วิลลี่ แมคอินทอช ที่ตรงนี้ถูกสร้างเพื่อคนบันเทิงเท่านั้น
วิลลี่ แมคอินทอช หรือ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช พระเอกละครสุดฮอต ที่หันมาจับงานเบื้องหลัง โดยร่วมหุ้นนักแสดงรุ่นพี่คือ เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย และ หอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค เปิดบริษัท ลักษ์ 666 จำกัด ผลิตรายการทีวีจนประสบความสำเร็จ คือ สาระแนโชว์, ฮาจะเกร็ง, นั่งยางโชว์ และ บางอ้อ
มาในช่วง 2-3 ปีหลัง บริษัท ลักษ์ 666 เริ่มขยับขยายงานอย่างรวดเร็ว จากรายการทีวี มาทำหนังสือคือ "OHO" ทำภาพยนตร์ วิทยุ ละครเวที และล่าสุดคือเคเบิลทีวี ถึงจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โต หรือเป็นบริษัทมหาชน แต่ก็เป็นบริษัทที่เรียกได้ว่าทำงานสื่อบันเทิงแบบครบวงจร แถมยังได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไรดูประสบความสำเร็จไปซะทั้งหมด วันนี้ GUEST TALK เลยอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเขาถึงโปรเจ็กต์ต่อไปที่เขาอยากจะทำอีก
"แค่นี้ผมก็โดนเขาด่าเยอะแล้วภายใน 2-3 ปีทำอะไรกันเยอะแยะมากมาย เหมือนเราโตเร็วไป จากเมื่อก่อนเราค่อยๆ เดิน แต่ตอนนี้กระดูกแข็งแล้วอายุ 12 ปี ต้องวิ่งได้แล้ว เป็นเพราะโอกาสมันเข้ามาด้วยแหละ อะไรเข้ามาเอาหมดทุกอย่าง เพราะเรารู้แล้วพอเรามีประสบการณ์ เรารู้สึกว่ามันเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนที่เราจะแก่กว่านี้ ถ้าเกินกว่านี้พวกเราจะไม่เอาแล้ว ณ ตอนนี้เป็นช่วงประติดประต่อ อย่างผมถามพี่เปิ้ลว่า ผมต้องการทำหนังปีละ 3 เรื่อง ทำละครเวที 2 เรื่องยังได้อยู่ไหม พี่เปิ้ลตอบมาว่าเพื่อลูกอ่อนของพี่ทำได้ ไม่ใช่ลูกเข้ามหาลัยแล้วชวนพี่มาทำกันเถอะ เขาคงบอกบ้าหรอพี่ต้องการพักผ่อนและต้องการดูแลร้านโคขุนของพี่ ไฟมันจะค่อยๆหมดไป ถ้าจะทำต้องทำตอนนี้แหละ ถ้าทำก่อนหน้านี้ 7-8 ปีที่แล้วคงคว่ำเพราะไม่มีประสบการณ์"
อยากพิสูจน์ความสามารถให้คนเห็น
"เราอยากพิสูจน์ให้คนเห็นว่าเสียดายที่ไม่เอาพวกผมไว้ นึกเสียดายไหมล่ะคนเหล่านี้ทำไมไม่เก็บเขาไว้ดีๆ ผมไม่ได้ประชดแต่ผมต้องเลี้ยงดูครอบครัว และคนของผมที่เหลืออยู่ พี่เคยไปบ้านผมไหม พี่เห็นหรือเปล่าว่ามันใหญ่ขนาดไหน เป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมไม่มีบ้านอยู่เลยเก็บกด พอสร้างบ้านก็เอาสิสร้างใหญ่มากอยู่ได้เป็น 100 คน แต่จริงๆ อยู่กันแค่ 3 คน มีผม ภรรยาและแม่ เหมือนมาทำรายการก็เก็บกด เมื่อก่อนทำรายการดีๆ ก็กระเด็นกระดอนไปไหนมาไหน เราไม่ได้ว่าใคร แต่ในยุคหนึ่งเราไม่สำคัญเราก็ทำใจว่า เราต้องไปหาที่อยู่เองและทำอย่างที่เราพยายามอยู่ให้รอดให้ได้
จนวันหนึ่งเราแข็งแรงแล้วเราก็ไม่ต้องไปไหนแล้วเราก็ทำของเราไป คนที่คบเราตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังคบเราอยู่ตอนนี้ ส่วนใครที่ไม่คบเราตอนนั้น ก็ไม่ต้องคบเราตอนนี้แค่นั้นเอง ณ ตอนนี้ถามว่าเรามีพนักงานรวมหมด 150 คน เราเอาเขาจากพ่อแม่เขามา เราต้องดูแลเขา ย้อนกลับไปตอนที่รายการของผมหลายรายการหลุดจากไอทีวี แต่ผมโชคดีที่ "สาระแน" ได้มาอยู่ช่อง 5 ตอนนั้นผมทำแค่รายการเดียว ผมก็ไม่ได้ไล่พนักงานออกนะไม่มีใครรู้ ก็ขายรายการนั้นมาให้พนักงานหมดและเอากำไรเก่าที่สะสมไว้มาจ่ายพนักงาน จนกว่าจะมีรายการที่สองที่สาม เราไม่ได้ไล่คนออกสักคนเพราะเขาคือน้องเรา สุดท้ายวันหนึ่งเขาจะรู้ว่าเราเป็นผู้นำเราต้องพาเขารอดฝั่งแล้ว"
พูดถึงรายการ สาระแน อยู่มาจนถึงวันนี้กว่า 12 ปี ถือเป็นรายการตลกที่มีอายุยืนนานมาก
"สาระแนมันเป็นแบรนด์เป็นโลโก้สินค้าของพวกเรา ซึ่งเราพยายามจะสร้างโลโก้อันนี้ให้มันแข็งแรงให้มันอยู่ไปเรื่อยๆ และพัฒนาไป ที่รายการอยู่นานเพราะเราไม่ยอมเองแหละ ถ้าเรายอมทิ้งรายการนี้ทำรายการใหม่ขึ้นมาเราจะอยู่ในที่ๆ สบายกว่านี้ อย่าลืมว่าผมกระเด็นกระดอนมาไกลพอสมควรนะ เมื่อก่อนอยู่ช่อง 3 พอไม่มีที่อยู่ก็มาอยู่ไอทีวีพอไอทีวีปิดกระเด็นมาช่อง 5 ถ้าไม่มีไม่รู้ลงที่ไหนแล้วนะ เมื่อก่อน "สาระแน" เป็นแบรนด์ที่สำคัญที่สุดของเรา ปัจจุบันเราไม่ได้บอกอันนี้สำคัญสุด เพราะตอนนี้เรามีทั้งหนัง รายการวิทยุ ละครเวที หนังสือ
สำหรับกระแสตอบรับจนถึงวันนี้ก็โอเค.นะ มันเหมือนพวกเรากลายเป็นแบรนด์ของคำว่าสาระแนไป โดยที่เราไม่ได้แกล้งดารานะ แต่เราไปสร้างสีสันให้ชีวิตเขา แล้วรายการแคนดิตก็เหลือรายการเดียวในประเทศไทยคือของเรา จากเมื่อก่อนมีเยอะแยะ เราพยายามหาอย่างอื่นมาใส่เข้าไปเรื่อยๆ เรามีการปรับตลอด โดยปรับเปลี่ยนตามกระแสและต้องดูว่าคนดูอยากดูอะไร เพราะตอนนี้ต้องเอาคนดูเป็นหลักสำหรับรายการนะ ต้องเอาที่คนอยากดูจริงๆ คือผมไม่ได้เกาะกระแสขนาดอะไรที่ทุกคนทำต้องทำหมด อย่างน้อยต้องอยู่ในเขตของคนที่ยังเลือกดูได้และยังรู้จัก แล้วตอนนี้เรากำลังเสนอรายการใหม่อยู่ที่ ช่อง 5 และช่อง 9 ช่องละ 2 รายการ ส่วนช่อง 3 คงไม่เสนอเพราะแน่นมาก"
การบริโภคของคนดูตอนนี้
"ผมเชื่อว่าคนดูมีโอกาสเลือกมากขึ้น แล้วเราในฐานะของคนบันเทิงที่อยู่ในเมืองกรุงยังไม่หันไปดูว่าเคเบิลท้องถิ่นดูอะไรกัน ซึ่งตลาดเคเบิลตรงนี้โตขึ้นเยอะประมาณ 20% เท่าที่กรุงเทพธุรกิจบอกมา ในขณะที่เหลืออยู่หดหมด เลยคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรตติ้งในฟรีทีวี หนังสือ หรือวิทยุอะไรหายไป"
เพราะมองว่าตลาดเคเบิลทีวีกำลังจะบูมเลยหันมาทำบ้าง
"ที่มาทำเพราะต้องทำแล้วล่ะ ยืมจมูกคนอื่นหายใจมานานแล้ว อยากหายใจเองแต่ก็ยังหายใจไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ เพราะเพิ่งเริ่มไม่รู้เป็นยังไง แต่ก็ต้องทำคือ ช่องสาระแน ชาแนล ผมมีช่องของตัวเองแล้ว ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นรูปแบบรายการที่ดูแล้วสร้างรอยยิ้มให้กับคุณ มีแต่ความบันเทิงหรรษา คนกรุงเทพฯ ดูได้แต่ต่างจังหวัดฮามากฮาแน่นอนเช้าถึงเย็น แต่ตอนนี้เอารายการเก่าที่มีอยู่ออกไปก่อน ส่วนรายการใหม่เกือบหมดออกซึ่งเรามี 14 จะทำออกเดือนมกราคมปีหน้า
ผมคิดว่าต่อไปเคเบิลจะบูมมาก ปีหน้าเคเบิลทีวีจะกินเงินของตลาดไปกว่าครึ่งหนึ่ง ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะความคุ้มค่าของการมีออฟชั่นการเลือกของสินค้า ถามว่าเอาเงิน 1 หมื่นไปให้คนนั้นเพื่อให้สินค้าของเขาออกอากาศ 15 วินาทีแต่ถ้าเอาเงินมาให้ผม 1 หมื่นแล้วพี่อยากให้ผมทำอะไรก็บอก เขาก็ต้องคิดแล้วว่าจะเลือกอะไร"
ทำแต่รายการตลกไม่คิดอยากจะเปลี่ยนบ้างหรือ
"เอาเป็นว่าอันไหนที่ทำชัวร์แล้วโอเค.เราทำ เราไม่เคยแหยมเข้าไปในเกมโชว์ เราไม่เคยไปยุ่งกับของ พี่ตา ปัญญา นิรันดร์กุล เขาเป็นที่หนึ่งของเกมโชว์ก็อย่าไปยุ่งกับเขา มันเป็นคำเตือนจากเอเจนซี่ ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งคิดว่าล้มเขาไม่ได้อย่ามาทำ เพราะยังไงเขาลงเงินกับคนที่หนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยต้องเป็นที่หนึ่งของเราสิ่งที่เราทำจะตลกจะเฮฮาก็ว่ากันไป เพราะเราถนัดตรงนั้น เราไม่เป็นรองใครเรื่องนี้ แต่เราเป็นรองคนอื่นเยอะหลายอันแต่เรื่องนี้เราไม่เป็นรองใคร วิลลี่ เปิ้ล หอย เลยต้องมาทางนี้แหละมาทางตลก"
สมัยนี้ทำรายการยากขึ้นเพราะการแข่งขัน
"ยากเพราะว่ามันมีสื่ออื่นเข้ามาแทรก มาตอดเงินที่มีอยู่แค่นั้น สมมติมีเงิน 2-3 หมื่นล้านในประเทศ ทุกคนก็ลงแค่นั้น เมื่อก่อนลงหนึ่งบาทให้คุ้มค่าหนึ่งบาท แต่เดี๋ยวนี้ลงหนึ่งบาทต้องการให้คุ้มค่า 100 บาท ซึ่งมันก็จะกลายเป็นว่าทุกอย่างต้องถูกลง สื่อทางโฆษณามีเยอะมากไล่มาอินเทอร์เน็ต เคเบิลทีวี ฯลฯ ทำให้กระจายเม็ดเงินออกไป ดังนั้นการแข่งขันต้องเอาของคุณภาพไปให้เขา จะคิดทำแบบหลอกเด็กเหมือนสมัยก่อนไม่มีแล้วถูกฆ่าทิ้งหมด ก็ดีนะผมว่าจะได้เหลือแต่ตัวจริง ไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอไฮโซมาจากไหน คิดว่าจะทำแล้วมายึดพื้นที่หรือมีเส้นมีอะไรสุดท้ายทำไม่เป็น เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยบอกไว้ว่าที่แห่งนี้ถูกสร้างเพื่อคนเหล่านี้เท่านั้น คนข้างนอกอย่ามายุ่งเลย เข้าไปก็ไม่ได้อะไรหรอกเข้าไปก็มีแต่เสียกับเสียจริงๆ ตอนอยากเข้ามาเพราะเห็นสีสันของความสวยงามแต่พอเข้ามาแล้วรับเรื่องแบบที่ดาราเขารับกันไหวหรือเปล่าก็ถอยกันหมดนะ"
ไม่คิดจะทำละครทีวีบ้างหรือ
"ไม่ทำ ไม่ชอบ เคยเห็น พี่ไก่ วรายุธ แล้วเหนื่อยไม่เอา ผมรู้สึกว่ามันเป็นศาสตร์ที่แตะไม่ได้เลยจริงๆ นะ มันยากจริงๆมันละเอียดอ่อน มันแบ่งรับอารมณ์เยอะ มันจู้จี้จุกจิกรายละเอียดเยอะ ที่สำคัญทำออกไปไม่ใช่ของผมแต่เป็นของช่อง ผมไม่เอาต้องเป็นของผม สังเกตสิ ผมไม่ค่อยรับจ้างผลิตให้ใคร ทุกอย่างที่ทำมาเป็นของผมเองหมดเลยนะ"
คอนเฟิร์มว่าละครทีวีไม่ทำแน่ๆ
"ผมไม่อยากทำ ใครจะทำก็ทำไปเถอะ ถามว่าแล้วมีคนชวนผมทำไหม ณ ตอนนี้ต้องถามก่อนทำให้ใคร สมมติทำให้ตัวเองอย่าง พี่บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ที่อยู่ช่อง 5 ทำละครโดยซื้อเวลาฉาย แล้วเก็บละครเป็นของเขา กับทำให้ช่อง 3 ช่อง 7 เราได้เงินมาเพราะรับจ้างผลิตแต่ละครเป็นของเขาไม่ใช่ของเรา อย่างช่อง 3 เราก็ต้องไปดูว่าผู้จัดละครแน่นมั้ย ซึ่งเขาก็เหนื่อยแล้วเพราะมีอยู่ 40 กว่าเจ้าได้ เยอะมาก ถามว่าเขาได้ปีหนึ่งกี่เรื่องแต่ละบริษัทต้องได้ 2-3 เรื่องต่อปีถึงจะอยู่ได้ ถ้าได้ปีละเรื่องอยู่ไม่ได้ไม่รู้จะทำไปทำไม ช่องอื่นก็แน่นเราคงไม่ได้ทำหรอก แต่ถ้าทำแบบพี่บอยก็ไม่แน่ แล้วถ้าเราทำไม่ดีอย่าไปทำ คือคนที่ทำละครได้ดีคือคนที่ทำมานานแล้ว เขาจะเดาทางได้ถูกคนดูต้องการอะไร
แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ผมจะไม่ทำอะไรเลยจะไม่ตั้งบริษัท ผมจะตั้งใจเล่นละครอย่างเดียวแล้วเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ ผมจะเล่นละครจนเล่นเป็นพ่อ เป็นปู่ถ้ายังมีงานอยู่ หลังจากนั้นไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ความสบายใจคนละอย่างกันนะ การรับผิดชอบทั้งกองถ่ายกับรับผิดชอบตัวเองแค่เล่นละครมันต่างกันมากนะ เพราะเวลาทำอะไรเราทำกันเองหมดทุกอย่าง ตอนทำหนังสือเราไปหาเอเจนซี่ไปเซเว่นให้เขาช่วยขายให้หน่อย เราไปแนะนำไปโปรโมต เราทำเองเพื่อให้เห็นว่าเราทำเองแล้วมันก็ประสบความสำเร็จ ตอนเล่นหนังเราก็ลงเล่นเองไปคุยกับ เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ เวลาโปรโมตเราก็ต้องไปเอง เราไม่เหลือความเรื่องมากของดาราเพราะเราเป็นเจ้าของ ซึ่งมันก็จะได้งานมากกว่าเดิมจะได้ความทุ่มเทมากกว่าเดิม ละครเวทีเราก็ต้องทำเอง ทุกวันนี้เราก็ไปขายของเองไปขาย สปอนเซอร์"
รู้สึกยังไงที่ตอนนี้ที่คนจะมองว่าการทำงานของบริษัท ลักษ์ 666 เป็นที่หนึ่งของความตลก
"ผมภูมิใจที่ทีมงานไม่อยู่นิ่ง คือสิ่งที่เป็นที่หนึ่งไม่ยากหรอก แต่รักษาที่หนึ่งนานๆโคตรยากเลยเพราะคุณจะเหลิงจะหลวมตัวแล้วปล่อยตามสบายและก็หลอกตัวเอง จริงๆไม่ใช่ วันที่ประชาชนทอดทิ้งคุณจะเจ็บปวดยิ่งกว่าแฟนทิ้งอีกจะบอกให้ ดังนั้นอย่าปล่อยให้เขามีโอกาสทอดทิ้งคุณ คุณต้องหาของใส่ไปเรื่อยๆ ดาราอยู่คู่ประชาชนได้เพราะประชาชนยอมรับเขา ชอบเขา ฉะนั้นเราต้องไม่อยู่นิ่งต้องหาจังหวะให้มีความพอดี ทุกวันนี้ต้องบอกก่อนไม่มีความพอดีนะ เพราะทำเยอะเกิน แต่จะโทษใครเพราะเราหาเรื่องทำเอง"
หลายคนมองว่าทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
"ถ้าเป็นเรื่องงานผมก็แฮปปี้นะ ถ้าคนข้างนอกมองประสบความสำเร็จ คือพี่เปิ้ลชอบพูดทำนองที่ฟังแล้วขนลุกว่า เราทำให้พ่อแม่ให้ญาติเราดู ฉะนั้นเราต้องทำให้ดีที่สุด มันเลยกลายเป็นผลพลอยได้ว่าประชาชนได้สิ่งดีด้วย เราไม่ได้ทำหลอก เราทำดีที่สุดให้พ่อแม่ดู อย่างหนังตอนแรกผมก็ไม่คิดหรอกว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ เพราะวงการหนังต้องยอมรับว่ามันอยู่ที่จังหวะและเวลา ทุกคนมีโอกาสแป้กหมด ตอนทำ "สาระแนห้าวเป้ง" ได้ 100 ล้าน พอมา "สาระแนสิบล้อ" ผมกะต้องทะลุเกิน 120 ล้านเพราะตลกมาก แต่จังหวะของเราไปเข้าฉายช่วงมีการชุมนุมที่ราชประสงค์ก็เหลือครึ่งเดียว ได้ 70 ล้าน แต่รวมวีซีดี สายหนังก็เป็นร้อย มา "สาระแนเห็นผี" ผมว่าอยู่ที่จังหวะเหมือนกันว่าคนอยากดูหรือเปล่า จริงๆ ผมว่าผมโชคดีนะที่หนังตลกก็มีน้อยละครเวทีตลกก็มีน้อย อะไรๆ เกี่ยวกับตลกจะมีน้อยมาก ผมถึงบอกไม่มีใครมาชิงตรงนี้กับเราเลย ถามว่าละครเวทีของเราตลกไหมคงตลกแต่ไม่ทะลึ่ง
ผมว่าผมเป็นคนที่โชคดีดีกว่า ส่วนประสบความสำเร็จไหมต้องไปรอเอาตอนนาทีสุดท้ายตอนผมอายุ 45 ตอนนี้ 40 ขออีก 5 ปีค่อยมาถามอีกที ถ้าผมสามารถเคลียร์หนี้แบงก์ได้ ซึ่งในอีก 4-5 ปีน่าจะเคลียร์หมด เป็นหนี้ของบริษัทและหนี้ส่วนตัว แต่ในเรื่องของครอบครัว ผมคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะลูกยังไม่มีเลย ก็จะดูสิว่าภายในปีสองปีนี้ถ้ายังไม่ได้อีกนะจะโยนสมบัติให้แม่หมดเลยนะ ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร"
บริษัทลักษ์ 666 คิดจะขยายงานอะไรอีก
"ก็พยายามจะไม่ขยายอะไรเร็วมากเพราะมันเต็มสตรีมไม่มีเวลาทำแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามาคือผมไม่กล้าสัญญา ว่าจะไม่ทำอะไรอีกแล้วนอกจากทำเคเบิลทีวีเอาแค่นี้ก็พอแล้ว ถามผมผ่านมาจนถึงวันนี้พอใจไหม มันก็ลุ้นตลอดเลยนะ ว่าจะล้มไม่ล้มแหล่ ลุ้นทุกปีแหละ แต่มันก็ผ่านมาได้ก็โอเค."