื่นชุดได้ แต่ชุดหลักๆ ที่ใช้มีประมาณ 1,000 ชุด มีการจัดระบบในการจัดเก็บอย่างดี ฝ่ายผลิต ทีมนี้เขามีความประณีต บรรจง ละเอียดมาก เริ่มตั้งแต่การสืบค้นข้อมูล (Research) ที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง และที่สำคัญมีการเชื่อมต่องานได้ดีไม่มีสะดุด ส่วนตัวผมในบทอาจจะดูว่า ใส่เสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด แต่จริงๆ แล้วมีเสื้อผ้าที่ต้องใส่เข้าฉากประมาณ 50 ชุด เพราะถ่ายทำตามความเป็นจริง เช่น ฉากพระแสงดาบคาบค่าย ใส่ชุดเกราะเหมือนกัน แต่ผ้านุ่งข้างในต้องเปลี่ยนตามแบบของศึกที่ออกรบ ฉากที่ต้องวางแผนการรบแผนรบแต่ละแผนชุดก็จะต่างกันออกไป

เกี่ยวกับอาวุธที่พี่เบิร์ดต้องใช้ถ่ายทำมีกี่ประเภท และใช้ยากง่ายต่างกันอย่างไร ในภาค 3 อาวุธี่ผมใช้จะมีอยู่ 5 ประเภท คือ ดาบ หอกซัด ทวน โล่ และปืน ภาค 4 ยุทธหัตถีจะมี "ง้าว" เพิ่มเข้าไปในรายละเอียดของอาวุธ ส่วนของดาบก็จะมีทั้งดาบไทยและดาบญี่ปุ่น (ดาบสั้น) ดาบไทยจะใช้บ่อยและเป็นอาวุธที่ถนัดที่สุด หอกซัดใช้สำหรับรบบนหลังม้า ด้ามแข็งใช้สำหรับปาทวนจะใช้คู่กับโล่ ต่อสู้บนพื้นราบ ปืนมีทั้งปืนสั้นและปืนยาว ต่างกันตรงระยะการยิง สัตว์ที่ใช้เข้าฉากบ่อยที่สุดน่าจะเป็นม้า มีประสบการณ์เกี่ยวกับม้าที่น่าสนใจอะไรบ้าง ข้อจำกัดของม้าสมเด็จพระนเรศวร คือ ต้องมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ เท่านั้น เพื่อเน้น character ของพระองค์ดำ ส่วนม้าที่ผมใช้ประจำมี 2 ตัว คือ ซีซี และโมร่า บุคลิกเขาจะต่างกันและการใช้งานก็ต่างกันไป โมร่า ขี้กลัวตกใจง่าย แต่คอเขาสวย เหมาะสำหรับฉากรบที่ต้องใช้ความไว แต่จะถ่าย close up ได้ยากเพราะเขาไม่นิ่ง ส่วน ซีซี จะนิ่งกว่ามาก แต่บังคับยากกลับตัวยาก บางฉากเราต้องใช้ม้า 2 ตัวในฉากเดียว เช่น ฉากที่พระนเรศวรขี่ม้าเข้าไปยึดพลับพลาพระเจ้าเชียงใหม่ ต้องใช้ม้า 2 ตัวนี้ คือ ใช้โมร่าตอนควบม้าขึ้นไปพลับพลา แต่ตอนลงต้องใช้ซีซี เพราะโมร่ากลัวไม่กล้าเดินลง นี่คือรายละเอียดของม้าที่เราต้องเข้าใจเขา รู้นิสัยเขาด้วย เขาอยู่กับผมมาตั้งแต่ภาค 2 ซึ่งเราผูกพันกันมาก ทุกตัวในกองถ่ายด้วยผมขี่มาทุกตัว ถ้าหนังจบแล้วผมก็วางแผนจะเอาเขาไปเลี้ยง จนกว่าจะตายจากกัน รวมถึงเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ เราจะเปิดเป็นสถานที่สอนขี่ม้าให้กับนักแสดงรุ่นใหม่ต่อไป

ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนนักแสดง ผมประทับใจกับนักแสดงทุกคนนะ คือในเรื่องนี้นักแสดงเยอะมาก คงร่ายกันไม่หมด ผมยกตัวอย่างบางคนแล้วกัน อย่างแอฟ (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) แสดงด้วยกันมาตั้งแต่ภาค 2 ถึง ภาค 4 เห็นได้ชัดว่าแอฟเขามีพัฒนาการด้านการแสดงที่ดีขึ้นมาก เป็นคนที่มีความ สามารถ มีศักยภาพทางการแสดงสูง แต่อยู่ที่ว่าใครจะสามารถดึงศักยภาพของแอฟตรงนั้นออกมาได้ ท่านมุ้ยคนหนึ่งแหละที่ทำได้ ผมจะคอยติดตามผลงานละครของเขาตลอด เพื่อดูบทบาทการแสดงของเขาที่ต่างออกไป แล้วผมก็มานั่งทำการบ้านว่าหากเราแสดงด้วยกันจะต้องแสดงอารมณ์หรือสื่อออกมา ยังไง เวลาทำงานด้วยกันก็จะง่ายขึ้น แต่ผมอยากเห็นแอฟเล่นบทร้ายนะ อยากรู้ว่าจะร้ายน่ารักไหม ที่สำคัญเห็นแอฟสวยๆ อย่างนั้น ตัวจริงแอฟจะลุยมาก ตรงข้ามกับภาพที่เห็นเลย นอนกลางดินกินกลางทรายไม่มีบ่น ถ่ายหนังด้วยกันมานานจนสนิทกันมากคุยกันได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ครับ ส่วนปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) เป็นยิ่งกว่าพี่น้องครับ เราเปิดบริษัททำธุรกิจด้วยกัน ต้องบอกว่าไว้วางใจกันมากครับ เป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นของนักแสดงอาชีพ กับทหารอาชีพ ก่อร่างกันมาเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น ในแง่ของความเป็นนักแสดงปีเตอร์เป็นนักแสดงที่มีฝืมือ เป็นคนแรกๆ ที่ท่านมุ้ยจับคาแรคเตอร์ได้ ท่านมุ้ยชอบการแสดงของปีเตอร์ มีนักแสดงอยู่ 3 คน ที่ท่านมุ้ยวางตัวไว้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยว่าต้องเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่จะเป็นบทอะไรนั้นค่อยว่ากัน นั้นก็คือ ปีเตอร์ แอฟ และทราย เพราะท่านเห็นศักยภาพทางการแสดงของทั้ง 3 คนนี้ โดยเฉพาะปีเตอร์จะให้เขาทำอะไรก็ได้ บทของไอ้บุญทิ้ง เป็นคนมุทะลุ ห้าวหาญ โหด แต่ตัวจริงของปีเตอร์จะเป็นคนเรียบร้อย ขี้เกรงอกเกรงใจ ใครว่าไงก็ว่าตามกัน

สำหรับทราย (อินทิรา เจริญปุระ) ในอดีตถ้านึกถึงทรายหลายคนอาจจะนึกถึงหนังผี แต่ปัจจุบันภาพของทรายเป็นภาพของนักรบหญิงของเมืองคังที่ชื่อเลอขิ่น ซึ่งบทนี้นอกจากทรายแล้วผมว่าหาใครไม่ได้อีกแล้วที่จะเหมาะสมกับบทนี้ ทรายเป็นน้องที่น่ารัก เป็นคนตรงไปตรงมา มีความตั้งใจในการแสดงสูง ส่วนพี่ต๊อด (พ.ท.วินธัย สุวารี) เราเป็นทหารเหมือนกัน รู้จักกันมาก่อนที่จะมาแสดงภาพยนตร์ด้วยกัน ต้องบอกว่าพี่คนนี้มีแต่ให้จริงๆ สำหรับพี่ต๊อด พร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่นเสมอ ไม่เคยเอ่ยปากขออะไรจากใคร ภาพความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเป็นภาพเก่าที่หลายคนมองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ที่ผมเห็นและได้สัมผัส พี่เขามีความสุขที่ได้ทำงานในหน้าที่ทหาร และมีความสุขที่ได้มาถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันมาเจอพี่ๆ น้องๆ มาเจอทีมงานในกองถ่าย นี้แหละคือความสุขของพี่ต๊อดผมว่านะ และเหมาะแล้วที่พี่แกไม่คิดจะมีครอบครัว เพราะเวลาของพี่ต๊อดมีไว้ให้เพื่อนๆ และคนรอบข้างจริงๆ อีกท่านหนึ่ง คือ พี่หมูดิลก ทองวัฒนา รับบทพระศรีสุพรรณราชาธิราช น้องชายของพระยาละแวก พี่หมูเป็นคนนุ่มนวล พูดเพราะ เป็นกันเองมากครับ ซึ่งจะแตกต่างอย่างชัดเจนกับบทบาทในการแสดงที่ต้องเข้า ฉากร่วมกัน เพราะเรามีแต่บทเชือดเฉือนกันด้วยการปะทะคารม อารณ์ และกิริยาท่าทางการแสดงออกต่างๆ ซึ่งใส่เต็มที่หมดแม็ก ทุกอย่างเลยครับ ทั้งสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงยียวนกวนประสาทสุดๆแสบมากครับ นอกจากนี้ก็เห็นว่าพี่หมูชอบถ่ายรูป มีกล้องแบบมืออาชีพมาที่กองถ่ายตลอดเวลา ผมชอบดูภาพที่พี่หมูถ่ายสวยมากครับ จัดว่าเป็นผู้มีศิลปะในการถ่ายภาพระดับแนวหน้าได้เลย และผมรู้สึกว่าพี่หมูเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมากเลยครับ นอกจากหน้าเด็กแล้วยังแอบสังเกตเห็นว่าพี่หมูมีกล้ามเนื้อขาที่สวยมากเหมือน พวกนักกีฬา เหมาะกับการนุ่งผ้าหยักรั้งแบบถกเขมรจริงๆ ครับ อยากจะพูดถึงนักแสดงอีกหลายๆ ท่านนะ แต่ไว้โอกาสหน้าละกัน

ความรู้สึกที่มีต่อท่านมุ้ย (ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล) ในฐานะผู้กำกับการแสดงคนแรก ท่านให้ความกรุณากับผมมากไม่เฉพาะเรื่องหนังเท่านั้น ท่านสอนทั้งเรื่องส่วนตัว ความเป็นอยู่ ครอบครัว ท่านให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง ท่านเป็นพ่อ เป็นครู ซึ่งเกินกว่าคำว่าผู้กำกับไปแล้ว หลายคนที่มีปัญหาในชีวิตก็มาปรึกษาท่านได้ ไม่เพียงแต่ตัวผมเท่านั้น เพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ เราเปรียบเสมือนครอบครัวที่ผูกพันกัน เมื่อมีเวลาเราก็ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น วันว่างท่านก็จะชวนไปดูหนัง ทำอาหารทานกันที่บ้าน แม้แต่งานแต่งงานของผม ท่านก็เป็นธุระให้ทุกอย่าง ทั้งขอพระราชทานน้ำสังข์ งานหมั้นหม่อมก็จัดชุดขันหมากให้ทั้งหมด เรียกว่าชีวิตครอบครัวของผมก่อร่างสร้างตัวมาได้ก็เพราะความกรุณาของท่าน ความรู้สึกของผมกับท่านเราเป็นมากกว่านักแสดงกับผู้กำกับครับ และผมไม่อยากให้ภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" จบแค่ภาค 4 เลย เพราะการแสดงกลายเป็นชีวิตของผมและกองถ่ายเปรียบเป็นบ้านของผมครับ เปรียบท่านมุ้ยเป็นครู ท่านมุ้ยเป็นครูที่มีความทันสมัย ท่านอ่านหนังสือเยอะ เป็นครูให้ผม เป็นครูให้นักแสดง และเป็นครูให้ทีมงาน สอนเทคนิคต่างๆ ให้กับทีมงาน ทั้งเทคนิคดั้งเดิมและเทคนิคสมัยใหม่ ท่านมีความสามารถมากทั้ง คอมพิวเตอร์ CG และทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ ละคร ฯลฯ ท่านนำประสบการณ์ที่เคยลองผิดลองถูกมาถ่ายทอดมาสอนให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่ พึ่งจบการศึกษา สอนในเชิงประสบการณ์ การสอนการแสดงท่านจะยึดเอาตัวตนของคนๆ นั้นเป็นหลัก ท่านคุยกับนักแสดงทุกคน คุยเยอะด้วย เพื่อที่ท่านจะได้สังเกตอารมณ์ของคนๆ นั้น เพื่อนำมาปรับใช้ในบท อย่างผมท่านมุ้ยเคยบอกผมว่า อย่ายิ้มแบบนี้เห็นฟันเยอะดูไม่หล่อ อย่างทรายเขาก็พึ่งมารู้จากท่านมุ้ยว่าตัวเองหน้าเบี้ยว และท่านก็แนะทรายว่าต้องหันท่านี้จึงจะสวย ท่านมุ้ยเคยเล่าให้ฟังว่า การแสดงของเราจะมีดีกับไม่ดี 50:50 แต่จะให้ใครเป็นนักแสดงที่เก่งในสายตาของคนอื่น หรือกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ อยู่ที่คนตัดหนัง ถ้าเราตัดแต่สิ่งที่ดีออกมา คนนั้นก็จะเป็นซูปเปอร์สตาร์ ท่านมุ้ยเป็นทั้งคนตัดหนัง เป็นทั้งผู้กำกับ ท่านจะรู้ได้ว่าถ่ายแค่นี้พอแล้ว ใช้ได้แล้ว แรกๆ ผมก็กังวลในเรื่องการแสดงครับ แต่พอได้คุยกับท่าน ผมก็เชื่อมั่นในความเป็นครูของท่านว่าจะสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดที่เรา แสดงออกมา ดึงศักยภาพที่เรามีออกมาได้ ท่านมุ้ยเป็นนักต่อสู้ มีความมุ่งมั่น และเสียสละ ซึ่งผมจะนำเอาแบบอย่างนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไปในอนาคต ความคาดหวังกับภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับตัวผม ผมต้องการให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าผมมีพัฒนาการทางการแสดงที่ดี แต่สำหรับผู้ชมผมไม่ได้คาดหวังว่าผู้ชมจะได้อะไรจากการชมภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" นอกเสียจากความรื่นรมย์ทางปัญญาครับ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ ผู้พันเบิร์ด กับที่สุดของบทบาทในหนัง นเรศวร 3

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook