ก้องเกียรติ โขมศิริ : เขาหาว่าผมเป็นผู้กำกับฯ ซาดิสต์
ใครที่ชื่นชอบหนังแนวสยองขวัญแบบโหดๆ หรือแนวทริลเลอร์ จะต้องรู้จักผู้กำกับฯคนนี้ "โขม" ก้องเกียรติ โขมศิริ จากผลงานที่ผ่านมาคือ ลองของ 1, ไชยา, เฉือน ผลงานของเขาอาจจะน้อยและไม่ใช่เป็นหนังที่ทำเงิน แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ชม และยังมีรางวัลการันตีความสามารถ คือรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 19 สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเรื่อง "เฉือน"
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาศิลปการแสดง จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ โขมก็เริ่มงานบันเทิงจากละครเวทีในฐานะคนเขียนบทที่มีผลงานหลากหลาย อาทิ บางระจัน, ขุนแผน, ขุนศึก, แรกบิน, 7 ประจัญบาน ภาค 1 และ 2, องค์บาก, คนเล่นของ, รักจัง, เปนชู้กับผี, ลองของ 1, ไชยา, เฉือน
ข้อมูลหรือวัตถุดิบในงานเขียนบท
"มาจากเรื่องราวในชีวิต จากการดูหนังเยอะอ่านมาเยอะและคิดเยอะ อาศัยรู้จักคนเยอะ เดินทางเยอะ ชอบเดินทางไปเยอะแยะทั่วโลก ทั้งทำงานและไปเที่ยว เพราะการเดินทางได้ข้อมูลและได้พักได้มองมุมอื่นๆ การเดินทางบ่อยๆ ทำให้เราเจอคนพูดภาษาอื่นบ้าง เพราะแต่ละที่มีวัฒนธรรมต่างกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณแม่ เพราะแม่เป็นครูเลยมีหนังสือเยอะมาก ทำให้ผมเขียนหนังสือแต่เด็ก เวลามีอะไรแม่ชอบให้เขียน ผมก็เลยชอบเขียนไปเรื่อย วันดีคืนดีบอกพี่ชายอยากเขียนบทหนังอยากทำหนังแต่ไม่รู้จะทำยังไง พอดีพี่ชายเป็นครีเอทีฟโฆษณาเขาบอกให้เราเขียนไปก่อน อยากเขียนอะไรเขียนไป
แต่ที่ถือเป็นครูในการเขียนบทหนังของผมคือ ผมไปร้านขายหนังสือเก่าๆ แล้วเจอบทภาพยนตร์อันหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีใครเคยเห็นบทภาพยนตร์เป็นไง แต่หนังสือเล่มนี้มันโดนตีพิมพ์เป็นเล่มเรื่อง "เพื่อนแพง" ของอาจารย์เชิด ทรงศรี ซึ่งคือครูของแท้ เพราะนอกจากมีบทหนังยังมีภาษาหนังบอกให้ด้วย ทำให้เราอ่านบทหนังจนจบ อุ้ย...น้ำตาไหล ร้องไห้เป็นเผาเต่า เรารู้สึกว่าบทหนังเรื่องหนึ่งมีผลและขลังขนาดนี้เลยหรือ เราคิดว่าทำขึ้นมาแค่ทำงาน"
ความชอบระหว่างงานเขียนบทกับงานกำกับฯ
"ชอบทั้งสองอย่างเพราะมันสนุกกันคนละแบบ เขียนบทสนุกแบบหนึ่งตรงที่ โลกในจินตนาการในกระดาษเป็นโลกที่เราคอนโทรลทั้งหมด พอมากำกับฯเราทำกระดาษให้เป็นภาพ ก็ต้องกับเจอปัญหามากมาย เรื่องคนเรื่องดินฟ้าอากาศ"
ส่วนใหญ่ทำหนังที่นำเสนอด้านมืดของคน
"มันเป็นมุมมืด มันเป็นวิธีเชื่อ หนังก็เหมือนเพลงมีหลายแนว ของผมอาจจะเป็นดนตรีร็อก แต่ตัวผมเองเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้ พื้นฐานผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เวลาผมคิดหรือมองปัญหาจะคิดหนึ่งอย่างเสมอว่าเลวที่สุดของทางออกที่จะเกิดคืออะไร แย่ที่สุดจะเป็นยังไง แล้วคุณรับได้มั้ยในสิ่งที่แย่ที่สุดถ้ารับได้ก็ทำรับไม่ได้ไม่ทำ ผมเริ่มต้นจากการมองโลกในแง่ร้าย แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีความหวังในชีวิต ผมมีความหวังเพียงแต่ว่า ผมเชื่อว่าถ้าสมมติเราอยากให้คนเห็นคุณค่าของแสงสว่างของแสงไฟเราต้องปิดไฟ"
วิธีคิดไม่ค่อยเหมือนใคร
"ผมไม่ได้เอาตัวเองเปรียบเทียบกับใคร ไม่ได้ดัดจริตจะคิดต่างจากคนอื่น แต่มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันเป็นไปเอง เหมือนร้อยคนเดินไปทางนี้แต่เราอยากเดินเฉๆ ไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นสันดาน อันนี้ต้องยกให้เครดิตของแม่ แม่ให้ผมเลี้ยงสัตว์ทุกอย่างแต่ถ้าเลี้ยงตายโดนตี อย่างตัวต่อเรโก้ เราอยากได้มากชุดนั้นชุดนี้แม่ซื้อให้ และให้ต่อจนเสร็จสมมติเป็นชุดวังก็ต้องต่อวังให้เสร็จ จากนั้นแม่ก็รื้อเลยเอาไปเทรวมกับชุดอื่นๆ แล้วแม่ก็บอกอยากต่อเป็นอะไรก็ต่อได้เลยไม่จำเป็นต้องต่อเป็นวังแล้วจะต่อเป็นบ้านเป็นสัตว์อะไรได้หมด
คือแม่สอนให้เรารู้จักกรอบก่อนคือมันเป็นวังนะ ต้องต่อเป็นวังก่อน หลังจากนั้นอยากต่อเป็นอะไรก็ได้ ความคิดมันแตกแยกไปเรื่อยๆ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ซึ่งอันนี้เราเชื่อว่าเป็นรากฐานที่ฝึกตัวเราโดยไม่รู้ตัวให้คิดต่างจากคนอื่น เพราะเราจะตั้งคำถามทุกอย่าง จะเกิดอะไรขึ้นวะถ้าเป็นอย่างนี้"
มีคนมองว่าเป็นผู้กำกับซาดิสต์และโรคจิต
"มีเยอะ แต่ถ้ามานั่งคุยกับเราจริงๆจะรู้ว่าเราปัญญาอ่อน แต่มันมาจากภาพภายนอกของเราด้วยที่อาจจะดูโหดๆ แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นผู้ชายปลูกต้นไม้เลี้ยงแมวหงุงหงิงไปเรื่อย แต่เราก็คิดว่าต่อไปจะทำหนังรักให้ดู ส่วนงานของผมตอนนี้มีหนังของ สหมงคลฟิล์ม กำลังจะฉายเป็นหนัง 4 โปรเจ็กต์ เรื่อง "หลุดสี่หลุด" และมีที่คุยกันไว้เป็นหนังแอ็กชั่น ผมกำลังเขียนบทอยู่"
ซีเรียสทำหนังดีแต่หนังกลับไม่ค่อยทำเงิน
"ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ สุดท้ายผมก็ไม่ค่อยแน่ใจและเกิดคำถามว่าทำไม ในเมื่อคนส่วนใหญ่ชอบแล้วทำไมไม่ไปดู เราเข้าใจว่ามีเงื่อนไขหลายอย่าง แต่ประเด็นส่วนใหญ่คนที่เดินเข้าไปดูหนังเราแล้วเดินออกมาประมาณ 80% บอกว่าหนังดีดูสนุกไม่ใช่หนังดูยาก อันนี้คือคนพูดมานะ แต่ทำไมคนไม่เดินเข้าไปดูหนังเรา เพราะฉะนั้นทำยังไง พอหนังเรื่อง "ไชยา" ไม่ค่อยทำเงินช่วงนั้นผมก็เฮิร์ตมากเหมือนอกหัก เพราะไปซีเรียสกับอินเทอร์เน็ตเยอะ คนชมก็มีแต่บางคนก็ด่ากันแรง ถึงขั้นพ่อแม่กันเลย เราก็เฮ้ย...ทำไมถึงขนาดนี้เลยหรือ ก็เลยหนีไปอยู่เวียดนาม 3 เดือน เดินทางดีกว่าอยู่ไม่ได้แล้วไปดีกว่า เราไม่ได้ตั้งใจหนีอะไรแต่คิดว่าเดินทางจะช่วยได้ พอกลับมาก็ดีขึ้นและอยากทำหนังอีกแล้วเลยได้มาทำ "เฉือน"
ทำหนังยุคนี้ต้องรัดเข็มขัด
"มันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของปัจจัยการลงทุนหลายๆอย่าง พูดง่ายๆสมัยนี้จะใช้ฟิล์มถ่ายหนังยังเป็นเรื่องยากเลย เพราะค่าใช้จ่ายมันสูงมาก แล้วดิจิตอลมันพัฒนาตัวเองไปเยอะ เขาก็ประหยัดโดยการมาใช้ดิจิตอลกัน คนทำหนังหลายคนก็เซ็งๆ ยังอยากใช้ฟิล์มเพราะมันได้ความรู้สึกมากกว่า ฟิล์มคือฟิล์ม ดิจิตอลก็คือดิจิตอล เราไม่ได้บอกว่าดิจิตอลไม่ดีแต่ฟิล์มจะมีคาแรกเตอร์ของมัน สำหรับผมได้ทั้งสองแบบจะฟิล์มหรือดิจิตอลก็ได้ แต่ส่วนใหญ่หนังที่ผมทำมาใช้ฟิล์มหมดเลย"
ลงทุนเปิดบริษัท FILM CHILLY เพื่อซัพพอร์ตตัวเอง
"เป็นบริษัทรับผลิตงานด้านทีวี มันเป็นอีกโพซิชั่นหนึ่ง ตัวผมก็ทำหนังไป แต่บริษัทนี้จะมาซัพพอร์ตงานที่เป็นทีวี ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของซีรีส์ แต่ยังไม่ไปถึงรายการซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต ที่มาเปิดบริษัทเพราะจริงๆ การทำหนังในชีวิตค่อนข้างอยู่ยาก ปีหนึ่งทำหนังเรื่องหนึ่งมันอยู่ยาก แล้วผมเชื่อว่ามันก็เหมือนเป็นสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้ว มันไม่ได้ใหญ่ขนาดหนังซึ่งเราควบคุมมันได้ บางทีเราเหมาหนังเรื่องหนึ่งมาทำโดยใช้ทุน 20 ล้าน ถ้าเราพลาดเราก็ล้มหัวทิ่มเลย แต่งานทีวีบางทีเราไม่ได้รับโปรเจ็กต์ใหญ่โตเรารับโปรเจ็กต์ เล็กๆ มาก็เลยทำได้ อย่างตอนนี้มีงาน "บันทึกกรรม" และหนังดังวันหยุด ที่ออกอากาศไปแล้วมีเรื่อง "เตี้ยเดอะตุ๊ก นักสืบตลาดแตก"
แต่งานทีวีบางทีผมไม่ได้ลงมา กำกับฯ เองทั้งหมด ผมจะดูแลแล้วเราก็เริ่มปั้นทีมใหม่ๆ ขึ้นมา น้องๆ ที่เคยมีผลงานหนังสั้น เราค่อยๆ ปั้นคน เปิดเพื่อซัพพอร์ตคนทำงานหนัง ตอนนี้มีหลายไอเดียยังอยากทำละครเวทีเลยแต่เป็นแค่โปรเจ็กต์เพราะเราต้องทำหนังก่อน รายการทีวีก็มองอยากทำรายการอาหาร เป็นรูปแบบรายการอาหารใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่ทำโชว์อย่างเดียวก็น่าสนใจ ผมอยากทำเพราะรู้สึกว่าอาหารเป็นเรื่องใกล้ตัวแล้วเราชอบทำอะไรที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเพียงแต่จะทำแบบไหน แต่ต้องรอให้พร้อมก่อนถ้าไม่พร้อมก็ไม่ทำ ซึ่งผมเคยเสนอหลายทีแล้วแต่มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ในส่วนของละครยาวต้องดูอนาคต ถ้ายังไม่มีใครพร้อมมาทำก็ยังรับไม่ได้"
ในเมืองไทยคนอาจไม่ค่อยรู้จัก แต่ไปดังไกลถึงเมืองนอก
"ตอนที่ผมไปฝรั่งเศสคนฮือฮาเกรียวกราว คนชอบกันทั้งเมืองทั้งจากหนังเรื่อง "ไชยา", "ลองของ" และ "เฉือน" เขาบอกไม่น่าเชื่อมีงานอย่างนี้ อย่าง "เฉือน" เขาบอกว่าเราสามารถทำหนังเรื่องที่รุนแรงให้ออกมาอย่างงดงามสวยงามมากๆ หลายคนเดินมาจับมือเราเป็นคนแก่ด้วยนะ บอกอย่าเลิกทำหนังแบบนี้ช่วยทำต่อไป เขาชอบมาก ก็ขอเป็น กำลังใจนะ ส่วนเด็กๆ เดินมาขอสัมภาษณ์ขอลายเซ็น ทำให้เรารู้สึกภูมิใจอย่างน้อยหนังเราไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่
แต่สุดท้ายปัจจัยมันคือการทำงานมากกว่า พวกนี้เป็นเรื่องของผลพลอยได้ เขาจะรู้จักเราหรือไม่รู้จักไม่ใช่เหตุผลของการทำหนังของเรา เรายืนยันมาตลอดว่าเราไม่ใช่ผู้กำกับหนังที่ดัง คนอาจจะรู้จักชื่อก้องเกียรติ โขมศิริ แต่พอเราเดินไปเขาไม่รู้เราคือก้องเกียรติ คนไม่รู้ว่าหน้าตาเราเป็นยังไง
แต่เรามาถึงวันนี้ได้มีความสุขกับการได้ลองอะไรใหม่ๆ กับการเล่าเรื่องอะไรใหม่ๆ ตัวผมเชื่อว่าแต่ละเรื่องมีข้อผิดพลาดและข้อดีของมัน จะบอกว่ามันเลวร้ายทั้งหมดผมก็ไม่เชื่อ จะบอกว่ามันดีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ใช่ มันยังมีแผลซึ่งผมเองต้องปรับปรุงแก้ไขดูแลมันต่อไป เพราะฉะนั้นการทำหนังแต่ละเรื่องมันคือการเดินทางอีกแบบหนึ่ง ถามว่าประสบความสำเร็จมั้ย ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จในเรื่องของการเดินทางต่อไป ผมยังสนุกอยู่"
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ