10 หนังบันดาลใจ หนุ่มไฟแรงแห่งยุค วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

10 หนังบันดาลใจ หนุ่มไฟแรงแห่งยุค วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

10 หนังบันดาลใจ นักคิด/นักทำ คลื่นลูกใหม่ไฟแรงแห่งยุค วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล คงไม่ต้องเอ่ยอะไรกันให้มากความอีก สำหรับชายหนุ่มที่หากเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาในโมงยามนี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นในบทบาท หมวดชาติ วุฒิไกร นายตำรวจหนุ่มขาลุยจอมยียวนในภาพยนตร์ "อินทรีแดง" หรือบทบาทพิธีกรรายการโทรทัศน์หลากรายการ นักเขียนหน้าใหม่ไฟแรงที่มีผลงานตีพิมพ์ออกมาหลายต่อหลายเล่มอย่าง ชีวิตภาคทฤษฎี, ใบไม้แดง, อักษรตัวหนา ฯลฯ บทบาทนักดนตรีนักแต่งเพลงของวง ราโชมอน ที่เขาปั้นขึ้นมาเองกับมือ รวมไปถึงบทบาทการทำงานพัฒนาสังคม เป็นหนึ่งในบุคลากรของ ChangeFusion องค์กรพัฒนาสังคมรุ่นใหม่ ที่มีผลงานมากมาย

เข้าหนังเรื่องแรกที่วรรณสิงห์เลือกมาเลยนะ Memento ผู้กำกับโปรดตอนนี้คือ คริสโตเฟอร์ โนแลน ครับ แล้วเรื่องที่โปรดที่สุดของเขาก็คือ Memento เพราะเรื่องอื่นดูเหมือนเขามีเงินเยอะไปนิดน่ะ เหมือนเขาพยายามใส่โน่นใส่นี่ แต่มันก็ยังเป็นหนังที่ดีอยู่นะ The Dark Knight ก็ถือว่าเจ๋งมาก แต่ไม่ติดท็อปเท็น Memento นี่ ผมชอบตรงที่มันไม่ต้องใช้อะไรเลย มันใช้แค่ฝีมือของผู้กำกับล้วน ๆ ก็คือการเล่าเรื่อง การเขียนบท และวิธีการตัดต่อ ซึ่งมันไม่น่าจะดูรู้เรื่องได้ ปรากฏดูแล้วดันรู้เรื่อง แล้วดูอีกรอบก็ยังชอบอยู่ ทุกอย่างเมคเซ้นส์หมด รู้สึกว่ามันเทพจริง ๆ น่ะ ไม่คิดว่าจะมีผู้กำกับคนอื่นที่ทำได้ขนาดนี้ และผมเองก็ชอบ กาย เพียร์ซ อยู่แล้ว รู้สึกว่าเขาเท่ดี เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เท่ที่สุดของเขา แล้วหนังที่ดีมันน่าจะเป็นหนังที่ดูเสร็จแล้วไม่จบน่ะครับ มันเก็บไปคิดต่อ ซึ่ง Memento นี่ ถ้าดูโดยไม่ใช้สมาธินี่งงตายแน่นอน ก็เลยชอบมาก ๆ เรื่องนี้ ต้องอาศัยความตั้งใจในการดูสูงมาก ๆ ใช่ ๆ ดูตอนแรก ๆ จะแบบ อะไรวะเนี่ย (หัวเราะ) แล้วผ่านไปสัก 20 นาทีก็จะรู้สึก โอ้โห! สุดยอดจริง ๆ แล้วตอนดูครั้งแรกผมไม่รู้มาก่อนว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นยังไง อยู่ดี ๆ มีคนหยิบมาให้ดู เราก็ดู เพิ่งรู้ทีหลังว่า อ๋อ มันจบก่อนนี่แล้วย้อนมาตอนเริ่ม ไม่คิดว่าจะมีหนังที่ครีเอทีฟได้ขนาดนี้อีกแล้ว แต่อาจจะมีก็ได้ในอนาคต รอดูไป

มาที่เรื่องที่สองครับ ของโนแลนอีกเหมือนกัน Inception อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ชอบอันดับที่สอง คือคาดว่าปีนี้ทุกคนดูแล้วก็คงต้องอึ้งเหมือนกัน โอ้โห! คิดได้ไง? ไอ้ลูกข่างหมุน ๆ ตอนจบเนี่ย (หัวเราะ) ทำให้คนดูหนังจบแล้วยังพูดกันต่อไป ทุกวันนี้ผมยังพูดกับเพื่อนอยู่เลย ว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันมีบู๊ล้างผลาญ มีแอ็คชั่น ถ้าเทียบว่ามันเป็นหนังสเกลไหน ก็คงเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ขนาดใหญ่ เหมือนที่บอกว่ามีเงินเยอะไป? อืม มีเงินเยอะ แต่ว่าถ้าจะมีบล็อกบัสเตอร์สักเรื่องที่เพอร์เฟกต์ ผมให้เรื่องนี้น่ะครับ คือแน่นอนมันก็มีบางอย่างที่ไม่ต้องใส่เข้าไปก็ได้ รถระเบิดตูมตาม ยิงกัน ฯลฯ แต่เราก็รู้สึกว่า โอเค มันก็ต้องเซิร์ฟคนดูประมาณนึงน่ะนะ แต่เอาแค่ตัวเรื่องจริง ๆ รู้สึกว่าเค้าเลือกจะเล่าส่วนที่ควรจะเล่าก่อน แล้วค่อย ๆ เผย โดยไม่ต้องพูดอะไรมากไป แล้วพอทุกอย่างรวมตัวกันเป็นบทสรุปนี่ก็เมคเซ้นส์ทุกอย่าง คือในฐานะคนเขียนหนังสือและคนแต่งเรื่องเนี่ย รู้สึกว่าการเขียนตอนจบโคตรยากเลย แต่คริสโตเฟอร์ โนแลน ทำอย่างนั้นได้หลาย ๆ รอบแล้ว และก็คงทำได้อีกหลายรอบต่อไป ก็รอดู Dark Knight Rises แบทแมน ภาค 3 อย่างใจจดใจจ่อ แต่คงอีกนานเหมือนกัน เป็นผู้กำกับที่ทำได้ทั้งหนังคุณภาพ และหนังทำเงินในเวลาเดียวกัน ใช่ ไม่ต้องแยกกันเลย Inception มันก็เป็นบล็อกบัสเตอร์ที่ไม่ดูถูกคนดู บล็อกบัสเตอร์หลาย ๆ เรื่องก็สนุกนะครับ แต่ดูแล้วไม่มีอะไรประเทืองปัญญา อย่าง The A-Team ผมดูแล้วสนุกมาก แต่มันก็ไม่มีอะไรให้คิดเลย ระเบิดอย่างเดียว (หัวเราะ) Inception ถือว่าเป็นหนังที่ฉลาดมาก และไม่สามารถละความสนใจได้เลย เหมือน Memento น่ะ ต้องดูไปเรื่อย ๆ อย่างเรื่องที่มันอธิบายเรื่อง Totem ซึ่งความจริงมันเป็นคีย์หลักของเรื่อง แต่มันอธิบายแค่สามประโยค แล้วมันก็ไปเรื่องอื่นต่อเลย ถ้าคนไม่ฟังสามประโยคนั้นก็ไม่รู้เรื่อง ตอนจบก็จะไม่เก็ตเลย อีกอย่างนึงที่ชอบมาก ๆ คือเรื่องซาวด์ดีไซน์ ชอบซาวด์แทร็ค แล้วก็ชอบอาร์ต เพราะว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจากภาพเขียนของ เอ็ม.ซี. เอสเชอร์ น่ะครับ แล้วผมชอบ เอ็ม.ซี. เอสเชอร์ อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าพอมันมาอยู่ในหนังมันก็สวยดี แล้วจริง ๆ แล้ว ถ้าอ่านเกี่ยวกับปรัชญาเรื่องเซน ก็รู้สึกว่ามันก็เป็นนิทานเซนได้ประมาณนึง ฉันไม่มีจริง เธอไม่มีจริง มีมิติของปรัชญาอยู่เยอะมาก แต่ถ้าจะมีที่ไม่ชอบก็เช่นฉากไล่กันในหิมะ มันเหมือน เจมส์ บอนด์ ไปหน่อย ใส่เข้ามาทำไม มันไม่ครีเอทีฟเลย ในขณะที่ฉากที่ลอยอยู่ในโรงแรมมันครีเอทีฟมาก แต่ฉากไล่ยิงกันในหิมะนี่ หา! เอาอีกแล้วเหรอ? มันเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก มันดีซะส่วนใหญ่ก็โอเคแล้ว (หัวเราะ)

มาที่เรื่องที่สามครับ The Time Traveler's Wife จริง ๆ ไม่ค่อยชอบหนังโรแมนติกนะครับ ไม่เคยดูหนังโรแมนติกแล้วอินเลย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ดูแล้วร้องไห้ เรื่องนี้ไม่มีตรรกะใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ชอบคือมันเป็นความรู้สึกล้วน ๆ รู้สึกว่าเป็นหนังที่ Move เราได้น่ะ ฉากที่... นี่สปอยล์นะ ใครยังไม่ได้ดูอย่ามาอ่านนะ (หัวเราะ) ที่พระเอกโดนยิงตอนหลังนี่ดูแล้วร้องไห้ ไม่รู้ทำไมหนังเรื่องนี้มันแตะเราเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเราค่อนข้างมีความคิดอยู่แล้วว่า จริง ๆ ความสัมพันธ์และชีวิตมันคือ ซีรีส์ของเหตุการณ์น่ะ แล้วหนังเรื่องนี้มันอยู่ในคำถามที่ว่า ถ้าซีรีส์ของเหตุการณ์นั้น ๆ มันไม่ได้เรียงลำดับตามปกติ ความสัมพันธ์จะยังเวิร์คอยู่ไหม? แล้วปรากฏว่าทำออกมาได้เวิร์คมาก และก็ซึ้งมาก ๆ แค่พล็อตเรื่องที่ว่าผู้ชายหายไปตามกาลเวลาอย่าง Random (สุ่ม) ผมว่าก็ค่อนข้างอัจฉริยะแล้ว คือถ้าใครคิดพล็อตเรื่องแบบนี้ได้มันก็จะทำเป็นเรื่องไซไฟใช่ไหมครับ ปรากฏว่ากลายเป็นหนังรักซะงั้น! ยิ่งทำยากเข้าไปใหญ่ ปรากฏว่าเวิร์ค! แล้วก็เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมรู้สึกชอบหนังมากกว่าหนังสือ แต่อาจจะเป็นเพราะผมดูหนังก่อนแล้วค่อยไปหาหนังสืออ่านก็ได้ แล้ว เอริก แบนา นี่ดูกี่เรื่องก็รู้สึกชอบ อย่างเราได้ดู The Curious Case of Benjamin Button ซึ่งก็ดี เพียงแต่หนังเรื่องนี้คือสิ่งที่ Benjamin Button พยายามจะเป็น แต่เป็นไม่ได้ สมมุติว่าเต็ม 10 ผมให้ Benjamin Button สัก 8 ให้เรื่องนี้ 9.5

เรื่องที่สี่ครับ Always ก็ดี ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น อ่านนิยายญี่ปุ่นประมาณนึง มูราคามิ นี่ก็ชอบมาก หนังญี่ปุ่นก็ดูหลายเรื่อง Departures, Tokyo Sonata, The Village Albumอะไรพวกนี้ แต่ที่ชอบที่สุดก็น่าจะเป็น Always มันเป็นอะไรที่ง่ายดีน่ะครับ หนังญี่ปุ่นหลาย ๆ เรื่อง พยายามลึกซึ้งกันเหลือเกิน โพสต์โมเดิร์นจนแบบบางครั้งตูยังไม่เข้าใจเลยว่ามันพูดอะไรนิ? (หัวเราะ) คือญี่ปุ่นแนวคิดเขาไม่ยุ่งยาก แต่ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมาก ผมไปญี่ปุ่นมาแป๊บนึงก็รู้สึกว่า โอ้โห! คนก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่ความรู้สึกมันอะไรก็ไม่รู้ การ์ตูนแบบ Akira, Ghost in the Shell ดูแล้วก็งงนิดนึง Evangelion นี่งงมากมาก (หัวเราะ) แต่ Always นี่มันเล่นกับความรู้สึกพื้น ๆ แต่ทุกคนมีร่วมกัน ก็คือความจำในวัยเด็ก แล้วความจำในวัยเด็กมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ เจอสัตว์เลี้ยง ทะเลาะกับพ่อ ไล่ตามความฝัน มันก็เป็นไอเดียที่เบสิกมากทุกอย่าง แต่เอาชีวิตของคนพวกนี้มารวมกันแล้วมันสวยงามมาก แล้วมันมีความเป็นมังงะสูง ผมชอบอ่านการ์ตูน ผมก็รู้สึกว่าหนังที่ทำมาจากการ์ตูนแล้วเวิร์คมันมีไม่กี่เรื่องน่ะ 20th Century Boy นี่ไม่เอาเลยนะ ชอบการ์ตูนมาก แต่หนังไม่ไหวนะ (หัวเราะ) ถ้าได้ไปญี่ปุ่นก็จะเห็นว่ามังงะมันเหมือนเป็นศาสนาของที่นั่นน่ะ แล้ว Always ตัวละครที่ชอบเป็นพิเศษก็คือนักเขียนนิยายไส้แห้ง เพราะมันเหมือนตาแทนพี่ชายเราดี (หัวเราะ) ชอบนั่งหมกอยู่ในห้อง แล้วทำหน้าจ๋อง ๆ เหมือนมาก! (หัวเราะ)

เรื่องที่ห้าครับ There Will Be Blood โห! ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของ แดเนียล เดย์-ลูอิส แล้ว คือดูทุกเรื่องเค้าก็เทพทุกเรื่องน่ะครับ หายไปสองสามปี กลับมากลายเป็นคนอีกคนนึงโดยสิ้นเชิง แล้ว There Will Be Blood นี่มันถึงแก่นของธรรมชาติมนุษย์จริง เราเองก็เคยสำรวจตัวเองสมัยที่โลกมีแต่เรา 'ฉัน' คับโลกมาก ไม่เหลือที่ให้คนอื่นเลย ซึ่งเป็นช่วงอายุประมาณ 18-19 แล้วเรารู้สึกว่า มันง่ายดายมากที่เราจะตกไปในหนทางเดียวกับอีตา แดเนียล แพลนวิว แล้วยิ่งผมมีปมของพ่ออยู่ประมาณนึง ไม่เชิงปมหรอก แต่ว่าเราก็มีเรื่องเงาของพ่อ ตอนเด็ก ๆ ไง ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตแล้ว แต่พอดูความสัมพันธ์ระหว่างแดเนียล แพลนวิว กับลูกชายเขาน่ะ รู้สึกแบบ โอ้โห! สงสารลูกชายมาก คือเราเข้าใจมาก ๆ เลย ไม่ได้บอกว่าพ่อผมเป็นอย่างนั้นนะ (หัวเราะ) เพียงแค่ว่า เข้าใจว่าการโดนกดโดยเงาของพ่อแม่นั้นเป็นอย่างไร ในหนังพ่ออาจจะเป็นคนผิด แต่ในกรณีผม มันเป็นสิ่งที่พ่อสร้างเอาไว้มากกว่าครับ ส่วนสิ่งที่ทำให้ชอบที่สุดคือการแสดงของ แดเนียล เดย์-ลูอิส เขาแสดงได้เว่อร์ แต่ไม่เว่อร์เกินไป คือ การแสดงของเขาทำให้ทุกคนดูติ๋มหมดเลย เพราะมันสุดยอดมาก มันดูเว่อร์ เหมือนมาจากหนังยุโรปยุคกลาง แต่ปรากฏว่ามันก็ยังเข้ากับเรื่องได้โดยไม่รู้สึกว่าหลุด คือถ้าเป็นดารานำชายผมยกให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของโลกเลย แล้วสำเนียงเขาเนี่ย ผมกับพี่แทนก็เอามาเล่นกัน (หัวเราะ) มันตรงข้ามกับ Always คือดูแล้วเครียดมาก หนังเรื่องนี้ ยิ่งฉากจบดูแล้วรู้สึก โอ้โห! ธรรมชาติของมนุษย์มันน่าเกลียดจริง ๆ ! มันไม่ได้มีแค่แดเนียล แพลนวิว คนเดียวที่น่ารังเกียจ บาทหลวงคนนั้นก็น่ารังเกียจ เด็กคนนั้นก็เล่นดีนะครับ แต่ดันมาอยู่กับ แดเนียล เดย์-ลูอิส ก็เลยไม่เกิดเท่าไหร่ (หัวเราะ) คือมนุษย์แน่นอนมันก็มีด้านสวยงามและก็มีด้านแย่ ๆ อยู่บ้าง Always ก็ดูแต่ด้านสวยงาม เรื่องนี้ก็ดูแต่ด้านมืด (หัวเราะ) ก็เป็นคนละแง่มุมกัน

เรื่องที่หกครับ ซีรีส์ Lost ผมก็ลากตัวเองดูจนจบนะ (หัวเราะ) มันเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจมาก มันซับซ้อน มันค่อย ๆ ไข ทีละเปลาะ ๆ แล้วพออันไหนไขแล้ว มันก็ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมดาไป มันก็เหมือนสังคมมนุษย์ที่วิวัฒน์ขึ้นมา ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักรถ พอมีรถคันแรกขึ้นมาก็ตกใจกัน แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นอุปมาอุปมัยของการที่มนุษย์ไปอยู่รวมกันบนเกาะที่เริ่มทุกอย่างใหม่ สังคมมนุษย์เริ่มขึ้นมาใหม่ ค่อย ๆ ไขกันไปทีละหน้า ๆ แน่นอนก็มีการแย่งกันเป็นผู้นำ ก็มีทั้งผู้นำแบบสังคมนิยม ผู้นำแบบเสรีนิยม มีระบบเศรษฐศาสตร์ด้วย คือถ้าอ่านพวกเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์มา ก็จะเห็นว่ามันโผล่มาในนี้เต็มเลย แน่นอนมีตัวละครชื่อ จอห์น ล็อค มี รุสโซ ด้วย ถ้าคนที่สนใจวรรณกรรมรัฐศาสตร์หน่อยก็จะเก็ตพวกนี้ทันที แล้วหนังสือประกอบฉากก็มีพวกวรรณกรรมดังของอเมริกาเยอะเหมือนกัน อย่าง ทอม ซอว์เยอร์ ซึ่งก็มีตัวละครชื่อ ซอว์เยอร์ อยู่ในเรื่องด้วย (หัวเราะ) ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นซีรีส์ที่ละเอียดอ่อนดี แง่ของความตื่นเต้นที่ดึงดูดต่อคนทั่วไปมันก็มี แต่แง่ที่ดึงดูดต่อปัญญาชนก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน แต่มันก็มีบางซีซั่นที่ดูแล้วไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ซีซั่นสุดท้ายก็ถือว่าแก้ตัวกลับมาได้ประมาณนึง ถ้าโดยรวมที่ดูมาทั้งหมดก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ชอบที่สุดครับ

เรื่องที่เจ็ดครับ 15 ค่ำ เดือน 11 ก็อยากเลือกหนังไทยมาสักเรื่องครับ หนังไทยจริง ๆ ที่ชอบ มี บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้), มหาลัย' เหมืองแร่ ก็ชอบ ชั่วฟ้าดินสลาย ก็ชอบ แต่ว่าชอบสุดคือเรื่องนี้ มันดูนานมากแล้ว ถามว่าจำเนื้อเรื่องได้ไหม จำไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าดูเสร็จแล้วรู้สึกดีมาก เพราะตอนดูหนังไทยหลาย ๆ ครั้งนี่เราจะรู้สึกโดนยัดเยียดเยอะ ไม่ว่าเรื่องไอเดีย ความรัก ชาตินิยม หรือเรื่องความตลกก็ตาม มันเหมือนโยนมาใส่หน้าเลย ถึงแม้บางเรื่องโปรดักชั่นจะดีมากก็ตาม แต่เรารู้สึกเกินอย่างบอกไม่ถูก แต่หนังเรื่องนี้เรารู้สึกว่าเขาไม่ยัดใส่เราน่ะ เขามีประเด็นให้เก็บอยู่ แต่ว่าไม่ได้ยัดกันขนาดนั้น แล้วคำโปรยของหนังว่า "เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ" แล้วมันก็มีให้เห็นหลาย ๆ ด้าน คนไหนเชื่อยังไงก็มองเรื่องบั้งไฟพญานาคเป็นอย่างนั้นกัน แล้วมันก็เข้าสู่คำพูดที่ผมมักจะพูดเสมอ ๆ ซึ่งผมอ่านจากใครมาก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว ที่ว่า "We dont see things as they are, we see things as we are" (อนาอิส นิน/1903-1977) ซึ่งมันก็สื่อออกมาในหนังเรื่องนี้ชัดเจนมาก อีกอย่างที่ชอบคือมันเป็นหนังเรื่องแจ้งเกิดของ คุณสมชาย (ศักดิกุล) ตอนเราเห็นเขาเล่นครั้งแรก เราชอบมากเลย รู้สึกตลกฉิบหาย คนอะไรวะ? เป็นตลกแบบด่าแต่ก็ไม่โกรธน่ะ หยาบคายแต่ฟังดูไม่หยาบคายยังไงก็ไม่รู้ กวนตีนดีมาก! หลังจากนั้นก็เห็นอีกหลายเรื่อง แต่คาแรคเตอร์เดิมทุกเรื่อง (หัวเราะ) ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้ดู สนุกดี แล้ววรรณสิงห์ล่ะ มีความเชื่อแบบไหนเกี่ยวกับประเด็นของหนังเรื่องนี้? คือผมเองก็ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ นะ แต่ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ผมยังไม่รู้มีอยู่อีกเยอะ เพราะงั้นถ้ามีคนบอกว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเนี่ย ผมก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ หรือถึงผมจะไม่เชื่อเองแต่ผมจะเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงเชื่อ ความเชื่อมันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ ขอแค่ยอมรับกัน ในเรื่องเราชอบตัวละครที่แตกต่าง... คือถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์คงเป็นพี่แทนมากกว่า แต่ผมชอบหลวงพ่อที่ดำน้ำลงไปวางบั้งไฟไว้เพื่ออะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือความเชื่อและแรงศรัทธาของชุมชน ชอบตัวละครนี้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีความเชื่อเหมือนหลวงพ่อก็ตาม

เรื่องที่แปด Hero เรื่องนี้เนื้อเรื่องอะไรไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ เกี่ยวกับอาร์ตไดเร็กชั่นอย่างเดียวเลย คือเนื้อเรื่องมันก็เป็นบู๊ลิ้ม ที่อ่านนิยายเอาก็คล้าย ๆ เช่นนี้เหมือนกัน แล้วเรื่องของ จิ๋นซีฮ่องเต้ นี่ก็มีทำออกมาเยอะมาก แต่ว่าอาร์ตไดเร็กชั่น ของหนัง และก็การเล่าเรื่องแบบราโชมอน ทำออกมาได้สวยจริง แล้ว จางอี้โหมว เป็นคนที่ทำอาร์ตไดเร็กชั่นได้ดีที่สุดคนนึงของโลก อย่าง Curse of the Golden Flower ผมก็ชอบ แต่ว่าไม่เท่า Hero การสื่ออารมณ์ผ่านสี เดี๋ยวฟ้า เดี๋ยวเขียว เดี๋ยวแดง เรื่องก็ไปตามสีมันด้วย มันเหมือนภาพเขียนจีน ผ้าปลิวก็ดูเป็นภาพเขียน หยิบกระบี่ก็ดูเป็นภาพเขียน เป็นหนังที่ภาพสวยมากที่สุดเรื่องนึง ปกติเราก็ไม่ได้ดูหนังเพราะภาพสวยอะไร แต่เรื่องนี้มันสวยจนอึ้ง อ้าปากค้าง แล้วปกติก็ไม่ค่อยชอบ เจ็ต ลี เท่าไหร่ แต่พอมาเรื่องนี้แล้วดูเท่ สมบทบาทมาก เหมือนกับตัวละครแต่ละตัวมันไม่ได้เป็นแค่ตัวคน มันแทนคอนเซ็ปต์บางอย่างที่มีอยู่จริง เป็นสัญลักษณ์ของบางอย่าง ความซื่อสัตย์ ราคะ ความกล้าหาญ อะไรอย่างงี้เป็นต้น ซึ่งมันก็เป็นวรรณกรรมจีนโดยแก่นของมันเลย ผมว่าถ้ามีหนังที่เอาวรรณกรรมจีนมาดัดแปลงได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ ในบรรดาหนังของเขาผมชอบเรื่องนี้ที่สุดแล้ว

เรื่องที่เก้าครับ Ip Man 1-2 ยิปมัน นี่ไม่มีอะไรเลยครับ แมร่งมันมากน่ะ! นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างหนังที่ยัดเยียดเรื่องชาตินิยมมาก ญี่ปุ่นเลว อเมริกาเลว แต่ว่า เอาเหอะ ถ้าเอาแค่ความมันนี่ โคตรมันเลยครับ แล้ว ดอนนี่ เยน นี่เป็นซูเปอร์แอ็คชั่นฮีโร่สำหรับผมในตอนนี้ รู้สึกว่าเค้าต่อยสวยมาก ถ้ายุคนี้ก็ให้คนนี้ล่ะครับ ดูแต่ละเรื่องก็คนละหมัดมวยกันเลย ไม่รู้ทำได้ยังไง ฝึกได้ทุกอย่าง แล้วมวยหวิงชุนนี่มันพิเศษจริง ๆ เราไม่เคยเห็นคนต่อยกันแบบนี้เลย มันสวย มันดูเร้ารัว (หัวเราะ) ยิปมันเค้าดูเท่ดีน่ะ ก่อนจะต่อยกันก็ "หวิงชุน ยิปมัน" (หัวเราะ) ตอนชนะผู้ร้ายได้เราก็เฮ คือรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่เราเชียร์ฮีโร่ใจขาดดิ้นเลย แต่ประเด็นเรื่องชาติเรื่องอะไรอย่าไปเอาจริงเอาจังกับหนังเรื่องนี้เลยนะ ดูเอาสนุกดีกว่าครับ (หัวเราะ) พอกลับจากดูเรื่องนี้เสร็จ ผมกับพี่แทนกลับบ้าน ก็ "หวิงชุน ยิปมัน" กันไปมา เหมือนเด็กน่ะ (หัวเราะ) ตอนดูหนังฮีโร่เรื่องอื่นเราก็ไม่รู้สึกอยากทำตามอะไรนะ แต่ไอ้ "หวิงชุน ยิปมัน" นี่มันฮาจริง (หัวเราะ) สุดยอด ๆ โอ้โห! ยิ่งภาคสองที่มีอีกคนที่ชื่ออะไรนะ หงจินเป่า? เออ ๆ ใช่ ฉากนั้นมันสุดยอดมากครับ คือหนังฮ่องกงมันก็ต่อยกันมากี่สิบปีแล้ว น้อยครั้งที่เราดูแล้วจะรู้สึกว่าไอ้นี่มันใหม่ ไอ้นี่มันเจ๋งจริง ๆ แต่เรื่องนี้แทบทุกฉาก มันมาก จะมีข้อกังหาหน่อยก็คือมันต่อยกันเยอะเกินไปหรือเปล่า ไม่มีอะไรมันก็หาเรื่องให้ต่อยกันอยู่ได้ (หัวเราะ)

เรื่องสุดท้ายครับ The Matrix ภาคไหน? ภาคแรกครับ ภาคสองภาคสามไม่เอา เจอฉาก Architect เข้าไปผมก็อึ้งแล้ว ไม่รู้เรื่อง! พูดอะไรนิ? (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเด็กมาก มันก็ชอบหนังหลาย ๆ เรื่อง อย่างเรื่องนี้บางคนเขาก็บอกว่าอาจจะเป็นเพราะปรัชญา เพราะเนื้อเรื่อง แต่ผมจำได้ว่าผมชอบตอนนั้นเพราะความเท่ของมันอย่างเดียว คืออย่าง Hero นี่บอกว่าสวย Ip Man บอกว่ามัน Matrix ต้องพูดว่าเท่ คือทุกอย่างมันดูมีสไตล์ไปหมดน่ะ หลบกระสุนมันก็ต้องหล่อ เตะกันมันก็ต้องหล่อ (หัวเราะ) จะไปสู้กันก็ต้องใส่ชุดหนัง ใส่แว่นตาดำ แต่มันเท่อย่างไม่เฝือน่ะ มันเจ๋งมาก แล้วปกติหนังแอ็คชั่นเรื่องเครื่องแต่งตัวมันไม่เป็นเรื่องหลักอะไรขนาดนั้น แต่ปรากฏ โอ้โห! เรื่องนี้เครื่องแต่งตัวสำคัญมาก คือ มอร์เฟียส ก็เป็นไอดอลของผมอยู่นานหลายปีเหมือนกัน รู้สึกเขาเท่เหลือเกิน แต่แน่นอน เนื้อเรื่องก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ทำในเชิง Alternate Universe ที่ทำแล้วโอเค Inception นี่ความจริงก็คล้าย ๆ Matrix เหมือนกันนะ คริสโตเฟอร์ โนแลนเองเขาก็ยอมรับนะ ว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก The Matrix อ๋อ โอเค ถ้ายอมรับกันไปก็ดี (หัวเราะ) ก็ไม่มีอะไรออริจินอลอยู่แล้วครับ ในโลกนี้ Matrix เขาก็ว่ากันว่ามีเรื่องปรัชญาพุทธแฝงอยู่ในนั้น มันเป็นหนังในวัยเยาว์ที่ดูแล้วรู้สึกว่า นี่แหละคือหนังของเรา! ตอนที่มีคนนึงอยากอยู่ในโลกเมทริกซ์มากกว่าออกมาในโลกความจริงเราก็เข้าใจนะ คนส่วนใหญ่ถ้าให้เลือกได้มันก็อยากเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? ก็หลอกตัวเองให้มีความสุขดีกว่าออกมาเจออะไรก็ไม่รู้

Memento (2000) กำกับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน 
 นำแสดง: กาย เพียร์ซ, แครี่ แอนน์ มอสส์ ผลงานแจ้งเกิดของผู้กำกับสุดล้ำแห่งยุค ที่แหวกขนบของการเล่าเรื่องทางภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มผู้ทุกข์ทรมานจากการดิ้นรนตามหาฆาตกรผู้ฆ่าภรรยาของเขาอย่างสิ้นหวังท่ามกลางความทรงจำที่เลอะเลือน

Inception (2010) กำกับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน 
 นำแสดง: ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, มาริยง โกติยาร์ด, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์, เคน วาตานาเบ้, เอลเลน เพจ, ทอม ฮาร์ดี้, คิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรกันให้มากมาย กับผลงานแอ็คชั่น/ไซไฟชั้นเยี่ยมเหนือจินตนาการ ชิ้นล่าสุดของอภิมหาผู้กำกับสุดล้ำแห่งยุคสมัยชิ้นนี้ ที่พาเราดำดิ่งเข้าไปสู่พรมแดนและโลกแห่งการก่ออาชญากรรมภายในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในจิตใจมนุษย์อย่าง 'ความฝัน' และเปิดโลกใหม่แห่งจินตนาการทางภาพยนตร์นับแต่นั้นมา

Time Traveler's Wife (2009) กำกับ: โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ นำแสดง: เอริก แบนา, เรเชล แม็คอดัมส์ เรื่องราวความรักความผูกพันทะลุกาลเวลาของชายหนุ่มนักท่องเวลาผู้พลัดหลงและกระโดดข้ามไปตามเส้นแบ่งกาลเวลาอย่างไร้การควบคุม กับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แม้กระนั้น เขาและเธอก็ยังเลือกที่จะเชื่อมั่นและประคับประคองความรักนั้นไว้

Always - Sunset on Third Street (2005) กำกับ: ทากาชิ ยามาซากิ นำแสดง: มาริ โฮริคิตะ, ฮิเดทากะ โยชิโอกะ, โคยูกิ ผลงานสุดซาบซึ้งประทับใจที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนในชื่อเดียวกัน บอกเล่าเรื่องราวหลากชีวิตในชุมชนเล็ก ๆ ชุมชนหนึ่งของญี่ปุ่นในช่วงฟื้นตัวจากสงคราม

There Will Be Blood (2007) กำกับ: พอล โธมัส แอนเดอร์สัน 
 นำแสดง: แดเนียล เดย์-ลูอิส, พอล ดาโน ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ อัพตัน ซินแคลร์ "Oil!" ให้กลายเป็นสองชั่วโมงแห่งความกดดันและการตีแผ่ธาตุแท้อันโสมมในสันดานมนุษย์อย่างถึงแก่น ด้วยการแสดงอันโดดเด่นขั้นเทพของนักแสดงอย่าง แดเนียล เดย์-ลูอิส ที่สวมบทบาทเป็นจอมวายร้าย แดเนียล แพลนวิว ได้ถึงเลือดถึงเนื้อและจิตวิญญาณ จนคว้ารางวัลออสการ์ในปีนั้นมาครองอย่างไร้ข้อกังขา

Lost (ทีวีซีรีส์ 2004 - 2010) ผู้สร้าง: เจ.เจ. เอบรัมส์ นำแสดง: จอร์จ กราเซีย, นาวีน แอนดรูวส์, แมทธิว ฟ็อกซ์, คิมยุนจิน ฯลฯ ซีรีส์อภิมหาฮิตของเจ้าพ่อแห่งความความลุ้นระทึกยุคใหม่ ที่เล่าเรื่องราวของเหล่าผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินตกบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง ที่ต้องเผชิญหน้ากับความลึกลับดำมืดอันน่าระทึกและหวาดผวา ซีซั่นแล้วซีซั่นเล่า

15 ค่ำเดือน 11 (2002) กำกับ: จิระ มะลิกุล นำแสดง: อนุชิต สพันธุ์พงษ์, สมชาย ศักดิกุล, ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ "เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด" ไม่ใช่สโลแกนของเหล้ายี่ห้อไหน แต่เป็น Theme และหัวใจสำคัญของหนังไทยในดวงใจของนักดูหนังหลายคน ที่ถ่ายทอดการปะทะกันระหว่างความแตกต่างทางความคิดความเชื่อได้อย่างน่าสนใจ และเหมาะกับสังคมไทยในยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง

Hero (2002) กำกับ: จางอี้โหมว แสดง: เหลียงเฉาเหว่ย, จางมั่นอี้, เจ็ต ลี, ดอนนี่ เยน, เฉินเต้าหมิง, จางจื่ออี ตำนานของสามนักฆ่าที่ตามล่าศีรษะของเจ้ารัฐจิ๋น จอมทัพผู้เหี้ยมหาญที่ยกทัพไปปราบปรามรัฐต่าง ๆ ทั่วหล้าอย่างไร้ความปราณีเพื่อรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว และสถาปนาตนเองขึ้นเป็น จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) ในเวลาต่อมา

Ip Man 1+2 (2008), (2010) กำกับ: วิลสัน ยิป แสดง: ดอนนี่ เยน (เจิ้นจื่อตัน), เยิ่นต๊ะหัว, 
หลินเจียตง, ฟานซิ่วหว่อง, หงจินเป่า เรื่องราวของปรมาจารย์มวยหวิงชุน (หย่งชุน) แห่งกวางตุ้ง ยิปมัน อาจารย์ ของ บรูซ ลี ในช่วงวัยหนุ่ม อดีตเศรษฐีที่ตกอับยากจนจากภาวะสงคราม จนต้องสอนมวยประทังชีพ โชคชะตาลิขิตให้เขาต้องใช้มวยหวิงชุนเป็นเดิมพัน ฟาดฟันอย่างสุดมันกับอันธพาลชาวต่างชาติเพื่อกู้ศักดิ์ศรีของชนชาติมังกรคืนมา

The Matrix (1999) + V for Vendetta (2006) กำกับ: แอนดี้/แลร์รี่ วาคาวสกี้ แสดง: คีอานู รีฟส์, ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น, แครี่ แอนน์ มอสส์ กำกับ: เจมส์ แม็คทีก โปรดิวซ์ โดย แอนดี้/แลร์รี่ วาคาวสกี้ แสดง: ฮิวโก้ วีฟวิ่ง, นาตาลี พอร์ตแมน เรื่องแรกเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟแฝงปรัชญาสุดล้ำของสองพี่น้องวาคาวสกี้ ว่าด้วยการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ที่ตั้งแต่ออกฉายมันก็ปฏิวัติโฉมหน้าวงการหนังไซไฟไปตลอดกาล เรื่องที่สองเป็นผลงานโปรดิวซ์ของสองพี่น้องคนเดิม ที่ว่าด้วยโลกในยุคสมัยเผด็จการทรราชย์ครองเมืองและกดขี่ประชาชน ที่มีซูเปอร์ฮีโร่สุดโหดผู้สวมหน้ากากลุกขึ้นปลดปล่อยเหล่าประชาชนจากความมืดมนนั้น

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ ของ 10 หนังบันดาลใจ หนุ่มไฟแรงแห่งยุค วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook