สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ

สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าจะพูดถึงละครที่ทำเรตติ้งในตอนนี้ต้องยกให้ละครดราม่า-แอ็กชั่น เรื่อง "นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว" ผลงานของบริษัท คำพอดี จำกัด ที่ได้รับกระแสตอบรับดี จนทำให้ บักเสือ ที่รับบทโดย "นิว" วงศกร ปรมัตถากร กลายเป็นขวัญใจเป็นฮีโร่ของเด็กๆ ไปแล้ว และทางช่อง 7 ต้องสั่งให้เพิ่มตอนออกอากาศจากของเดิม 15 ตอน เป็น 24 ตอน แต่ละคร "นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว" จะออกมาสนุกโดนใจคนดูหรือตัวแสดงจะเล่นได้ดีสมบทบาทขนาดไหน นอกจากอยู่ที่เนื้อหาของละครและความสามารถของนักแสดงแล้ว ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับผู้กำกับการแสดงคือ สยาม น่วมเศรษฐี หรือ หน่อย ถึงแม้เขาจะเป็นผู้กำกับฯ มือใหม่ที่ผ่านงานกำกับฯ มาแค่สองเรื่องคือ นางกรี๊ด และ นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว แต่ความสามารถหรือประสบการณ์ในการทำงานขอ บอกว่าไม่ใหม่เลย หลังเรียนจบปริญญาตรีคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเริ่มงานบันเทิงด้วยการเป็นครีเอทีฟให้กับรายการทีวี แต่ทำได้ไม่กี่เดือนก็ลาออกไปทำงานเป็นนักแสดงที่ภูเก็ตแฟนตาซี พอเบื่อแสงสีที่เมืองภูเก็ต เขาก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพ เป็นครีเอทีฟด้านอีเวนต์ ครีเอทีฟงานโฆษณา ทำคอนตินิวให้กับละคร ขยับขึ้นมาทำตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับละคร อาทิ หลานสาวคุณยาย หลานชายคุณย่า, สะใภ้ทอร์นาโด, เพลงรักริมฝั่งโขง, ลูกระนาด, เรไรลูกสาวป่า, ศิลามณี จากนั้นก้าวขึ้นเป็นผู้กำกับฯ เต็มตัวในละคร นางกรี๊ด จากการผลักดันของ ธงชัย ประสงค์สันติ บิ๊กบอสบริษัทคำพอดีตามมาด้วยเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว เรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว นอก จากกำกับยังเขียนพล็อตเรื่องเองด้วย "เรื่องนี้ผมเขียนพล็อตไว้ประมาณ 2-3 ปี ไอเดียมาจากปู่ผมมีบ้านเช่าแถวหัวหมากซึ่งจะมีคนอีสานมาเช่าเยอะมาก ผมก็เลยไปคลุกคลีกับพวกเขารู้สึกว่าผมคุยกับเขารู้เรื่อง เลยเอามาเขียนเพราะเราอยากทำละครบู๊สักเรื่องที่เกี่ยวกับคนอีสาน ถามว่าทำไมต้องเป็นคนอีสาน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ "พี่ธง" (ธงชัย ประสงค์สันติ) ก็ได้ ถ้าเอาแนวตลาดและกลางๆ มากก็ต้องคนอีสาน เราอยากทำละครที่ไม่ใช่เฉพาะคนกรุงเทพฯ ดูมากกว่า ก็เลยคิดพล็อตขึ้นมาแล้วก็เขียนเลยจากการที่เราเคยอ่านหนังสือหลายๆ เรื่อง ตอนเด็กชอบอ่านหนังสือและชอบดูหนังฮีโร่อะไรพวกนี้แต่ตอนนั้นไม่ถึงกับต้องแปลงร่างนะ แต่พอส่งไปพี่ธงบอกต้องมีอะไรมากกว่านั้น ประมาณกินข้าวเหนียวแล้วมีพลังเลยมั้ยโดยจะตั้งชื่อว่า "อภินิหารข้าวเหนียวทองคำ" ผมก็เออ...เอาและพอยิ่งเขียนก็ยิ่งมัน พอส่งไปที่ช่องทางช่องก็ซื้อเลย" ไม่คิดว่าเรตติ้งจะดีละครจะดังขนาดนี้ "พี่คิดว่ามันดังมั้ยล่ะ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ผมมีความรู้สึกทำละครให้มันดีไม่ได้คิดว่ามันจะดัง ผมไปถ่ายละครที่นครนายก วัดโพธิ์ไทร มีเด็กสามคนมาที่กองถ่าย อายุ 4-5 ขวบได้มั้ง แต่งตัวใส่หน้ากากและโพกผ้าขาวม้าเหมือนนิว-วงศกร ในละครมาหานิว ผมดีใจเลย เด็กดูละครเราด้วย พอรู้ว่าละครเรตติ้งดีก็ดีใจที่ได้รับการตอบรับดีขนาดนี้ แต่เราก็บอกตัวเองอย่าคิดอย่างนั้น อย่าย่ามใจไปเราต้องทำงานต่อเดี๋ยวงานจะลดคุณภาพลง และโดยส่วนตัวเอาจริงๆ นะผมไม่รู้สึกว่าละครดังไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เพราะมันไม่มีอะไรมากระทบเยอะขนาดนั้น สำหรับตัวผมนะ กับ นิว วงศกร หรือกับ เชียร์ ฑิมัฆพร คนอาจจะรู้สึก ผมว่าที่ละครมันดังเพราะมันเป็นละครฮีโร่ด้วยแหละ และการที่นิวกินข้าวเหนียวแล้วมีพลังเลยทำให้เด็กๆ ชอบด้วย แต่ที่สำคัญเป็นเพราะส่วนประกอบทั้งหมด ผมว่าทีมงานทีมนี้เป็นดรีมทีมมากกว่า อย่างผู้กำกับภาพก็เป็นคนรุ่นเดียวกันและคุยกันรู้เรื่อง หรือบางทีถ่ายไปแล้วผมยอมแล้วจะเอาแค่นี้แต่ทีมงานยังไม่ยอมกัน คือทีมงานทุกคนช่วยกัน คนที่กำกับคิวบู๊เขาก็เต็มที่ผมว่าทีมงานเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ละครสำเร็จ" ละครดังจนถูกสั่งให้เพิ่มตอน "ตอนแรกผมคิดว่าจะเพิ่มจาก 15 ตอนเป็น 20 ตอนแต่ผู้ใหญ่บอกว่า 22 ตอน พอไปๆ มาๆ กลายเป็น 24 ตอน ก็หืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน คือผมอยากทำงานให้มันดีนะแต่มัน 24 ตอนผมกลัวว่ามันจะไม่ดีตอนท้าย พอเขาสั่งมา 24 ตอนผมชอร์ตไปพักหนึ่งสำหรับคนทำงานนะ ผมอยากมีเวลากับมันเยอะๆ ผมกลัวจอมันจะว่างไง เพราะเราไม่เคยทำละครที่ถ่ายไปออกอากาศไปมากขนาดนี้ แล้วมันไม่ใช่ละครดราม่าที่แค่นั่งคุยกันธรรมดา แต่มันเป็นละครบู๊ที่ต้องมีหลายๆอย่าง เราเลยรู้สึกว่าแล้วมันจะดีหรือผมกลัวตรงนั้น แต่พอมาถึงวันนี้ผมมั่นใจแล้วว่าทำถึง โดยที่คุณภาพโอเค. แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้มันดีมากกว่าถ้าเรามีเวลาอีกสักนิดอาจจะได้มากกว่านี้ คือละครเป็นเรื่องของเวลาอย่างเดียว ผมว่าละครเมืองไทยนะคือเรื่องของเวลากับเงินทุน และจะมีข้ออ้างไม่ได้สำหรับผู้กำกับฯ ว่าคุณทำงานไม่ดีเพราะไม่มีเงินทุนและเวลาไม่พอ คือถ้าคุณทำงานให้มันดีทั้งในเวลาและเงินทุนแค่นี้แล้วมันดันดีผมว่ามันคือที่สุดของผู้กำกับฯแล้วล่ะ" ความเป็นพระเอกนักบู๊ของนิว วงศกร ในบทนักสู้พันธ์ข้าวเหนียวที่เราคิดไว้ "ตอนแรกผมก็คิดอยู่ว่าเขาจะได้มั้ย ถ้าถามจริงๆ ผมก็ต้องคิด แต่พอผมเจอเขาวันฟิตติ้งหุ่นเขาก็เฟิร์มหน้าตาก็โอเค. ส่วนเรื่องบู๊ยังไม่แน่ใจ พอบู๊วันแรกเขาได้นะ เขาตั้งใจมากๆ เลยนะ แต่ตอนแรกยังหาหน้ากากใส่ไม่ได้ ต้องมีหน้ากาก และต้องโพกผ้าขาวม้าด้วย" นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว กระแสและเรตติ้งดี ทำให้มีผลหรือรู้สึกกดดันกับงานกำกับฯ เรื่องต่อไป "คงกดดันจริงๆ แต่ผมไม่ได้รู้สึกตรงนั้นจริงๆ เรื่องเรตติ้ง ผมคิดแค่ว่าจะทำอะไรต่อไปมากกว่า แต่ไม่รู้จะตรงกับตลาดช่อง 7 หรือเปล่า ผมอยากทำแนวแอ็กชั่นดราม่าแบบวัยรุ่นที่เกิดการต่อสู้กับสังคมนี้ อารมณ์แบบเรื่อง "พันธุ์หมาบ้า" หรือแนวสืบสวนสอบสวนก็ได้ จะเขียนพล็อตแล้วเขาเอาหรือเขาให้เราทำอะไรก็ทำ ผมอยากทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ละครบู๊ ผมอยากทำละครรักๆ แต่ละครดราม่าผมก็ชอบนะ แต่คิดว่าพอจบเรื่องนี้น่าจะไปช่วยพี่ธงกำกับฯ ก่อน เพราะผมยังไม่ได้เตรียมงานเรื่องใหม่อะไรเลย" เป็นผู้กำกับฯ ที่ค่อนข้างเปลี่ยนงานบ่อย "ถ้าถามผมว่าละครคือชีวิตผมไหม จริงๆ ผมทำอะไรก็ได้ ผมชอบเขียนหนังสืออยากทำงานที่เกี่ยวกับการเขียนหนังสือ อยากเป็นครีเอทีฟโฆษณาแรงๆ แต่พอผมไปทำแล้วมันตอบโจทย์สินค้ามากเกินไปผมเลยไม่อยากทำ บังเอิญมาเจอพี่ธงได้มาทำละครมันเลยโอเค. คืองานละครเราทำเป็นมากที่สุดแล้วและเข้าใจกับมัน เรารู้กระบวนการหมดแล้วรู้โจทย์รู้ปัญหาทุกอย่าง โดยที่เราไม่โวยวายไม่อะไรทั้งสิ้นเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับงานตรงนั้นมากกว่า ให้ไปทำอย่างอื่นคงไม่เข้าใจ หรือเพราะเราเป็นคนขี้เบื่อหรือเปล่าไม่รู้ แต่เราอาจจะยังไม่เจอสิ่งที่อยากทำก็ได้ แต่การที่ผมเปลี่ยนงานบ่อยก็ทำให้ผมได้อะไรเยอะนะ อันดับแรกเราได้รู้จักคน คนที่ผมได้ร่วมงานด้วยคืออาจารย์ของผมทุกคน อย่าง พี่วินัย ปฐมบรูณ์ ผมก็ได้เรื่องภาพเรื่องแสง "พี่หมี" โชติรัตน์ รักษ์เริ่มวงษ์ ได้เรื่องกำกับฯ เรื่องความชัดเจน "พี่เจี๊ยบ" วัชระ ปานเอี่ยม ได้ความปลดปล่อยของแก ส่วนพี่ธงได้วิชากำกับฯ การทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายแล้วออกมาดีด้วยทำยังไง คือเราคิดว่ามันยากแต่ไม่ยากหรอก ทำออกมาให้มันดูง่ายแต่ดูดีและยิ่งใหญ่ด้วย"

ตอนนี้คิดว่าตัวเองเจอหรือยังในสิ่งที่อยากทำ "ก็ยังไม่แน่ใจครับ ผมคิดว่ามันต้องไปต่ออีกแต่ไม่รู้จะไปทางไหนมากกว่า เราอาจจะไม่ได้จบแค่การทำละคร ผมไม่ได้คิดว่าอายุ 60 แล้วจะต้องไปกำกับละครอีกหรือเปล่า ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ ผมไม่ได้มีความฝันหรือคาดหวังจะมาเป็นผู้กำกับฯนะ แต่พอดีพี่ธงให้โอกาสและพอผมได้ทำแล้วมันก็รู้สึกดี" ฝันอยากทำอะไร "ไม่ได้จะบอกว่าอยากเป็นผู้กำกับหนัง แต่อยากทำอะไรแล้วให้คนยอมรับหรือให้คนเสพงานของเรา มันอาจจะเป็นนามธรรมมากเลยนะ ที่จะทำอะไรบางอย่างให้คนยอมรับกับตรงนั้น จะเป็นอะไรก็ได้อาจจะไม่ใช่แค่การทำหนัง อาจจะเป็นการทำหนังสือ เราเป็นคนคาดหวังกับตัวเองสูง เห็นคนอื่นที่เก่งๆ เราก็มองและคิดว่าจะทำยังไงเราถึงจะเก่งแบบเขาได้ แต่วันหนึ่งเราจะทำได้มั้ย เราเลยยังไม่รู้อยากจะทำอะไร แต่เราอยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน" ตั้งเป้ายังไงกับงานกำกับฯ ต่อไป "อยากกำกับละครไปเรื่อยๆ ทำให้ดีให้คนดูแล้วมีความสุข แต่จะไม่บอกว่าจะไม่ทำละครน้ำเน่านะจะไม่พูดอย่างนั้นเพราะวันหนึ่งก็ต้องทำ เขาให้ทำงานละครอะไรเราก็ต้องทำ ทำให้มันออกมาดีแล้วกัน แต่มีคนเคยบอกผมว่าเราต้องตั้งเป้าให้สูงแล้วเดินทางไปหามันให้ได้ แต่ผมไม่ได้ตั้งเป้าเรื่องงานเรื่องการกำกับแต่ตั้งเป้าเรื่องชีวิตผมต้องดีขึ้นเรื่อยๆ งานมีอะไรมาเราก็ทำให้ดีที่สุดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังกับชีวิตมาก อย่าไปคาดหวังสูง คิดเรื่องอนาคตมากเกินไปก็ปวดหัว" ชีวิตตอนนี้ดีตามที่ตั้งเป้าหรือยัง "ก็โอเค.แต่ครอบครัวอาจจะไม่โอเค.เท่าไหร่เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาให้เขา แต่ภรรยาเข้าใจ หัวหน้าก็ดีมากพี่ธงดีจริงๆ ให้โอกาสเรา ผมว่าชีวิตโอเค.แล้วพี่เพียงแต่เราต้องฟาดฟันกับงานให้มันได้เยอะๆ" ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับฯอารมณ์ดี "แต่ช่วงหลังก็มีอารมณ์เหมือนกันคงเครียดแต่จะบอกตัวเองว่าอย่านะ แต่เวลามันโกรธรออะไรไม่ได้แต่รู้ตัว บางทีผมโกรธจะเอางานแต่คนไม่รู้คิดว่าเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า กลัวคนอื่นรู้สึกไม่ดีกับเรามากกว่า ช่วงเวลาที่ผมโกรธมากอย่างบางทีคนอื่นมาทำงานกับเราแล้วไม่ตั้งใจเหมือนเราจะโกรธมาก คือเราเป็นคนสนุกเวลาทำงานเขาจะมาพูดเล่นกับเรา แต่ไปๆ มาๆ เขาไม่รู้ความพอเหมาะคืออะไรแต่เราจะรู้ ผมเคยคิดทำไมเราต้องนั่งทำเป็นหน้าตาโกรธตลอดเวลาหรือคนอื่นถึงจะทำงานกับเรา เราต้องวางตัวให้น่ากลัวใช่มั้ยนักแสดงถึงจะเชื่อเรา แต่ผมไม่เชื่ออย่างนั้น บางทีเขาไม่เข้าใจเราว่าเราอยากได้งานดีด้วยและอยากเฟรนด์ลี่ด้วย แต่เขาชอบคิดว่าเราคงไม่อะไรหรอกมั้ง จนบางทีผมก็ต้องแกล้งดุบ้าง แต่จริงๆ ไม่อยากทำอย่างนั้นหรอก แต่พวกคุณก็ต้องทำงานอยู่ในระบบให้ได้นะ" อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน "ทุกเช้าเวลาที่ตื่นขึ้นมาผมจะถามตัวเองว่าผมทำอะไรอยู่ และเราต้องสร้างพลังใจให้ตัวเองและต้องทำให้ทีมงานเชื่อเราก่อน เราต้องทำงานออกมาให้ดี เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนจะยอมรับมันมั้ยไอ้งานนั้นนะ แล้วเวลามีอุปสรรคเข้ามาหรือผมรู้สึกท้อแท้ผมก็จะยอมรับกับมันได้ง่ายๆ และตั้งต้นใหม่ เหมือนพี่ธงเคยบอกมันก็เหมือนชกมวย วันหนึ่งเราชกได้หนึ่งยกเราก็ชกไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดมากเราก็สู้มันให้ดีที่สุดในแต่ละยก แต่การทำละครสมัยนี้มันยากเลยแหละ ตอนนี้ละครการแข่งขันสูงมากระหว่างช่องและระหว่างงานของแต่ละบริษัท เรื่องราวต้องสนุกการดำเนินเรื่องต้องเร็วต้องทันกับเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ ณ เวลาที่เราทำตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมยังจับจุดไม่ได้เหมือนผู้กำกับฯ คนอื่นที่เขารู้อยู่แล้วว่าอย่างนี้ต้องโดนแน่ แต่เราอยู่ในขั้นทดลองก็ทดลองไปเรื่อยๆ มันไม่ง่ายเหมือนเดิมเพราะการแข่งขันมันสูง เมื่อก่อนทำละครอะไรคนก็ดู คุณไม่ต้องเร็วขนาดนั้น ตอนนี้เหมือนไม่ให้คนดูหายใจเลย ในขณะที่คนทำงานก็เหนื่อยขึ้นแต่ก็ต้องทำ และต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ววันหนึ่งคนก็จะเห็นงานของเราเอง"

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ ของ สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ

สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ
สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ
สยาม น่วมเศรษฐี : นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ไม่ดังสมใจผู้กำกับฯ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook