ล้อมวงเสวนา 6 ผู้กำกับมือทองแห่งปี 2010

ล้อมวงเสวนา 6 ผู้กำกับมือทองแห่งปี 2010

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปี 2010 ที่ผ่านมา เป็นปีทองของผู้กำกับอย่าง ดาร์เรน อโรนอฟสกี้ (Black Swan), ทอม ฮูเปอร์ (The King's Speech), อีธาน (และ โจเอล) โคเอน (True Grit), เดวิด ฟินเชอร์ (The Social Network), เบน แอฟเฟลค (The Town) และ ลิซ่า โชโลเดนโก (The Kids Are All Right), เพราะผลงานของพวกเขาและเธอไปโลดแล่นบนเวทีรางวัลหลายแห่ง รวมทั้งเวทีใหญ่อย่างออสการ์ (ยกเว้นสองรายหลังที่พลาดเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมไปในนาทีสุดท้าย) เนื่องในโอกาสนี้ หนังสือพิมพ์ LA Times เลยจับเอาทั้ง 6 คนมาตั้งวงบอกเล่าประสบการณ์การทำงานของพวกเขาและเธอ ว่ายากลำบากแค่ไหน กว่าจะผลิตผลงานคุณภาพออกมาได้แต่ละชิ้น * บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนวันประกาศผลผู้เข้าชิงรางวัลรางวัลออสการ์ 2 วัน

หนังของพวกคุณประสบความสำเร็จมาก แต่ผมอยากรู้ว่าพวกคุณรู้สึกยังไงเวลาที่กำกับหนังแล้วต้องรับมือกับความผิดพลาดทั้งหลาย เบน แอฟเฟลค: เหมือนหนังเรื่องก่อน ๆ ที่ผมทำ การกำกับหนังเต็มไปด้วยความผิดพลาดเสมอ ทุกวันพอกลับถึงบ้าน ผมก็นั่งเขกกระโหลกตัวเองประจำ อีธาน โคเอน: มันแย่มากเลยใช่มั้ยล่ะ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้: แย่จริง ๆ โคเอน: คุณจะโมโหตัวเองตลอดทางกลับบ้าน ว่าเราน่าจะทำอย่างนั้น หรืออย่างนี้มากกว่า อโรนอฟสกี้: สิ่งที่คุณคิดในหัวอาจไม่ได้ออกมาอย่างต้องการ เราต้องเจอกับสภาพอากาศ เทคโนโลยีที่จำกัด เวลาที่จำกัด และคุณก็ไม่ต้องการให้นักแสดงทำงานหนักเกินเวลา แต่เราต้องเผชิญกับปัญหา และพยายามแก้ไขมัน ทอม ฮูเปอร์: ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อได้ดูหนังเวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเอง บางทีผลลัพธ์มันก็ออกมาต่างไปจากที่เราเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกเยอะเหมือนกัน อโรนอฟสกี้: และนั่นจะเป็นวันที่แย่สุด ๆ แอฟเฟลค: เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ มันแย่ยังไง? แอฟเฟลค: พอเห็นผลงานออกมาไม่ได้อย่างใจ ผมรู้ว่าคืนนั้นตัวเองต้องดื่มหนักแน่ ๆ มันทำใจลำบากมาก เพราะรู้ว่าตัวเองมีงานต้องทำอีกเยอะ ลิซ่า โชโลเดนโก: แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง อโรนอฟสกี้: และคุณอาจจะคิดว่าตัวเองทำออกมาดีแล้ว แต่กลายเป็นว่ามันยังต้องใช้เวลาอีกมากในการแก้ปัญหาหลายอย่าง กว่าจะออกมาเป็นหนังเวอร์ชั่นสุดท้าย โคเอน: มันตลกดีที่ต้องมานั่งตัดหนังของตัวเอง ผมก็รู้สึกแย่เหมือนกัน

เบน คุณเป็นนักแสดง คุณเรียนรู้อะไรจากผู้กำกับหลายคนที่เคยร่วมงานบ้าง แอฟเฟลค: ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นนักแสดง คือได้เห็นการทำงานของผู้กำกับหลายคน เพราะเราไปทำงานในหนังหลายเรื่อง เราจะได้เห็นหลากหลายวิธีการ ทั้งหนทางที่ทำแล้วผลออกมาดี และออกมาแย่ ทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมคิดว่าการจะทำให้นักแสดงเชื่อใจเราได้ คือต้องเป็นผู้กำกับที่ดี ทำหนังที่ยอดเยี่ยมออกมาให้สำเร็จ และนักแสดงจะเดินเข้ามา แล้วบอกว่า 'โอเค เรากำลังเล่นหนังของ พี่น้องโคเอน' พวกเขาจะเชื่อใจคุณ และยืนอยู่ข้างคุณเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เดวิด ฟินเชอร์: นักแสดงจะยอมทำทุกอย่างตามผู้กำกับที่หน้าตาดีเสมอ (หัวเราะ) ว่าแต่คุณเคยเจอสถานการณ์แบบว่า ต้องเจอนักแสดงประเภทที่หัวรั้นบ้าพลังไม่สนใจโลกบ้างหรือเปล่า? แอฟเฟลค: เคยสิ ผมเคยทำงานกับนักแสดงที่บ้าโคตร ๆ ประมาณว่า พอผมบอกไปว่า 'โอเค ซีนนี้อยู่ในห้องนั่งเล่นนะ' แต่เขาดันเถียงว่า 'ผมว่ามันไม่ควรอยู่ในห้องนั่งเล่นนะ' แล้วผมก็ตอบกลับไปว่า 'แต่ผมรู้สึกว่าถ้าเธอรอคุณอยู่ตรงนี้ แล้วคุณก็เดินเข้ามาคุยกับเธอ...' ผมยืนยันอย่างนั้น เขาดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วพอผมสั่งแอ็คชั่น เขาดันเดินเข้าไปในครัวซะงั้น ผมต้องบอกว่า 'แต่กล้องมันอยู่ตรงนี้นะ เข้าใจมั้ย?' ฟินเชอร์: แล้วผลออกมาเป็นไงล่ะ แอฟเฟลค: มันต้องเปลี่ยนน่ะสิ เพราะเขาไม่สนใจเลย เขาเดินหน้าตายเข้าไปในห้องที่ไม่มีกล้อง เพราะเขามั่นใจว่าซีนมันต้องอยู่ตรงนั้น งั้นก็หมายความว่า คุณต้องเป็นทั้งนักทำหนัง แล้วก็นักแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน อย่างนั้นรึเปล่า อโรนอฟสกี้: มันขึ้นอยู่กับนักแสดงแต่ละคนมากกว่า อย่าง นาตาลี พอร์ตแมน เธอเป็นนักแสดงที่มืออาชีพมาก เธอเดินเข้าประตูมา ตั้งหน้าทำงาน ไม่เรื่องมาก ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เธอเตรียมตัวมาดีมาก

มีนักแสดงคนไหนที่ทำให้คุณปวดหัวในทีแรกบ้างไหม โชโลเดนโก: มีบ้าง และฉันก็ยังไม่ค่อยถูกใจสิ่งที่เห็นบนจอนัก เพราะมันไม่ตรงกับที่ฉันเคยคิดไว้ อย่าง มีอา วาชิคอฟสกา ฉันเลือกเธอมาเล่นโดยที่ไม่ได้เจอเธอเลย ฉันชอบเธอจากที่เห็นในตัวอย่างผลงานเท่านั้น เราเดินหน้ากันเร็วมาก ฉันเลือกโดยใช้สัญชาตญาณ แต่พอได้พบเธอจริง ๆ ฉันกลับคิดว่าเธอดูเรียบร้อย บอบบางเกินไปสำหรับบทนี้ ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่หลังจากนั้นเธอก็ทำให้ฉันประหลาดใจ เพราะเธอเหมือนจะรู้จักตัวละครนี้มากกว่าฉันอีก เธอค่อย ๆ ใส่ตัวตนของตัวเองลงไปจนออกมาอย่างที่เห็น แอฟเฟลค: ผมคิดว่านักแสดงต้องการมีส่วนร่วมในตัวละครของตัวเอง และไม่อยากถูกจำกัดกรอบมากเกินไป ฮูเปอร์: บางทีมันก็ขัดแย้งกันนะ พวกเขารู้ว่าผู้กำกับมี ไอเดียที่ชัดเจน และรู้ว่าผู้กำกับต้องการอะไร แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีมุมมองของตัวเอง และพยายามนำเสนอมัน โดยลืมไปว่าเราเคยพูดคุยกันไว้แล้ว แต่ผมได้ทำงานกับนักแสดงชั้นยอด และผมก็พยายามเปิดรับสิ่งที่พวกเขาเสนอมาตลอดเวลา เบน คุณจะบอกได้มั้ยว่า จริง ๆ แล้ว นักแสดงต้องการผู้กำกับที่มีอำนาจกำหนดทิศทางของตัวละครทุกอย่าง ฟินเชอร์: ไม่มีนักแสดงอย่างนั้นหรอก ถ้ามีเขาก็โกหกแล้ว แอฟเฟลค: ผมคงทำได้แค่แกล้งพูดกับผู้กำกับว่า 'อ๋อ ผมรู้น่าว่าคุณต้องการอะไร' โคเอน: ใช่ เราบังคับนักแสดงไม่ได้ เราไม่มีทางสั่งพวกเขาได้ทุกอย่าง ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังกำกับนักแสดงอยู่ด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ถ้านักแสดงคนไหนต้องการให้ช่วยชี้นำทุกอย่าง เขาคนนั้นก็มีปัญหาแล้ว เราเลือกนักแสดงมาเพราะเราเชื่อมั่นในตัวพวกเขา พวกเขาเข้ามาทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีมุมมองคุณอาจจะรู้สึกว่าซีนนี้ไม่เวิร์ค แต่ไม่ได้แปลว่ามันห่วย เพราะมันมีมุมมองของฝั่งนักแสดงด้วย

มีบ้างรึเปล่าที่คุณจับใครมาเข้ากล้องแล้ว แต่คุณเห็นว่ามันไม่เวิร์ค แล้วก็เปลี่ยนตัวกลางอากาศ อโรนอฟสกี้: ผมเลือกศัลยแพทย์สมอง มารับบท ศัลยแพทย์สมอง (ใน The Fountain) เพราะผมรู้สึกทึ่งในตัวเขา เรารีเสิร์ชกันอย่างละเอียด แล้วผมก็เจอเขา แต่พอให้มาเล่นจริง ๆ ต้องบอกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนที่เขาพูดไดอะล็อกของตัวเอง ผมแอบเห็นว่าพยาบาลที่เป็นภรรยาของเขาคอยบอกบทพูดให้ตลอด มันเลยออกมาเหมือนกับเราซ้อมละครกันตลอดคืน มันเป็นหายนะเลย ฉะนั้นอย่าเลือกศัลยแพทย์สมองมาเล่นหนังจะดีกว่า แอฟเฟลค: ผมสงสัยว่าผู้กำกับอย่างพวกคุณ เวลาที่คุณเห็นว่านักแสดงทำได้ไม่ดีเลย แล้วพวกเขาก็สารภาพว่า 'วันนี้ผม/ฉันเล่นได้แย่มาก' แล้วคุณจะเอ่ยปากออกมารึเปล่าว่า 'ใช่ มันไม่เวิร์คเลย' ฟินเชอร์: ผมคิดว่าการพูดตรง ๆ ออกไปเลยเป็นวิธีที่ดีกว่า คุณต้องบอกออกไปเลยว่า 'ผมว่ามันไม่เวิร์ค ด้วยเหตุผลนี้ ๆ ๆ ๆ' มันจะได้ไม่มาสับสนกันทีหลัง แต่ถ้าเราแกล้งทำเป็นตาบอด คุณก็จะออกนอกลู่นอกทางไปไกล ผมเคยเจอมาแล้ว กว่าจะมารู้สาเหตุจริง ๆ ก็ผ่านไปสามสี่วันให้หลังแล้ว โคเอน: มันเกิดขึ้นบ่อยเลยล่ะ อโรนอฟสกี้: ที่สำคัญคือ ถ้าคุณต้องการถ่ายทำใหม่ คุณต้องซื่อสัตย์กับพวกเขา และบอกพวกเขาทุกอย่าง คุณต้องมองโลกในแง่บวก และถ้าคุณสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวนักแสดงแล้วล่ะก็ ปัญหาต้องเกิดแน่ ๆ ฮูเปอร์: พวกนักแสดงมักจะกังวลอยู่เสมอ ถ้าไปพูดกับนักแสดงซีรีส์ว่า 'ฉันชอบตอนเมื่อคืนก่อนมาก' เขาก็จะตอบกลับมาว่า 'อ้าว แล้วของสัปดาห์ก่อนล่ะ' พวกเขาก็จะกังวลขึ้นมาทันที และบางทีท่าทีที่คุณแสดงออกก็ทำให้นักแสดงรู้แล้วว่าคุณยังไม่ค่อยพอใจ คุณแทบไม่ต้องพูดออกมาตรง ๆ เลยกับนักแสดงที่คุ้นเคยกันดี ฟินเชอร์: แต่บางทีก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเสมอไป บางทีมันก็ไม่เวิร์คเพราะเหตุผลอื่น ๆ อโรนอฟสกี้: อย่างเช่นบทมันเขียนออกมาไม่ดีอยู่แล้ว โชโลเดนโก: มีอยู่ครั้งนึง ตอนที่ฉันทำ The Kids Are All Right เรามีเวลาไม่มากนัก ฉันนั่งดูฉากที่เพิ่งถ่ายทำไป สองรอบก็แล้ว สามรอบก็แล้ว มันก็ยังไม่ใช่ ฉันต้องบอกกับนักแสดงและทีมงานว่า 'เราขอเวลา 15 นาทีนะ' แล้วก็ดึงคนเขียนบทของฉันมาบอกว่า 'เราต้องรีไรต์ใหม่กันแล้วล่ะ' นั่นแหละคือปัญหาจากการเขียนบท

คุณให้นักแสดงอ่านบทก่อนเข้าฉากรึเปล่า โคเอน: ผู้กำกับจะมีไดอะล็อกอยู่ในหัวอยู่แล้วก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ และถ้านักแสดงเล่นออกมาคนละทางกับที่ผมคิด ผมก็จะบอกว่า 'ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดน่ะ' แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้แปลว่าเขาทำผิด แอฟเฟลค: ตอนถ่ายทำกันวันที่สอง เจเรมี่ เรนเนอร์ ต้องเข้าฉากที่เถียงกับตัวละครของผม เราเล่นกันไปหลายเทคแล้ว และผมก็พอใจมาก แต่เทคสุดท้ายมันตลกดี เขามาบอกว่า 'เฮ้ ผมมีอะไรจะบอกคุณ' ผมก็บอกว่าได้สิ แล้วเขาก็บอกว่า 'คุณพูดไดอะล็อกของผมน่ะ' (หัวเราะ) มีอะไรที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำงานของพวกคุณ อโรนอฟสกี้: คือความคิดที่ว่า 95 เปอร์เซ็นต์ในการทำหนังดำเนินไปด้วยความราบรื่น ความจริง 95 เปอร์เซ็นต์มันเต็มไปด้วยปัญหา เรื่องทุนสร้าง ตารางการทำงานแต่ละวันที่มีน้อยนิด แต่เมื่อเราตะโกน แอ็คชั่น เมื่อใด มันก็เต็มไปด้วยความหวัง นั่นล่ะคืองานของเรา แล้ว 95 เปอร์เซ็นต์นี้มันเป็นอุปสรรคใหญ่รึเปล่า โคเอน: ปกติการทำหนังก็ต้องคอยกังวลกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ทั้งอุปสรรคในการทำงานแต่ละวัน เวลาที่บีบคั้น แต่เมื่อมันเดินกล้องเมื่อไหร่ ผมก็จะรู้สึกสนุกไปกับมันแล้ว โชโลเดนโก: ฉันว่าการที่มีเรื่องของเวลามาบีบคั้นมันก็เป็นข้อดีอย่างนึงนะ เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกตื่นตัว เหมือนกับอยู่ในสนามรบที่คุณต้องคิดอะไรให้รวดเร็ว และต้องแก้ปัญหาให้ทันท่วงที ฮูเปอร์: มันต้องดูนาฬิกาทุกวินาทีเลยล่ะ แต่ถ้าคุณได้ดู The King's Speech แล้วอาจจะไม่รู้สึกเลยว่าเราทำงานโดยมีเวลาที่เร่งรัดมาก การทำงานโดยที่มีเวลาน้อยไม่ได้เป็นตัวตัดสินผลงานของเรา แม้ในความจริงแล้ว เวลาที่ผมกลับมาดูอีกครั้ง ผมจะบอกได้เลยว่าฉากนั้น ๆ เรามีเวลาถ่ายทำกันน้อยมาก แอฟเฟลค: เหมือนกับเรื่องสภาพอากาศนั่นแหละ คนดูไม่มีทางรู้ในหนังเลย โคเอน: ปัญหาอากาศก็เรื่องใหญ่ ต้องมาคอยดูว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหน เมฆจะไปทางไหนบ้าง อโรนอฟสกี้: มีพวกคุณคนไหนสวดภาวนาให้อากาศเป็นใจบ้างรึเปล่า ฟินเชอร์: ผมไง ภาวนาให้หิมะตก

ในกรณีของ ทอม, ลิซ่า และ ดาร์เรน ดูจะลำบากกว่าคนอื่น เพราะพวกคุณต้องหาเงินมาทำหนังเอง ฮูเปอร์: ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มเปิดกล้อง ทุกอย่างมีสิทธิ์พังทลายลงได้ ไม่มีอะไรมาการันตีได้เลย เมื่อปัญหาหลายอย่างรุมเร้าเข้ามา คุณต้องเชื่อมั่นในไอเดีย และเชื่อว่ามันต้องสร้างออกมาได้สำเร็จ คุณต้องกล้าท้าทายโชคชะตา โชโลเดนโก: ต้องมีแต่สู้กับสู้เท่านั้น มันบ้ามาก ตอนที่เรากำลังเตรียมทุกอย่าง คนที่ออกทุนให้เราไม่ยืนยันว่าทีมงานจะได้รับค่าจ้างกันทุกคน แต่โปรดิวเซอร์บอกเราว่าจะยังไม่เดินหน้าถ้าไม่มีการการันตีว่าทีมงานจะได้รับค่าจ้าง เราเลยต้องหยุด และเสียเวลาไปหลายสัปดาห์ มันเหมือนกับรถไฟตกราง หายนะชัด ๆ ฉันไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนี้ หนังอินดี้ทุกเรื่องที่ฉันเคยทำมาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันจะง่ายขึ้นเสียอีก ดูเหมือนว่าผู้กำกับต้องประนีประนอมกับหลายอย่าง แล้วงานจะออกมาอย่างที่ต้องการได้ยังไง ฟินเชอร์: เวลาที่คุณอ่านสคริปต์ครั้งแรก แล้วคิดว่า 'โห มันต้องกลายเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมแน่ ๆ' แต่เมื่อเริ่มทำจริง ๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้น ฮูเปอร์: ตอนที่ถ่ายทำ เราต้องเจอกับคำถามที่ว่า 'ช็อตนี้มันดีหรือยัง?' 'จะถ่ายอีกเทคดีมั้ย?' 'จะเปลี่ยนมุมดีมั้ย' แต่เมื่อมาอยู่ในห้องตัดต่อมันอาจกลายเป็นคนละเรื่องเลย คุณอาจจำใจต้องตัดซีนที่อุตส่าห์ถ่ายทำมาอย่างยากลำบาก ถ้าฉากนั้นไม่รับใช้เรื่องราว เบน ปัญหาใหญ่สุดที่คุณต้องเจอใน The Town คืออะไร แอฟเฟลค: ทุกปัญหาใหญ่หมด (หัวเราะ) ผู้กำกับที่มีประสบการณ์หลายคนปิดตาทำหนังก็ยังได้ แต่ผมต้องเจอกับเรื่องลำบากทุกวัน เพราะผมไม่รู้อะไรหลายอย่าง ไม่รู้ว่าต้องทำออกมายังไงให้มันเวิร์ค ต้องเอาตัวรอดไปแต่ละวันให้ได้ ปัญหาใหญ่สุดที่เราเจอคือ นักแสดงคนนึงที่มีบทสำคัญมากเข้าฉากไม่ได้ เพราะเขาติดทัณฑ์บนอยู่ ไหงเป็นงั้นล่ะ แอฟเฟลค: เขาถือปืนเข้าฉากไม่ได้เพราะติดทัณฑ์บน เราต้องไปติดต่อศาลและเจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน ทำให้ผมรู้ว่ามีบางอย่างที่แม้แต่ฮอลลีวูดก็ทำไม่ได้ คุณจะใช้ความคิดที่ว่า 'เราต้องได้ตัวเขา เราจะไปยื่นคำร้อง เราจะได้รับอนุญาต' ไม่ได้เลย เพราะพวกเขายืนยันว่า 'เราคือศาล และเขามีคดีอยู่ คำตอบคือ ไม่'

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ ล้อมวงเสวนา 6 ผู้กำกับมือทองแห่งปี 2010

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook