เฮฮา! ทีมงานจับกลุ่มเม้าท์หนัง โยกี้ แบร์

เฮฮา! ทีมงานจับกลุ่มเม้าท์หนัง โยกี้ แบร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาดูสัมภาษณ์ ถามตอบแบบเม้าท์กลุ่ม จากทีมงานหนัง โยกี้ แบร์ แดน แอครอยด์ (โยกี้ แบร์), จัสติน ทิมเบอร์เลค (บูบู), แอนนา ฟาริส (ราเชล), ทอม คาวานอก์ (เจ้าหน้าที่อุทยานสมิธ), อีริค บรีวิก (ผู้กำกับ) และ แบรด โคพแลนด์ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) คำถามและคำตอบ คำถาม: คำถามแรกสำหรับจัสตินและแดนเกี่ยวกับสไตล์การพากย์ของพวกคุณ คุณพยายามพากย์ให้ใกล้เคียงกับตัวละครสมัยก่อน หรือใส่ความเป็นตัวเองลงไปบ้างเล็กน้อยสำหรับคราวนี้? แดน แอครอยด์: ครับ ผมว่าเราอยากทำให้ใกล้เคียงกับส่วนของการบรรยายนิสัยของตัวละครที่มีมาแต่แรกเริ่ม เพราะมันเป็นการสรรเสริญต่อแฟรนไชส์ของฮันน่า-บาร์เบร่าอันยิ่งใหญ่ เราเลยอยากซื่อตรงกับมัน จัสตินคงช่วยไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร และผมก็ช่วยไม่ได้ว่าผมเป็นใคร ดังนั้นผมว่าเราจะได้ยินการบรรยายอุปนิสัยตัวละครเอาไว้มากมายในแบบของเรา พวกบุคลิกลักษณะที่แสดงออกทางน้ำเสียง รวมไปถึงความชำนาญ ความสามารถและพลังมากมายทางด้านน้ำเสียงในแบบของเรา เสียงแห้งของเขามันน่าทึ่ง เขาเชื่อมต่อตัวละครนี้ แต่มันคือหมีโยกี้กับบูบูตัวจริง มันเป็นสองลักษณะกับนักแสดงสมทบที่เหลือเชื่ออย่างนักแสดงชายและหญิงที่มีฝีมือ จัสติน ทิมเบอร์เลค: ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่แดนบอก ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับขั้นตอนการพากย์เสียงตัวละครเหล่านี้ และความอัจฉริยะสุดๆ ของ อีริค ผู้กำกับ ที่เขามีแดนและผมเข้ามาบันทึกเสียงร่วมกัน เรามีการประชุมร่วมกัน 2-3 ครั้ง เพราะเราดูมันเหมือนแบตแมนกับโรบิน, หากคุณเหมือนเป็นคู่กัน มันจึงสร้างความแตกต่างของจังหวะการหยอกล้อได้จริงๆ เราคิดกันถึงเรื่องนั้นจังหวะการหยอกล้อกันระหว่างโยกี้และบูบูมีการเคลื่อนที่แบบนี้ได้ เพราะพวกเขามีมิตรภาพที่งดงามต่อกันมาก และอย่างที่ผมคิดว่าในการให้เสียงตัวละครที่โดดเด่นของพวกเราจำนวนมาก ผมว่าเราทั้งคู่รู้สึกเหมือนเป็นเกียรติที่ได้ให้การสรรเสริญต่อตัวละครของหลายช่วงอายุ และยังเข้าใจว่าตัวละครเหล่านี้กำลังถูกแนะนำให้ความทรงจำเด็กๆ รู้จักเป็นครั้งแรก เราจึงสนับสนุนให้พวกเขาได้รับความสดใหม่ การเล่าเรื่อง และแน่นอนว่ามีบางมุขในภาพยนตร์ที่ทันสมัยขึ้นนิดหน่อย ที่จะเล่นกับเด็กๆ ได้ดีขึ้นนะผมว่า นอกจากนั้นผมก็ตื่นเต้นกับการใส่เนคไทหูกระต่าย [หัวเราะ] คำถาม: ตั้งแต่คุณต้องแสดงเป็นพวกหมีๆ คุณอยากพูดอะไรถึงเด็กๆ เพื่อส่งเสริมการเข้าไปเยี่ยมชมสวนสาธารณะแห่งชาติและป่าไม้ แทนที่จะนั่งอยู่ในโรงหนังมืดๆ เย็นๆ? แดน แอครอยด์: โดยส่วนตัวผมต้องบอกว่า: หยิบหนังสือ หยิบแบล็คเบอร์รี่ หยิบแล็ปทอป หยิบมันออกไปอย่างน้อยช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยาว 4-5 วัน สัก 1-2 ครั้งต่อเดือน เรากำลังทำลายรัศมีแห่งความสนใจของยุคสมัยนี้ มันถึงเวลาที่จะย้อนกลับไปยังธรรมชาติแล้ว มันถึงเวลาจะออกไปข้างนอก และดูว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่ที่นั่น นอกเหนือจากเพื่อนๆ ของเราที่เป็นตัวหนังสือ [หัวเราะ] นี่เป็นคำถามที่ดีมาก โดยส่วนตัวแล้วผมสนับสนุนนะ ผมโตขึ้นในเส้นทางลึกของสวนสาธารณะแห่งชาติ และต้องเดินไปโรงเรียนเป็นระยะทาง 2 ไมล์ทั้งไปและกลับ ตอนที่ผมเคยดูโยกี้ในช่วงบ่ายหลังจากเดินผ่านสวนสาธารณะนี้ หมาป่าทิมเบอร์วูฟส์, ลำคลอง, กองหิมะ, ถนนทางหลวงแย่ๆ มันเหมือนเรื่องเล่าอย่างที่ปู่หรือย่าบอกเอาไว้ว่า ต้องเดินท่ามกลางหิมะเป็นระยะทาง 6 ไมล์ ผมต้องทำแบบนั้น [หัวเราะ] สิ่งเดียวที่มีความสุขคือการมาถึงบ้านเวลา 4:30 เมื่อแสงนั้นกำลังจะลับลงในควีเบ็ค, ประเทศแคนาดา และมีโยกี้อยู่ในจอทีวี นั่นแหละความสุขของผม ผมเลยมีการสำนึกในธรรมชาติอยู่เสมอ ผมละเลยมันมาในช่วงวัยเด็ก เราต้องวางพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลง และกลับไปสู่ธรรมชาติ ผมว่านั่นคือส่วนที่เราพอจะพูดได้ในวันนี้ ขอบคุณสำหรับคำถาม จัสติน ทิมเบอร์เลค: ขอโทษที ผมกำลังส่งข้อความให้คนอื่นอยู่ [หัวเราะ] ผมแสดงภาพยนตร์เกี่ยวกับจุดกำเนิดของสังคมเน็ตเวิร์ค แค่แสดงเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนั้น มันทำให้ผมเหมือนเป็นคนบ้าเลย มันเหนือกว่าสิ่งที่มันสมองผมจะรับได้ แต่ แดน แอครอยด์: และอีกกรณีหนึ่ง [ปรบมือ] จัสติน ทิมเบอร์เลค: โอ้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกนะ ผมโตขึ้นที่เทนเนสซี่ ที่ปลายทางของสวนสาธารณะ ผมจึงใช้เวลาส่วนมากอยู่ข้างนอก และผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่แดนพูด ผมคิดว่าเขาพูดได้ดีกับสิ่งที่เขากล่าว คำถาม: คำถามสำหรับอีริค บรีวิก ด้วยความช่ำชองประสบการณ์ในวงการ คุณช่วยพูดถึงเรื่องการนำตัวการ์ตูนที่น่ารักีน้มาอยู่บนจอยักษ์ในรูปแบบ 3 มิติ และคุณได้รับความท้าทายแบบไหนบ้างโดยเฉพาะด้านเอ็ฟเฟ็กต์? อีริค บรีวิก: ครับ พวกเรากล้าและบ้าพอที่จะพูดว่า 'เราจะออกไปที่ใจกลางป่าร้างของจริง พร้อมด้วยการพัฒนาขั้นสูงโดยทั่วไป, กล้องดิจิตอล 3 มิติ และถ่ายทำภาพยนตร์ที่ไม่มีการฉุดรั้งใดๆ มันมีแต่ความสนุกที่มากขึ้นกว่าที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ โดยรวมแล้วเราต้องมีการสร้างตัวละครที่จะเล่นสกีทางน้ำ, บินด้วยเครื่องร่อน, แข่งล่องแพบนน้ำใสด้วยคอมพิวเตอร์ และก็มีกล้องอยู่ที่นั่นด้วย' มันจึงขึ้นอยู่กับทีมงานผมที่จะคิดหาวิธีว่า เราจะบินได้อย่างไรด้วยพวกเทคโนโลยีบ้าๆ ทั้งหมดนี้ และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาวุ่นวายในการบอกเล่าเรื่องราว ผมว่าหากคุณได้เห็นภาพยนตร์ คุณจะไม่รู้สึกว่ามันมีการควบคุมใดๆ สำหรบัผมแล้ว นั่นเป็นความท้าทาย และเป็นชัยชนะที่เราไม่ต้องไปนึกถึงพวกเทคโนโลยี เราทำในเบื้องหลังฉากต่างๆ นั่นเป็นงานของเรา แต่ผมรู้สึกว่าในด้านของการทำงานร่วมกับนักแสดงต่างๆ ในฉาก, การถ่ายทำภาพยนตร์ธรรมชาติ และผลลัพธ์สุดท้ายคือการเพิ่มพวกหมีจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเข้าไป มันค่อนข้างเป็นภาพยนตร์ที่มีเทคโนโลยีซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยทำมา ณ วันนี้ และผมไม่คิดว่าเราจะคิดถึงมันซ้ำสองหรอก สำหรับผมแล้วมันสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วจริงๆ คำถาม: แอนนากับทอม คุณช่วยพูดถึงเรื่องการแข่งขันแพลอยน้ำ คุณลงไปในเรือจริงๆ ใช่มั้ย? คุณสร้างพื้นที่สำหรับพวกหมีที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นได้อย่างไร และประสบการณ์ของสายน้ำใสทั้งหมดนั่นเป็นอย่างไรบ้าง? แอนนา ฟาริส: จริงๆ แล้วมันสนุกสนานมาก เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นความตื่นเต้นมากที่สุดในการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฉันเคยทำมา ฉันว่าในจุดหนึ่งมันเหมือนกับน้ำเชี่ยวระดับแรงสุด และขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีทอม เขาแข็งแรงเหมือนนักกีฬาจริงๆ ตอนที่อยู่กับฉันในเรือ เพราะฉันช่วยอะไรไม่ค่อยได้เลย ฉันว่าในบางมุมเราก็มีสตั๊นท์แมนอยู่เบื้องหลังที่มานั่งประจำแทนที่โยกี้ แต่เราก็ต้องถ่ายทำฉากที่มีเพียงเรา 2 คนอยู่ในเรือ และเราคอยระวังเรื่องบทบาทอันมากมายอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่จริงๆ แล้วเราต้องยืนตรงนั้นและต้องคอยระวังเรื่องระดับสายตาให้สัมพันธ์กับด้านบนที่มองขึ้น บ่อยครั้งที่มันเป็นพวกพุ่มไม้หรือใบไม้หรืออะไรสักอย่าง แล้วเราก็ลืมมันไป อย่างน้อยฉันก็ลืมทุกครั้งเลยว่าโยกี้ตัวใหญ่ขนาดไหน มันจึงเป็นความท้าทายและสนุกนาน รวมถึงตื่นเต้นมากในตอนนั้นอย่างแน่นอน ฉันไม่คิดว่าฉันถูกเหวี่ยงลงไปในน้ำ แต่ก็เกือบไปแล้วตั้ง 2-3 ครั้ง ทอม คาวานอก์: ใช่ เกือบไปแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ด้วยเครื่องควบคุมความปลอดภัย ถึงยังไงคุณก็ไม่ถึงตายหรอกน่า [หัวเราะ] เราควบคุมการไหลเวียนของน้ำ 2 ครั้งต่อวัน และอีกครั้งตอนที่ซ้อมสตั๊นท์ไม่กี่ครั้ง เราเลยทำได้แค่แสดงฉากสตั๊นท์ 2 ครั้ง และหนึ่งในการแสดงสตั๊นท์นั้น เขาทำแพคว่ำ เขาเป็นพวกชาวนิวซีแลนด์ และพวกเขาเป็นคนที่อึดมากกว่าที่เราจะจินตนาการได้ 'ใช่, ผมกำลังจะไปวัดขนาดเขาลูกนั้นล่ะน้องชาย' ดังนั้นส่วนหนึ่งเขาจึงลงไปพลิกแพให้คว่ำ

อีริค บรีวิก: พวกเขาพยายามทำให้มั่นใจว่ามันปลอดภัยสำหรับเหล่านักแสดงที่จะลงไป ทอม คาวานอก์: แล้วสตั๊นท์แมนก็เดินมาหาผม เขาพูดว่า 'โอ้ น้องชาย ถ้าคุณจะทำแบบนั้นก็โม้แล้ว' [หัวเราะ] ถึงอย่างไรเราก็ทำ มันเป็นความกล้าได้กล้าเสียอย่างบ้าๆ แต่เราก็รอดมาได้ คำถาม: จัสติน คุณชอบทำเสียงแบบบูบูมาตลอดเลยหรอ? จัสติน ทิมเบอร์เลค: เอาล่ะ ด้วยความเสี่ยงต่อชีวิตทางสังคมของผม ผมจะตอบละกัน [หัวเราะ] อันที่จริงมันก็ตลกพอตัว ผมเรียนรู้วิธีร้องเพลงเลียนแบบนักร้องอย่าง Al Green และ Michael Jackson และ Don Henley ในวิทยุตอนเป็นเด็กนั่นเป็นเพียง 2-3 คนที่ผมจำได้ในหัวอันดับต้นๆ นะ แต่ผมก็เป็นแค่เด็กและเห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ ผมสร้างความสนุกสนานให้พ่อแม่ด้วยการเลียนแบบสกูบี้ดูและบูบู ผมเลียนแบบเสียงการ์ตูนทุกตัว ตอนนี้คุณก็รู้เรื่องเกี่ยวกับผมแล้ว มันเป็นเรื่องแปลก [หัวเราะ] คำถาม: สำหรับนักแสดงแล้ว ภาพยนตร์ให้บทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเงิน จัสติน ทิมเบอร์เลค: และสิ่งแวดล้อมด้วย คำถาม: และแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณช่วยพูดถึงคติสอนใจที่เด็กๆ จะได้รับ และบทเรียนชีวิตที่คุณได้เรียนรู้จากพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องเงินให้ฟังหน่อย? แดน แอครอยด์: โถ่ [หัวเราะ] พ่อแม่ของผมไม่มีเงินหรอก มันเป็นเงินหมุน; มันหมุนเวียน เราได้สัมผัสเงินเพียงนิดเดียวแล้วมันก็หมุนไป นั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้มาเกี่ยวกับเรื่องเงิน มันเหมือนกับน้ำที่ไหลเวียนไป เราไม่มีวันเก็บมันไว้ได้ ในฐานะที่เป็นศิลปินผมก็เก็บมันไม่ได้ แต่ผมว่าถ้าใครตายไปพร้อมเงินสักเหรียญในธนาคารคือคนโง่นะ [หัวเราะ] ผมเดาว่าผมจะต่อต้านกับพวกอนุรักษ์นิยม ผมเป็นคนใช้เงินอย่างประหยัด จัสติน ทิมเบอร์เลค: ครับ มันมีประเด็นใหญ่ 2 เรื่องที่ชดเชยกันไปสำหรับเด็ก เหมือนอย่างที่แดนกล่าวเป็นนัยเอาไว้ถึงเรื่องที่ตอนนี้เด็กๆ ติดเทคโนโลยีมากแค่ไหน เราอาศัยอยู่ในยุคของเทคโนโลยี มันดีที่ได้รู้ว่าเราใช้เทคโนโลยี 3 มิติที่โรงเรียนหรือหากขาดคำอธิบายที่เหมาะสม เด็กๆ ในสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกอย่างไร และขอแสดงความยินดีกับวอร์เนอร์ บราเดอร์ส อย่างจริงใจที่คว้าโอกาสทำเช่นนั้น มันเป็นวิธีเข้าถึงจิตสำนึกเด็กๆ ได้ดีมาก และตอนนี้มันมาพร้อมกับภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในรูปแบบ 3 มิติ ผมเพิ่งไปชมภาพยนตร์เมื่อคืน มันทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่ผมดูเรื่อง Who Framed Roger Rabbit? ที่ผมคิดว่าเป็นภาพยนตร์คลาสสิคยอดเยี่ยมเกรด A+ ในรูปแบบ 3 มิติ ที่สามารถอบรมจิตสำนึกเด็กๆ ได้อย่างดีว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก และเราต้องการต้นไม้เพื่อการหายใจ [มันยอดมาก] แบรด โคพแลนด์: ผมไม่รู้ว่ามันมีเรื่องเงินในแง่ของเศรษฐกิจมากมาย แต่ในเวลาเดียวกันผมเขียนเรื่องนี้ตอนพี่พวกเขากำลังปิดตัวสวนสาธารณะในแคลิฟอร์เนีย และพูดกันเรื่องการขายสวนสาธารณะแห่งชาติของแคลิฟอร์เนียกลับไปให้รัฐบาลส่วนกลาง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ในเชิงเศรษฐกิจที่ผมพยายามนำเสนอในภาพยนตร์ สวนสาธารณะแห่งชาติเหล่านี้มีความพิเศษจริงๆ หากเราสูญเสียมันไป เราจะไม่มีวันได้มันกลับมา; พวกมันต้องดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งแน่นอนว่านั่นคือประเด็นใหญ่ของภาพยนตร์ที่ผมหวังว่าจะเชื่อมโยงถึงกันได้ แดน แอครอยด์: เหล่าตัวการ์ตูนของฮันน่า-บาร์เบร่าที่สร้างสรรค์ขึ้น มักมีความหมายในตอนท้ายเล็กๆ ถึงการช่วยเหลือเพื่อนและการอยู่เคียงข้างกัน มักจะมีจุดหักมุมเล็กๆ ในการเขียนที่มีเรื่องของศีลธรรม สังคม หรือคำสอนด้านจริยธรรมอยู่ในการ์ตูนนิดหน่อย นั่นคือเหตุผลว่าผมโตขึ้นมาทำสิ่งที่ถูกต้อง มีศีลธรรมและมีมารยาท [หัวเราะ] มันมาจากการ์ตูน ไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลมากนัก แต่ผมก็อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วย ทอม คาวานอก์: มีการพยายามย้อนกลับไปในยุค 60 และ 70 อยู่เสมอ ที่ฮันน่า บาร์เบร่า สร้างการ์ตูนเหล่านี้ขึ้นมา โดยพวกมันถูกใช้เป็นสื่อกลางในการส่งสารผ่านไปถึงเด็กๆ ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมว่ามันหายไปในยุคสมัยใหม่ ผมรักที่จะย้อนกลับไปในวันที่ภาพยนตร์ทุกเรื่องพยายามมีสาระส่งผ่านถึงเรา คำถาม: การทำงานในป่ากว้างที่เปรียบเทียบกับในฉากเป็นอย่างไรบ้าง? และสำหรับแดนกับจัสติน คุณรู้สึกเป็นคนนอกหรือเปล่าหลังจากชมภาพยนตร์ ที่คุณไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยอันกว้างใหญ่นั้น? ทอม คาวานอก์: ครับ สำหรับเราแล้วมันน่าประหลาด มันงดงามอย่างไม่มีที่ติ และผมว่ามันเชื่อมโยงในคำถามก่อนหน้านี้ที่มันเป็นความสนุกสนาน และเป็นข้อได้เปรียบที่อยู่ภายนอกป่าอันยิ่งใหญ่ที่งดงามนี้ และความสวยงามของทุกสิ่งในทุกวัน ผมว่าประเด็นสำหรับเด็กคือ หากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ปรากฏตรงนั้นจริงๆ ออกไปเพลิดเพลินกับตัวเองนอกบ้าน สนุกสนานไปกับธรรมชาติ เดินหน้าไปเลย แอนนา ฟาริส: ขอพูดเสริมหน่อย ฉันว่าภาพยนตร์ทั้งเรื่องนี้สามารถทำให้เสร็จได้ในโรงถ่าย ฉันรู้สึกโชคดีมากที่เราได้อยู่ที่นิวซีแลนด์จริงๆ และได้ถ่ายทิวทัศน์ที่งดงามพวกนี้ ฉันว่ามันให้ความเขียวชอุ่มและความถูกต้องมาสู่ภาพยนตร์ที่ไม่น่าจะมีได้ และแน่นอนฉันรู้สึกว่าเป็นข้อได้เปรียบ แดน แอครอยด์: เมื่อ 2 ปีที่แล้วผมเห็นพวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง โยกี้ แบร์ ผมเลยพูดกับตัวแทนของผมว่า 'เราต้องติดตามเรื่องนี้แล้วล่ะ เพราะอย่างแรกเลยคือผมชอบตัวละคร ผมก็เคยทำการแสดงมาบ้าง และพวกเขาก็ต้องการนักแสดง [หัวเราะ] จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เสียงนะ' และผมก็เข้าร่วม ซึ่งแน่นอนว่ามีการออดิชั่นอย่างยอดเยี่ยมและได้ความเชื่อถือจากโดนัลด์ [เดอไลน์] ผู้อำนวยการสร้างรวมถึงทุกคนๆ คน และก็ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ตัวแทนของผมโทรมาบอกว่า 'ทายซิ? พวกเราจะถ่ายทำที่นิวซีแลนด์ เราคุณจะได้ตั๋วไป-กลับชั้นเฟิร์สคลาส ภรรยาของคุณก็ไปได้นะ คุณต้องเดินทางไป 2 อาทิตย์' ในชีวิตผมไม่เคยไปนิวซีแลนด์มาก่อน ผมเคยคิดว่าผมจะไปนิวซีแลนด์ [หัวเราะ] แต่ผมว่าตัวแทนทำแบบนั้นในบางครั้ง พวกเขาบอกอะไรสักอย่างกับเราแล้วเขาก็จะพูดว่า 'มันก็เป็นความจริงในช่วงเวลานั้น' จัสติน ทิมเบอร์เลค: จริงหรอ? [หัวเราะ] แดน แอครอยด์: มันก็เป็นความจริงในช่วงเวลานั้น ฉะนั้นไม่ ผมไม่เคยแสดงที่นิวซีแลนด์ แต่ผมก็ไม่อึดอัดใจเรื่องนั้นหรอก ผมคิดไว้ว่าสวนสาธารณะจะต้องสวย มีทะเลสาบ และแน่นอนว่ามันทำให้ผมนึกถึงแคนาดาที่ผมโตมา และเกี่ยวกับความหมายของการออกไปข้างนอกอีกครั้ง รวมถึงการเห็นคุณค่าในธรรมชาติ ในยุคสมัยนี้ได้เปลี่ยนแปลงโลกไป ผมหมายถึงเราได้เห็นการเตือนของวอชิงตันในตอนนี้เกี่ยวกับภาวะที่เป็นหนี้ เรากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ที่เป็นภัยพิบัติในส่วนของน้ำแข็งทั้ง 2 ขั้วโลก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว มันขึ้นอยู่กับคนยุคใหม่ตอนนี้ที่ต้องออกไปคิดดูว่าพวกเขามีอะไรอยู่บ้าง และพยายามมีการเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น ผมคิดเอานะว่า ออกไปในพื้นที่ทำการเกษตรและนำพื้นฐานทางด้านสังคมกลับมาสู่ชุมชนเมือง ดังนั้นบางทีภาพยนตร์เรื่องนี้อาจช่วยได้บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่ามันเป็นการสร้างความสนุกสนานและนั่นแหละคือจุดหลัก คำถาม: จัสตินกับแดน ความดึงดูดใจของการให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์เมื่อเทียบกับแบบไลฟ์แอคชั่นคืออะไร? ความดึงดูดใจโดยเฉพาะสิ่งนี้คืออะไร? จัสติน ทิมเบอร์เลค: ครับ ผมตอบคำถามสุดท้ายได้นะ พวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์ไลฟ์-แอคชั่นทั้งหมดนี้ที่นิวซีแลนด์ และแดนกับผมก็โชว์เสียงของตัวละครเหล่านี้ให้ฟัง มันเหมือนภาพร่างลายฉลุคร่าวๆ แบบแปลกๆ ของตัวละครที่ผ่านพ้นไป จากนั้นก็เป็นงานของเราที่ต้องหาสิ่งที่เราคิดว่ามันตลก และเป็นมุมของตัวละครต่างๆ ผ่านสถานการณ์และความสัมพันธ์ของพวกเขา ผมดูและก็พูดว่า นี่พวกนายถ่ายทำกันที่นิวซีแลนด์หรอ? ผมไม่รู้มาก่อนเลยจนกระทั่งแสดงเทปบันทึกของการประชุมครั้งแรก และผมอิจฉาสุดๆ ผมอยู่ในสตูดิโอบันทึกเสียงประมาณ 3 ชั่วโมงก็เสร็จงานของผมสำหรับวันนั้น และถ้าคุณรู้จักสตูดิโอของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส มันมีระยะทางประมาณ 1 ไมล์จากทะเลสาบทัลลูก้าที่มีคลับกอล์ฟอยู่ จากนั้นผมก็ไปเล่นกอล์ฟ 18 หลุม และไม่รู้สึกแย่กับความเป็นจริงที่ผมไม่ได้ไปนิวซีแลนด์เลย [หัวเราะ] แต่ผมว่าสำหรับผมแล้ว ผมโตขึ้นมาอย่างดีพร้อมกับพวกตัวการ์ตูนของฮันน่า-บาร์เบร่า ผมเลยคิดว่าจริงๆ แล้วโดนัลด์น่าจะให้บทบาทนี้กับผมเหมือนคนตาบอดในโอกาสให้ทำสิ่งนี้ และผมไม่คิดว่าเขาจะรู้หรอกว่า ตลอดเวลาผมโตขึ้นมาด้วยการเป็นตัวบูบู ฉะนั้นบางทีโดนัลด์อาจคิดถึงเรื่องนั้นในอนาคต พวกเขาเป็นตัวละครที่โดดเด่นและพวกเขาก็สุดยอดเลย ผมโตขึ้นมาพร้อมกับโยกี้และบูบู หัวเราะใส่พวกเขาตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมว่าความคิดถึงในอดีตอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมแสดง แดน แอครอยด์: ทั้งหมดแล้วมันไม่ใช่แค่เสียงนะ ผมหมายถึงการก้าวเข้ามาในที่นี้ด้วยการแสดงที่ยิ่งใหญ่ และมันเป็นมุขของจัสตินในฐานะนักแสดงและตัวตลกที่ดึงมันออกมา และอย่างที่ผมพูดว่า การบรรยายถึงอุปนิสัยตตัวละครน่ารัก และเสียงมันแห้งจริงๆ และผมว่าจริงๆ แล้วบูบูมีเหตุผลเหมือนมันสมองของดร.วัตสัน เชอร์ล็อคเดินเข้ามาพร้อมแผนการต่างๆ แต่บูบูเป็นคนปรามให้เขาสงบลง แดน แอครอยด์: โอ้ใช่ เขาเหมือนผู้โน้มน้าวการกระทำทั้งหมดในยุคโรมโบราณ จักรพรรดิจะเข้ามาในเมืองด้วยชัยชนะ และได้พวงมาลาประดับ รวมถึงทุกๆ อย่างที่เหวี่ยงไปที่เขา และผู้โน้มน้าวก็อยู่ข้างหลังเขาคอยบอกว่า ท่านต้องตาย ท่านมันไร้ค่า ทั้งหมดนี้จะหายวับไป จำความผิดนั้นได้มั้ย? เงียบซะ

คำถาม: คุณจะร่วมงานกันอีกครั้งหรือเปล่า? แดน แอครอยด์: รู้อะไรมั้ย? ในใจลึกๆ แล้ว ต้องมีแน่นอน จัสติน ทิมเบอร์เลค: แน่นอน เราสนุกสนานมากและอย่างที่ผมบอกเอาไว้ การที่แดนและผมทำงานร่วมกัน มันสร้างความแตกต่างขึ้นมากจริงๆ เหมือนกับที่ทอมและแอนนาต้องแสดงฉากร่วมกัน พวกเขามีภาระหนักกว่าที่พวกเราต้องแสดงอีก เหมือนที่แอนนาบอกไปว่าต้องจำ 8,000 กว่าสิ่ง และต้องไม่ลืมแสดงสิ่งที่เป็นความสามารถ แต่ผมไม่เคยต้องทำแบบนั้นเลย ที่ต้องคอยจองมองลูกเทสนิส อย่างที่เราบอกว่าใช้เป็นจุดอ้างอิง แดน แอครอยด์: โอ้ ผมมีนะ [หัวเราะ] จัสติน ทิมเบอร์เลค: ดังนั้นการทำงานร่วมกับแดนครั้งนี้ รู้สึกเหมือนเราเป็นตัวละครที่ทันสมัยจริง และรวมถึงการสร้างมิตรภาพของพวกเขาขึ้นมา มันมีความแตกต่างมากกว่าการมีนักแสดงเข้ามาในฉากตอนนั้นและก็แค่อ่านบท ผมรู้สึกว่าเราพบอะไรหลายอย่างที่เราว่ามันตลก และอีริคก็คอยผสมผสานไอเดียต่างๆ มันเป็นการร่วมงานกันที่เจ๋งมาก และเรามีความสนุกมากที่ได้ทำมัน แดน แอครอยด์: นักแสดงไม่ต้องจัดการตัวเองเลย จัสติน ทิมเบอร์เลค: แน่นอน อีริคมีการสร้างปฏิสัมพันธ์หลายอย่างเลย คำถาม: สำหรับผู้เขียนบทและผู้กำกับ มันเป็นความตั้งใจของคุณมาโดยตลอดหรือเปล่า ที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งหมดในรูปแบบ 3 มิติ หรือมันมีความกดดันที่ให้ทำแบบนั้นมั้ย การเห็นภาพยนตร์มาหลายเรื่องจึงนำไปสู่เส้นทางนั้น? และคุณจะมีคำบอกเล่าอะไรที่จะบอกนักการเมืองที่ฉ้อฉล? อีริค บรีวิก: ผมจะตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่อง 3 มิติละกัน [หัวเราะ] ครับ มันเป็นความตั้งใจมาโดยตลอด ภาพยนตร์เรื่องก่อนที่ผมกำกับให้วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เป็นภาพยนตร์ไลฟ์-แอคชั่น ดิจิตอล 3 มิติเรื่องแรก และโดยส่วนตัวแล้วมันเป็นสิ่งที่ผมสนุกสนานมากที่ได้ร่วมงานในฐานะสื่อกลาง ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการสร้างภาพยนตร์ที่ดี และในช่วงเริ่มแรกผมบอกว่า 'มาสร้างในรูปแบบ 3 มิติกันเถอะ' และเหล่าผู้อำนวยการสร้างกับสตูดิโอก็อยู่เบื้องหลังเรา จากนั้นเราก็เห็นเป็นรูปเป็นร่างภายหลังว่าจะทำมันอย่างไร แต่มันคือจุดมุ่งหมายมาโดยตลอด ผมว่ามันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะลากผู้ชมให้อินไปกับเรื่องราวและตัวละครเหล่านี้ที่สุดมหัศจรรย์ได้ ผมขอพูดถึงอีกเรื่องเกี่ยวกับเหล่านักแสดง บางครั้งเราพูดกันถึงเรื่องหมีที่สร้างจากแอนิเมชั่นขึ้นมา ผมคอยบอกเสมอว่านี่คือภาพยนตร์สนุกสนาน ที่มีตัวละครเป็นหมี 2 ตัว และในส่วนของเหล่าตัวละครและเหล่านักแสดง ทั้งหมดล้วนเป็นนักแสดงที่เก่ง และพวกเขาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเอาไว้บนจอภาพยนตร์ บางคนก็เพิ่งเข้ามาเป็นผู้ช่วยด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่เราจะแยกความแตกต่าง ระหว่างคนที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น และบางคนที่อยู่ที่นั่น ในตอนท้ายของภาพยนตร์แล้วพวกเขาอยู่ที่นั่นตลอด และผมคิดถึงในส่วนของความมุ่งมั่นของเหล่านักแสดงและตัวผมเอง ตอนที่เราถ่ายทำภาพยนตร์ ตัวละครเหล่านั้นมีชีวิตและกำลังทำการแสดง และผมโชคดีพอที่ได้ตัวสุภาพบุรุษทั้งสองเข้ามายกระดับการแสดง แถมยังเป็นนักแสดงที่เก่งมากด้วย แบรด โคพแลนด์: ผมจะตอบคำถามเรื่องนักการเมืองละกัน บอกตามตรงว่ามันไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับพวกนักการเมืองที่ทุจริตหรอก ผมว่ามันมีสื่อกลางแสดงให้เห็นเรื่องนั้นเยอะพอแล้ว มันจึงเป็นความสนุกแบบใสๆ ที่มีคนชั่วและคนดี แอนดรูว์ เดลี่ที่แสดงเป็นนายกเทศมนตรี ผมเคยร่วมงานมาด้วยนิดหน่อยในโชว์ที่มีชื่อว่า Eastbound and Down เขามีพรสวรรค์และเป็นตัวตลกที่มีความสามารถที่ทำให้ตัวละครที่อยู่รายล้อมเขาให้มีความรู้สึกได้ แต่ไม่มีรูปแบบเรื่องการเมืองจริงๆ อยู่ในนั้น คำถาม: ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวละครเหล่านี้มีความโดดเด่นและเป็นอมตะ? และมาตรฐานการทดสอบที่คุณอยากทำให้มั่นใจว่าคุณนำมาสู่การแสดงคืออะไร? แดน แอครอยด์: ครับ ตัวละครพวกนี้เป็นที่ยอมรับในสังคมวัฒนธรรมของชาวอเมริกามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 1960 และครั้งแรกที่ผมเดินเข้ามา ผมจำได้ว่าเดินทางจากบ้านไปยังโรงเรียน และสนุกไปกับการดูโยกี้ตอน 4 โมงเย็น และพอจัสตินพากย์เสียง เขาคว้ามันไว้ได้ทุกอย่างเลย ผมถามว่า 'คุณเกิดทันหรอ? คุณยังไม่เกิดตอนยุค '60' และแน่นอนว่าผมลืมฉายซ้ำด้วย เขาสร้างเส้นทางอาชีพของเขาตอนวัยหนุ่ม และอย่างที่เรารู้กันว่า ประวัติของเขาจริงๆ แล้วคือผู้สร้างความบันเทิงตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และพวกการ์ตูนเป็นเหมือนสิ่งผ่อนคลายความเครียดของสิ่งที่เขาพบเจอช่วงนั้น เราทั้งคู่เลยหาที่พักพิงจากตัวละครเหล่านั้น และผมว่าเราสามารถเพิ่มจำนวนนั่นขึ้นมาในยุคสมัยของคนรุ่นนี้ และคนที่จะติดตามรุ่นต่อมา นั่นคือเหตุผลที่ทำไมมันถึงตราตรึงใจมาก เพราะมันเข้ามาแทรกซึม รวมถึงมันถูกเขียนและถูกสร้างขึ้นอย่างดี แม้ว่ามันจะเป็นพวกแอนิเมชั่นที่ไร้มิติที่ล้าสมัย ตัวละครก็ยังได้รับความสนใจอย่างดีอยู่ พวกเขามีความรู้สึกและความน่ารักมากมายในตัวพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ คำถาม: ความท้าทายของการสร้างตัวละครเหล่านี้ขึ้นมาคืออะไร? แดน แอครอยด์: เห็นได้ชัดว่าเป็นการพยายามพากย์ให้ได้เสียง และเจตนารมณ์ของตัวละครกับความตลกในสิ่งที่โยกี้คิดอยู่ จัสติน ทิมเบอร์เลค: ใช่ และแค่การสะท้อนการกระทำนั้น ผมแสดงบางส่วนด้วยตัวเอง เมื่อมาถึงปลายทางของขั้นตอนพร้อมอีริคและเหล่าผู้สร้างแอนิเมชั่นทั้งหลาย และผู้คนอีกหลายพันที่เข้ามาสร้างภาพยนตร์แบบนี้ อย่างที่แดนบอกเอาไว้ว่า ฮันน่า-บาร์เบร่า มีความสามารถพิเศษในการยืนหยัดการทดสอบแห่งกาลเวลา และความเป็นจริงที่มันมีความคิดถึงในอดีตเก็บไว้อยู่มาก และมีน้ำหนักจริงๆ ในฐานะคนยังหนุ่ม อย่างที่ทำกับแดนที่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ตัวละครเหล่านี้มีการคิดอย่างถี่ถ้วน ตอนที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ฉะนั้นการพากย์เสียงให้บูบูก็ใช่ ผมมีคนที่มีการ์ตูนเก่าในยุค '60 และ '70 อยู่ในมือ พร้อมด้วยเสียงบูบูแบบต้นฉบับ ที่ผมนั่งฟังมันระหว่างเทคและก่อนที่เราจะเริ่มช่วงของเรา จากนั้นมันต้องใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที เพื่อให้ได้การผสมผสานของเหล่าตัวละครในระดับที่ถูกต้องของคุณออกมา ทั้งหมดนี่มันน่าเบื่อ และเป็นการให้เสียงที่ดูไร้สาระ [หัวเราะ] หลังการบันทึกเสียง 20 นาทีแรก ผมอยากจะย้อนกลับไปบันทึกทุกอย่างที่บันทึกไว้ตอนครึ่งแรกของพวกเราใหม่ เพราะเหมือนจังหวะของเสียงยังไม่ลงตัว และมีการเปลี่ยนเสียงสูงต่ำ ฉะนั้นผมเป็นคนทำลายความสุขุมที่ผมมีก่อนมาถึงที่นี่ [หัวเราะ] แต่ผมว่ามาตรฐานการทดสอบก็เหมือนที่แดนพูดไว้แล้ว ความยิ่งใหญ่ ความสะเพร่าและเกือบเป็นความไร้สาระของโยกี้ที่เขาสามารถพบได้ และแสดงเอาไว้ได้อย่างสนุกสนาน ผมว่าผมอยากเป็น บัสเตอร์ คีตัน ถ้าทำได้ผมจะไปชดเชยความไร้สาระนั่น ที่เหมือนกับรูปแบบของ Laurel และ ดังนั้นหากบูบูเป็นผู้เตือนสติอยู่ตลอดเวลา ผมว่ามันจะยิ่งตลกมากขึ้น หากเขาทำแบบนั้นด้วยเสียงที่แห้ง เพื่อชดเชยในสิ่งที่ตัวละครโยกี้ควรจะเป็นเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ เฮฮา! ทีมงานจับกลุ่มเม้าท์หนัง โยกี้ แบร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook