ผู้กำกับอารมณ์ดี ยอร์ช ฤกษ์ชัย ชีวิตมีแต่ความตลก
Guest Talk ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์(ยอร์ช) : ช่างน่าอิจฉา ชีวิตมีแต่ความตลก
ถ้าจะพูดถึงผู้กำกับหนังแนวตลกในบ้านเราที่จัดว่าประสบความสำเร็จ ต้องมีชื่อของเขาคนนี้ "ยอร์ช" หรือ ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ ติดอยู่ในนั้น เมื่อผลงานการกำกับภาพยนตร์ของเขาตั้งแต่เรื่องแรกคือ "พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า" ได้รับกระแสตอบรับที่ดีทั้งในเรื่องของกระแสและรายได้
จากนั้นจึงมีผลงานตามมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า, โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า, โหดหน้าเหี่ยว, 32 ธันวา ล้วนเป็นหนังที่ทำรายได้ทั้งนั้น ทั้งที่เขาไม่ใช่คนตลก แต่ทำหนังตลกให้โดนใจคนดูได้ ส่วนหนึ่งมาจากความคิดที่ฉีกของเขา ซึ่งไม่ได้นำมาใช้ในเรื่องงานอย่างเดียว แต่ยังนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ลองมาฟังมุมมองและความคิดของผู้ชายคนนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตของเขาช่างน่าอิจฉาซะจริงๆ
"ผมไม่ได้เป็นคนตลกแต่ชอบเรื่องตลกมากทั้งชอบพูดและชอบฟัง เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ผมชอบเชียร์ให้เขาเล่าเรื่องตลกมากกว่าแล้วผมก็เก็บข้อมูล แล้วจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากกำกับหนังนะเพราะผมไม่ได้มีทักษะในการกำกับฯ แต่ผมชอบคิดและมีความสุขกับการคิดเรื่องตลก แต่เผอิญมันมีโอกาสได้มากำกับฯเลยทำ"
เวลาคิดเรื่องตลกมองจากอะไร
"มนุษย์ครับ ผมเห็นมนุษย์ ผมชอบคิดมนุษย์ให้เป็นเรื่องตลก ผมเห็นอะไรชอบคิดไปทางเลอะเทอะไปทางบันเทิง แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ผมเคยเสียใจสุดๆ ผมเคยคิดว่าในขณะเสียใจสุดๆ แล้วต้องทำตลกจะเป็นยังไง ผมเคยอยู่ในงานศพของคนที่สำคัญคนที่ผมรักมากที่สุด ผมเคยคิดทำยังไงถึงจะตลก ผมเลอะเทอะมาก ผมเดินเข้าไปห้องน้ำแล้วลองหัวเราะกับตัวเอง ถ้าเกิดสมมติเรากำลังเสียใจมากๆ แต่เราเป็นโรคภูมิแพ้ที่อยู่ดีๆ แล้วหัวเราะ เราควบคุมการหัวเราะไม่ได้ ถ้าเราอยู่ในงานศพแล้วต้องหัวเราะคงตลกดีนะ เราก็ลองทำดู ผมเป็นแบบนี้เป็นโรคจิต แล้วผมเป็นคนที่รักสนุกและรักสบาย พอคนที่รักสนุกและรักสบายทุกอย่างเลยมองเป็นเรื่องสนุก"
มีช่วงไหนในชีวิตที่ไม่สนุกบ้างมั้ย
"มีครับ เรื่องขั้นตอนการถ่ายทำบางทีตลกไม่ออก เพราะซีเรียสต้องทำให้ออกมาดี ยุ่งยากมากๆ ทำให้ความตลกหายไป ผมเลยตัดขั้นตอนเหล่านั้นออกไปเยอะเพราะผมกลัวผมจะไม่ตลกและไม่สบาย อีกอย่างที่ไม่ตลกเลยคือขั้นตอนการเตรียมงาน เช่นตระเตรียมการถ่ายทำ เตรียมอุปกรณ์ การนัดคิวนักแสดง พวกนี้ไม่ตลกอยู่แล้ว แต่พอทุกอย่างมาครบแล้วผมจะแปรรูปกลับมาเป็นคนเดิมตลกเหมือนเดิม"
เคยเครียดบ้างมั้ย
"น้อยมาก ครั้งสุดท้ายตอนแม่ตาย ในชีวิตเรามีแม่คนเดียวพอแม่เสียเรางงๆ ต่อไปเราจะรักใครจะทำอะไร แล้วผมไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตที่จริงจังไม่ได้อยากรวย มีแต่แม่นี่แหละที่เรารัก พอแม่จากไปเราเลยไม่รู้จะซีเรียสกับเรื่องอะไรก็ไม่ต้องซีเรียส เอาแค่ชีวิตอยู่ได้ก็พอ"
พูดง่าย แต่บางคนก็ทำไม่ได้เหมือนยอร์ช
"คือชะตาชีวิตของคนเราต่างกัน ผมอาจจะโชคดีที่ผมได้มีงานทำอยู่เรื่อยๆ และดันได้งานทำที่ตัวเองชอบเลยเป็นโชค นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าตัวเองชอบเรื่องตลกจังเลย"
ชีวิตช่างน่าอิจฉา
"ผมยังอิจฉาตัวเองเลย ผมว่าทุกคนเป็นแบบนี้ได้ถ้ามีแนวคิด ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่าไม่มีความสุขหรือความทุกข์ที่จะอยู่กับเราได้นานๆ แล้วมันก็จะผ่านไป ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ได้ก็จะเป็นแบบผมได้ ผมแปรรูปเก่งนะ ผมเคยแปรรูปความทุกข์ให้เป็นความสุขได้ ง่ายๆ เลยครับคือไอ้ความทุกข์ที่เราประสบอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ได้มีเราคนเดียวที่เจอ เช่น ไม่มีเงิน เราไปมองดูคนอื่นเขาก็ไม่มีเงินเหมือนเรา ถ้าโลกนี้มีเราเป็นคนเดียวก็ทุกข์ไปเถอะ แต่นี่ไม่ได้มีเราคนเดียวที่เป็น เพราะฉะนั้นคนอื่นยังอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ผมไม่สนุก หรือขำไม่ออก เมื่อผมต้องไปอยู่ในที่ที่ผมไม่ชอบหรือกับคนที่ผมรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์บีบคั้นผมจะตลกไม่ออก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป"
ผูกขาดหนังตลก
"เพราะผมเชื่อว่าผมทำอย่างอื่นไม่เป็น มีคนถามผมไม่ลองทำแนวอื่นบ้างหรือ ผมบอกว่าถ้าประเทศไทยออกกฎหมายห้ามทำหนังตลกผมจะเลิกทำ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำแต่ผมทำไม่เป็นจริงๆ แค่ผมลองคิดเรื่องซีเรียสก็จะเถลไถลแอบมีเรื่องตลกเข้ามาแทรก เมื่อไหร่บังคับให้ผมทำอะไรซีเรียสผมจะทุกข์ เวลาทางฝ่ายพีอาร์บอกผมว่าช่วยไปงานซีเรียสปูพรมแดงให้หน่อย ผมจะมีอาการแบบว่าทำไงดี ผมจะรู้สึกไม่สบาย แล้วทำหนังตลกผมไม่เบื่อ ผมว่ารอยยิ้มไม่ได้เป็นสิ่งน่าเบื่อ แต่คิ้วขมวดน่าเบื่อมากกว่า แล้วผมไม่ใช่คนหิวงาน ผมไม่ได้ต้องการรวยมาก ผมไม่หิวงานมาก ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่ทำ"
ทำหนังค่อนข้างโดนทุกเรื่อง
"ผมเดาว่ามันมาจากความชอบของตัวเองมันเลยซื่อสัตย์ หนังที่ออกมามันซื่อสัตย์ หมายความว่าผมไม่ได้พยายามจะเป็นอย่างอื่น ผมพยายามจะเป็นตลกแต่ไม่ได้พยายามจะเป็นครูใคร หนังผมไม่ได้สอนอะไรใคร แค่เล่าเรื่องของคนแบบนี้ให้ฟัง แม้แกนของเรื่องจะชัดเจนก็ตาม แต่ไส้ในจะมีอะไรๆ ที่เลอะเทอะมาก"
บางคนทำหนังตลกเลอะเทอะแต่ขายไม่ได้ก็มี
"ผมว่าเรื่องตลกมันเป็นเรื่องรส นิยม ถ้ารสนิยมตรงกันก็ชอบ บังเอิญรสนิยมของผมอาจจะไปตรงกับรสนิยมของคนดูก็ได้ แต่ตอนนี้ผมอยากทำอย่างอื่นบ้างที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ ผมอยากทำสเตจโชว์ อยากทำหนังสือ แต่ก็คงเป็นเรื่องราวเดิมๆ คือเรื่องตลก ผมไม่ได้เบื่อหนังแต่มันคันอยากทำอย่างอื่นบ้าง อยากเล่าด้วยวิธีอื่นบ้าง แต่ขั้นตอนในการทำงานของผมที่สนุกที่สุดคือการคิด เพราะผมเป็นคนชอบคิด ผมมีความสุขกับการคิด ไม่ได้บอกว่าผมคิดแล้วดีนะ แต่คิดไปเรื่อยเปื่อย เชื่อมั้ยผมเคยคิดจนนอนไม่หลับ 9 วันต้องไปหาหมอเพราะสมองไม่หยุดทำงาน เขาเรียกว่า โรคสมองเดือด คือเวลาใช้งานสมองมากๆ มันจะไม่เย็นตัว คนเราก่อนนอนจะต้องพักสมองแล้วนอน พอสมองหยุดทำงานก็เย็นลงและนอนหลับ แต่ถ้าสมองทำงานอยู่มันจะร้อนและเดือดทำให้นอนไม่หลับ
หมอคิดว่าผมคิดเรื่องซีเรียสแล้วนอนไม่หลับ ผมบอกผมคิดเรื่องเลอะเทอะจนหมอบอกว่าให้ผมหยุดคิด ผมนอนโรงพยาบาล 1 วันก็หาย แต่พอกลับมาบ้านก็เป็นใหม่ จะทำยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ หลับเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น วงจรชีวิตของผมจึงไม่ระบุการทำงานในตอนเช้า ผมก็พยายามแก้ไขแล้วครับ เพราะอันนี้เป็นข้อบกพร่องในชีวิตที่ไม่มีตารางการทำงาน เหมือนไม่มีเป้าหมาย คือมันก็ดีอย่างแต่เสียหลายอย่างครับ ข้อดีคือไม่ต้องซีเรียสอะไร ข้อเสียคือระบบการจัดการบางอย่างที่เราต้องไปเป็นปัจจัยด้วยมีปัญหาหมด นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมทำหนังปีละเรื่อง เพราะผมจะยอมตื่นเช้าแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ต้องตื่นตี 4 ตี 5 ไปถ่ายหนังผมจะทรมานมากเพราะกลางคืนไม่ได้นอน
ผมก็พยายามแก้ไขอยู่แต่ก็ไม่ได้ ที่บ้านผมมีแผ่นเพลงสปาเยอะมากแต่ก็ช่วยไม่ได้ มีสองอย่างที่ทำให้ผมหลับได้คือเปิดดีวีดีหนังแอ็กชั่นผมจะนอนหลับ และนวดข้อเท้าให้ผมจะหลับ อีกอย่างคือถ้าไปเที่ยวผับหรือที่เสียงเพลงดังๆ ผมจะง่วงนอนมาก พอกลับมาบ้านเงียบๆ ก็ไม่หลับ แต่การนอนไม่หลับของผมไม่ได้นอนไม่หลับทั้งคืน มันจะไปนอนหลับตอนตี 4 ตี 5 ประจำ"
เป็นแบบนี้ตอนบั้นปลายจะมีผลมั้ย
"หมอบอกบั้นปลายไม่ได้พักผ่อนผมตายผิดปกติแน่ๆ เพราะสมองไม่ได้พัก ผมก็ตั้งเอาไว้แล้วอายุ 45 จะตาย ตอนนี้อายุ 40 ปี แต่ที่ผมกลัวมากกลัวสมองจะเสื่อมผมกลัวจริงๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะผมเป็นแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว"
ทำหนังตามใจตัวเองมากกว่าตามกระแส
"บังเอิญผมไม่ได้ติดกับกระแส ผมมองจากความชอบของตัวเองเป็นหลัก ช่วงนี้ผมชอบเล่าเรื่องอะไรก็จะเล่าเรื่องนั้น ผมไม่ได้มองว่าคนอื่นอยากฟังเรื่องอะไร ผมมองตัวเองว่าอยากเล่าเรื่องอะไรมากกว่า ผมว่าปัญหาใหญ่ในการผลิตหนังไทย คือมองว่าคนชอบอะไรเลยทำ ไม่ได้มองว่าตัวเองชอบอะไร แค่เริ่มต้นก็ไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว สมมติหนังตลกฮิตคนที่ไม่ได้ชอบทำหนังตลกก็มาทำ ผมว่าเขาจะเหนื่อยและหนังมันก็จะออกมาไม่ใส หรือถ้าบางคนจะบอกไม่ทำหนังตามกระแสขายไม่ได้ ผมก็เข้าใจ แต่ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่ถ้าเป็นผมจะรับสภาพและไม่ทำหนัง หรือทำยังไงไม่ให้นายทุนเจ็บตัวแต่ก็ต้องเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากเล่าด้วย แต่หนังของผมก็ไม่ได้ดีมาก ผมว่าบังเอิญความตลกในหนังมันดันไปตรงกับสิ่งที่คนชอบ เรื่องที่ผมเล่าดันตรงกับที่เขาชอบพอดี"
การแข่งขันของการทำหนัง
"ผมแพ้การแข่งขันแต่การทำหนังของผมไม่ได้แข่งขัน แต่นายทุนเป็นคนไปแข่ง ผมแค่ทำของมาแล้วเขาซื้อ ผมไม่ได้มีหน้าที่ไปแข่งขัน อย่างขั้นตอนในการโปรโมตในการเข้าฉาย ผมช่วยเขาไม่ได้หรอก จริงๆ การแข่งขันมันมีมาตลอด ซึ่งผมมองว่าเราควรช่วยกันจัดการโดยไม่ต้องไปแข่งขันกัน คือทำให้การแข่งขันมันลดลง อย่างเช่นวิธีการเข้าฉาย ผมว่าเข้าฉายชนกันเยอะไป เอาจริงๆ ตอนนี้ผมว่าหนังไทยทำเยอะไปด้วยซ้ำ ผมคิดในฐานะเป็นคนที่ไม่ขอบแข่งขัน ผมว่าผลิตน้อยๆ แต่เน้นๆ หน่อย เข้าฉายให้มันนานหน่อยดีกว่า เพราะตอนนี้ผมว่าช่วงเวลาฉายหนังมันสั้นไป"
คอนเซ็ปต์ในการใช้ชีวิต
"ไม่มีอะไรมากครับ รักสงบ รักสนุก รักสบาย ผมต้องอยู่ในที่สงบๆ ไม่อย่างนั้นผมจะง่วง ผมอยู่ในที่เสียงดังๆ ไม่ได้ ผมจะคิดอะไรไม่ออก ถ้าผมคิดไม่ออกหรือไม่ได้คิดอะไรผมจะไม่สนุก และถ้าผมไม่ได้คิดเรื่องสนุกผมก็จะไม่มีงานทำ มันก็จะไม่มีเงินมาทำให้ผมสบาย"
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ