คมกฤษ ตรีวิมล ผู้กำกับฯ ทำเงินแห่งค่ายจีทีเอช
คมกฤษ ตรีวิมล หรือ เอส ผู้กำกับฯ หนุ่มไฟแรงแห่งค่ายจีทีเอช ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน กับกลุ่มเพื่อนๆ อีก 5 คน จากนั้นเขาก็มีงานกำกับฯ ตามมาอีกหลายเรื่อง เช่น หนูหิ่น เดอะมูฟวี่, เพื่อนสนิท, สายลับจับบ้านเล็ก ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับฯ ชื่อดัง เมื่อผลงานของเขาเป็นหนังที่ทำเงินให้กับจีทีเอสมากมาย
สูตรสำเร็จของการทำหนังให้ได้เงิน
"ผมว่ามันไม่มีสูตรหรอก แต่เหมือนกับว่าสิ่งที่ผมชอบมันไปตรงกับสิ่งที่คนอื่นชอบมากกว่าผมชอบทำแบบนี้ ชอบให้เขาเล่นมุกอย่างนี้ ชอบให้ดราม่าแบบนี้ เผอิญสิ่งที่ผมชอบคนดูก็ชอบด้วยมันเลยมีคนดู แล้วผมเป็นคนแมสด้วยมั้งไม่ใช่คนติสต์ ผมไม่ติสต์เลยผมก็ดูละคร วนิดา หรือ น้ำหวาน จาก ระบำดวงดาว ผมดูละครทั่วไปปกติ และดูอย่างอื่นด้วยในฐานะที่ผมเรียนหนังมา ผมก็ดูหนังอาร์ตดูอะไรที่เขาไม่ดูกัน ซึ่งบางทีเราก็ใช้วิธีของเขามาทำหนังเราเหมือนกัน
แต่ทุกครั้งที่ผมทำหนัง พี่เก้ง จิระ มลิกุล จะพูดเสมอว่าให้เรานึกถึงคนดูว่าเขาเข้าใจมั้ยในสิ่งที่เราพูด แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจอีกหน่อยเขาจะเข้าใจมั้ย หรือว่ามีอะไรบอกเขาหน่อยว่าสิ่งที่เขาไม่เข้าใจคืออะไรให้มันชัดเจน คือหนังของผมจะคนละแบบกับหนังของผู้กำกับฯ ที่เป็นอาร์ติสต์ แต่ผมเป็นนักสื่อสารมวลชนไม่ใช่อาร์ติสต์ แล้วผมก็ไม่ได้ทำหนังตามกระแส แต่ทำตามสิ่งที่เราชอบมากกว่า และถือว่าโชคดีที่ความชอบของเราตรงกับสิ่งที่คนอื่นชอบพอดี
แต่คนมักจะมองว่า จีทีเอช ทำหนังไม่เสี่ยง แต่จริงๆ เสี่ยงทุกเรื่องนะ คือประเด็นมันจะไม่เหมือนเดิม การทำหนังต้องมีอะไรใหม่ ถ้าไม่ใหม่คนก็จะไม่ดู คนไปดูละคร แต่ถ้าใหม่มีกระแสน่าสนใจคนก็จะเข้าโรงไปดู แล้วหนังจีทีเอชเป็นค่ายเดียวที่ไม่เคยลดต้นทุน แต่ค่ายอื่นอย่างช่วงนี้กระแสไม่ดี เขาก็จะลดต้นทุนในการทำ 10 ล้านทำมั้ย แต่หนังของจีทีเอชทุกเรื่องทุนไม่เคยต่ำกว่า 20 ล้าน"
แต่บางคนหรือบางค่ายคิดทำอะไรใหม่ๆ กลับไม่ได้รับการตอบรับ
"มันมีหลายปัจจัยนะ บางที่พอทำอะไรใหม่ๆ อาจจะรู้สึกว่ามันติสต์ แต่เราถือคติจะไม่ก้าวไปไกลมากเราจะก้าวทีละก้าวทีละครึ่งก้าว อาจจะไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังที่ใหม่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ แต่มันมีอะไรที่พัฒนาขึ้นที่แปลกขึ้น ซึ่งไม่ได้ไกลเกินที่คนดูจะเข้าใจได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความชอบของคนดูด้วยนะ อยู่ที่ว่าหนังเรื่องไหนใครชอบมากกว่า อย่างจีทีเอชหรือผมทำหนังมาแล้วเผอิญคนชอบ
แต่หนังของจีทีเอชกว่าจะได้ทำก็ใช้เวลาพอสมควร กว่าบทจะเสร็จเป็นปี พอบทเสร็จเอาเข้าบอร์ดซึ่งจะมีหลายคน หนังเรื่องนี้ดียังไง มันดีเพราะเรื่องเป็นแบบนี้มันใหม่น่าสนใจ คือจีทีเอชทำงานทั้งระบบ คนทำตัวอย่างหนังคนมองหน้าหนัง ถ้าเรื่องนี้มันดีตัวเรื่องน่าสนใจเราจะขายยังไงดี พอบทเสร็จทุกคนคุยกัน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้กำกับฯ โดยที่ไม่มีการบังคับกัน"
ค่อนข้างผูกขาดหนังแนวคอมเมดี้
"เวลาเราทำหนังคอมเมดี้ บรรยากาศในกองถ่ายจะสนุกไม่เครียดจะเฮฮา กองถ่ายผมจะเฮฮาตลอด ผมชอบอะไรสนุกๆ ไม่ชอบอะไรเครียดๆ เวลาอยู่กับทีมงานที่เราสนิทสนมอยู่กับนักแสดงที่เราชอบ อยู่กับคนที่คุ้นเคยกันอยู่ด้วยกันมันก็สนุก แต่ถามว่าทำงานมีเครียดบ้างไหม ก็มีบ้าง ไอ้นี่ไม่ได้ไอ้นี่ไม่เสร็จ แต่เราก็ช่วยแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้ มันต้องมีดราม่าผสมคอมเมดี้ด้วย"
ลายเซ็นในการทำงาน
"ถ้าให้ผมวิเคราะห์ตัวเอง ผมเป็นคนที่ทำงานหนังแบบบ้านๆ คือมันจะไม่เข้าใจยากหรือดูค่อนข้างไฮโซ มันจะดูเข้าใจง่ายๆ มีมุกตลกสอดแทรก แต่สุดท้ายจะเป็นดราม่า ทุกเรื่องเป็นดราม่าหมดคือในความเป็นตลกจะครอบอยู่ จริงๆ ผมก็ถนัดดราม่าและชอบดูมากเรื่องความรู้สึกของคน การตัดสินใจของคน ผมก็เคยคิดอยากเปลี่ยนแนวมากำกับฯ ดราม่ามาก แต่พอคิดไปคิดมาพอจะทำถึงเวลาถ่ายเดี๋ยวไม่สนุกต้องเครียดแน่ๆ ถ้าพูดกันตามตรงในแง่ธุรกิจมันยากในแง่ที่ว่าพอหน้าหนังเป็นอย่างนี้ คนที่จะดูคือใครกลุ่มไหนคุ้มกับทุนไหม ผมไมได้ติสต์ขนาดที่ว่าทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองต้องการ คือเงินไม่ใช่เงินเรา ถ้าเราชอบดราม่าเราก็ต้องทำอะไรบางอย่างให้คนรู้สึกสนใจและมาดู ซึ่งกลุ่มคนสมัยนี้ถ้าจะมาดูหนังเขาก็รู้สึกมันต้องบันเทิงสนุกสนาน"
นอกจากกำกับหนังยังมีงานกำกับละคร
"ตอนเด็กๆ ผมชอบดูละคร พอมีโอกาสก็อยากทำ เรื่องแรกคือ รักนี้เคียงตะวัน ที่ ออย ธนา กับ จอย ศิริลักษณ์ เล่น เรื่องที่ 2 คือ ส้มหวานน้ำตาลเปรี้ยว ก้อง สหรัถ กับ ป๊อก ปิยธิดา มาเรื่องที่ 3 ช็อคโกแลต 5 ฤดู กำลังถ่ายทำ ซึ่งผมชอบละครเพราะเป็นคนชอบออกกองถ่าย"
แต่ผู้กำกับหนังไม่ค่อยจะมากำกับละครหรอก
"ผมว่าเป็นคนๆ มากกว่า แต่มันมีข้อแตกต่างกันบางอย่างระหว่างหนังกับละคร ละครงบอาจจะน้อยกว่า แต่การทำงานมันเร่งกว่าจนไม่มีเวลาเตรียมงานได้มากเท่าหนัง มันก็เป็นเงื่อนไขเฉพาะตัวของละคร คนทำหนังบางคนมาทำอาจจะรู้สึกเฟล ทำไมมันไม่ดีที่สุด แต่ผมมองว่าธรรมชาติงานมันต่างกัน ละครคนดูคนเล่นดูเรื่องราว ทำให้เราสามารถผ่อนปรนเรื่องโปรดักชั่นไปได้ เราทำบทให้ดีน่าสนใจเราปล่อยวางกับมันได้ แต่ถ้าคนปล่อยวางไม่ได้ก็ไม่ทำ คือเขาก็ไม่ได้ดูถูกเพียงแต่เขาทำไม่ได้
แต่ตอนแรกๆ ที่มาทำละครก็หงุดหงิดมาก ต้องถ่ายเท่านี้ต้องเสร็จเท่านี้ แต่เราไม่ ถ้าไม่ดีก็ไม่ได้ก็ไม่ถ่าย แต่ตอนหลังเริ่มเข้าใจว่าเราต้องจัดการบริหารเวลาให้ได้ ผมมองว่าละครคือศิลปะของการปล่อยวาง มันต้องปล่อยวางบ้างไง อย่างหนังถ้าไม่ได้ก็จะเอาให้ได้ ซึ่งโปรดิวเซอร์จะเป็นคนวางแผนเองว่าอันนี้เกินเวลา อันนี้เกินงบจะทำยังไง ส่วนผู้กำกับฯ มีหน้าที่ฝันและทำอย่างที่ฝัน ส่วนละครฝันได้แต่ว่าฝันนานไม่ได้ ฝันได้นิดเดียว คือละครต้องมีแง่มุมในการบริหารเวลามากกว่าหนัง เราต้องคิดเองว่าอันนี้ต้องทำให้ดี ต้องเปลี่ยนมุมกล้อง ต้องเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้ ตอนนี้ผมโอเค.แล้วกับงานละคร ขอให้ทีมงานตั้งใจทำงาน ทำงานกันอย่างมีสันติอย่าทะเลาะกัน ผมมีความสุขมาก ถ้าเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เราทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับทีมงานมาก เพราะถ้าไม่มีทีมงานผมทำอะไรไม่ได้เลย"
เคยมีคนแซวบ้างไหม ทำไมเราถึงมาทำละคร
"คือในจีทีเอชก็มีผู้กำกับหนังบางคนที่มาทำงานโฆษณาด้วยหรือทำเอ็มวีด้วย ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็เจ๋งดีนะ ได้เงินเยอะด้วยนะและดูเท่ด้วยนะ แต่เขาก็จะบ่นว่าลูกค้าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเขาก็จะบอกว่าพี่เอสทำไมทำละครดูโลโซ เราก็บอกไปว่าละครในกองถ่ายสนุกมากนะ แล้วเราชอบการเล่าเรื่อง เราไม่ชอบเอ็มวี ไม่ได้ชอบอะไรหวือหวาชอบแบบที่กล้องเหวี่ยงไปมา แล้วงานโฆษณาผมว่าไม่สนุกตรงที่ว่าทำงานกันแป๊บเดียวก็ไม่รู้จักกันแล้ว แต่ละครอยู่ด้วยกันนานไปกินเหล้าเฮฮาปาร์ตี้ด้วยกันได้ ผมเป็นคนชอบเฮฮา แต่ผมก็สามารถอยู่คนเดียวได้นะ แต่เวลาไหนเพื่อนอยู่เราก็อยากเฮฮา"
ทิ้งช่วงหนังนาน 3 ปี
"ค่อนข้างนานเหมือนกัน ที่ผ่านมาผมทำหนังปีต่อปี ทำ 3 เรื่องติดต่อกันเลย ตอนนี้หาเรื่องที่อยากทำ บางเรื่องบทไม่ดีก็ไม่ชอบไม่ทำ แต่ตอนนี้ผมกำลังเขียนบทหนังอยู่เป็นแนวคอมเมดี้ ผมกะว่าพอจบจากละคร ช็อคโกแลต 5 ฤดู ผมต้องกลับไปทำหนังแล้วล่ะ ไม่ทำไม่ได้มันคิดถึงมากกว่า ส่วนละครจะกลับมาทำอีกไหมต้องดูอีกที"
ตอนนี้มองวงการหนังยังไง
"ก็เดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ มีหนังไม่กี่เรื่องที่ได้เงินหรือโอเค. วงการหนังอินดี้ต่างหากที่มีอะไรใหม่ๆ อย่าง พี่เจ้ย อภิชาติพงษ์, พี่อาทิตย์ มีคนนั้นคนนี้ทำหนังสั้นได้รับรางวัลจากต่างประเทศหนังพวกนี้น่าสนใจดี ส่วนหนังที่เป็นกระแสหลักบางเรื่องก็ดีบางเรืองก็ไม่ดี แต่เรื่องที่ดีส่วนใหญ่จะเป็นหนังของจีทีเอช แต่กว่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะได้ทำมันใช้เวลาเยอะมากไม่ได้ง่ายๆ เลยนะ คนอาจจะมองหนังของจีทีเอชประสบความสำเร็จได้เงิน แต่คนที่โปรโมตหนังคนที่คิดสปอตต่างๆ ทุกคนต้องคิดแล้วคิดอีก ประชุมแล้วประชุมอีก ขนาดชื่อหนังกว่าจะได้มาก็คิดนานมาก ซึ่งผมก็ภูมิใจนะ"
อยากมีชีวิตที่เลือกได้
"ผมไม่ได้เป็นคนต้องการอะไร การที่ผมซื้อรถซื้อบ้านมันเป็นหนี้ที่ผมไม่อยากมี แต่เผอิญครอบครัวผมอยู่ต่างจังหวัดที่อยุธยา ผมก็เลยต้องซื้อบ้านให้พ่อแม่มาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เพราะท่านอายุมากแล้ว ผมคิดเอาไว้แล้วว่าผมจะอยู่กับพ่อแม่ ผมจะไม่แต่งงานเพราะไม่มีใครดูแลพวกเขา แต่ผมก็มีแฟนนะ แต่ก็คือแฟนไง แต่ไม่แต่งงานไม่ต้องรับผิดชอบครอบครัวของตัวเราเอง ตัวผมคิดว่าไม่อยากมีภาระ ผมไม่ชอบซื้อของแพง ไม่ชอบซื้อของเงินผ่อนถ้าไม่มีเงินก็ไม่ซื้อ อาจจะกินเหล้านิดหน่อยเพราะเราชอบสังสรรค์เฮฮา
คือคนเราสมัยนี้อยากได้ของดีๆ แต่ไม่เคยคิดว่าเรามีเงินเท่าไหร่ ก็ใช้บัตรเครดิตรูดไปก่อนจนทำไปเรื่อยๆ เหมือนเลือกชีวิตตัวเองไม่ได้ พอเราเป็นหนี้ก็ต้องทำงานไปเรื่อยๆ ใช้หนี้ ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น ผมอยากมีชีวิตที่เลือกได้ คือการที่เราไม่สร้างภาระไม่สร้างหนี้ เราผ่อนบ้านประมาณนี้ เรามีเงินเก็บเท่านี้ แล้วเราก็ไปช่วยเหลือสังคมบ้าง ถ้าเราทำงานหนังเบื่ออาจจะไปช่วยมูลนิธิปลูกป่าปลูกต้นไม้ ไปช่วยสอนหนังสือเด็ก ไปอยู่ในที่เงียบๆ และทำประโยชน์ให้กับสังคมบ้าง ทำอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าบ้าง
แต่ผมก็ดีใจมากนะ ที่ได้ทำอาชีพนี้มันสนุกมาก ได้เดินทาง ได้เจอคน ได้ทำงานที่ได้เงินด้วย เป็นอาชีพที่ดีมาก แต่ที่ดีที่สุดคือพอทำอะไรบางอย่างขึ้นมาเอามาฉายแล้วมีคนดูเราและหัวเราะร้องไห้ การทื่เราทำอะไรบางอย่างแล้วมีคนดูเราและรู้สึกไปตามที่เราอยากให้เขารู้สึก เขามีความสุขกับสิ่งที่เราทำอันนี้แหละดีที่สุดเลย"