คุยกับเจ้าพ่อหนังผี ที่หันมาทำหนังรัก กวน มึน โฮ
หลังจากที่เคยจับมือกับ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เขย่าขวัญผู้ชมจาก ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ และ แฝด จนประสบความสำเร็จไปสองนัดซ้อนแล้ว โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกุล ก็เดินหน้ากำกับหนังสั้นของตัวเองคือ คนกลาง (4 แพร่ง) และ คนกอง (5 แพร่ง) ที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะไปพร้อมกับลุ้นระทึกชวนผวาได้น่าทึ่ง
คราวนี้เขากลับมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้มาทางถนัดแบบหนังสยองขวัญเหมือนเคย หากแต่เดินมาในเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน นั้นก็คือหนัง โรแมนติกคอเมดี้ กับเรื่องรักตลกเบาสมอง (แต่ไม่เบาความบันเทิง) ใน กวน มึน โฮ ที่จะ กวน มึน หรือ โฮ ได้ใจแค่ไหน แล้วเจ้าพ่อหนังสยองขวัญอย่างเขาจะตกม้าตายกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้หรือไม่
โปรดติดตามด้วยใจระทึกพลันได้ ณ บัดนี้เลย!
คราวที่แล้วคุยกันได้ยินคุณโต้งพูดมาคำนึงว่า ตอนนี้อยากหยุดทำหนังผีสักพัก มาทำหนังแนวอื่นบ้าง ตอนนี้ก็ได้ทำแล้วใน กวน มึน โฮ เป็นอย่างไรบ้างครับ
ใช่ ในที่สุด (ยิ้ม) ก็ดีครับ ท้าทายดี จริงๆ ถ้าใครติดตามก็น่าจะรู้ว่าผมพยายามดิ้นๆ อยู่แล้วล่ะ ว่าถ้าทำหนังผีก็จะไม่ทำเหมือนเดิม อย่าง "ชัตเตอร์" (กดติดวิญญาณ) เป็นผีเต็มตัว ระทึกขวัญใช่ไหมครับ พอ "แฝด" ก็เออ ดราม่า ซะหน่อย ลองดู พอ "คนกลาง" (4 แพร่ง) ยิ่งหนีชัดเจน ก็จะมีความกวนตีน ตลกร้ายเข้ามา แล้ว คนกอง (5 แพร่ง) ก็เพิ่มเบอร์เข้าไปอีก อำอะไรกันเต็มที่ใช่ไหมครับ เลยเริ่มติดใจอารมณ์ขันแบบกวนตีน เสียดสีแล้ว พอมาคิดเรื่องใหม่ก็เลยตั้งโจทย์ว่า เราอยากจะทำหนังรักที่ได้อารมณ์นั้นอยู่ คือ เราอยากจะทำให้มัน โรแมนติกสุดขั้ว ในขณะเดียวกันมันก็ต้องกวนตีนฉิบหายด้วย ก็เป็นการทดลองอีกแบบ คือในวินาทีที่หนังมันเหมือนจะปัญญาอ่อน ตลกมากๆ เนี่ย จริงๆ แล้วมันมีความเศร้าอยู่ในนั้น ผมอยากรู้ว่าจะทำได้ไหม?
คุณโต้งทำหนังสยองขวัญมาจนกลายเป็นลายเซ็น พอหันมาทำแนวใหม่นี่มันติดขัดหรือยากไหมครับ
จริงๆ ผมทำหนังทุกเรื่อง ผมแทบจะรู้สึกว่าตัวเองนับหนึ่งใหม่ตลอดน่ะครับ เพียงแต่ว่า สมมุติว่าหนังผีเนี่ย มันก็อาจจะรู้สึกว่าฉากผีเราก็ไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ เราก็จะมีทางของเรา แต่ทำยังไงให้มันยังเวิร์คอยู่มากกว่า แต่ว่าแต่ละอันมันก็จะมีโจทย์ที่ผมรู้สึกว่ามันนับหนึ่งใหม่สำหรับผม ตอน "คนกลาง" นี่ชัดเจนว่า อารมณ์ขันเนี่ย ผมยังไม่เคยทำ มีอย่างมากก็ใน ชัตเตอร์ ฉากกะเทยในห้องน้ำ (หัวเราะ) แล้วพอ "คนกอง" นี่ มันต้องบ้าขึ้น ทุกอย่างล้อเลียนหมดเลย ทั้งเรื่อง ผมรู้สึกว่า เอ๊ะ! ถ้ามันเลอะเทอะเกินไป แล้วคนเขาไม่เอาจะทำไง? หักมุมแปดครั้งน่ะ! นี่คือการนับหนึ่งใหม่ ทำยังไงให้พอดี ทุกเรื่องมันมีนับหนึ่งใหม่ ผมก็เลยรู้สึกกดดันเท่าๆ กันหมด (หัวเราะ) เพราะถ้ามันไม่ใหม่เราก็ไม่ทำอยู่แล้ว อย่างเรื่องนี้มันก็อาจจะยากที่มันยาวมาก พอมันยาวแล้วมันท้าทายไปหมด ถ่ายเมืองนอกอีกต่างหาก
เพราะทำหนังสั้นติดๆ กันมาสองเรื่อง?
ใช่ มันเหมือนร้างมาอยู่พักนึงเหมือนกัน ก็เลยอาจจะเหนื่อยกว่า อีกอย่างเพราะว่าอยู่ต่างประเทศ มันหนาวมาก เวลาน้อยอะไรอย่างนี้ มันก็จะเหนื่อยกว่า
พูดถึงถ่ายทำต่างประเทศ เรื่องนี้บินไปถ่ายทำกันถึงประเทศเกาหลีนี่ถือว่าใช้ทุนสูงไหมครับ
จริงๆ พอหนังถ่ายเมืองนอกแล้วเราใช้อุปกรณ์ไม่ได้เต็มร้อยเท่ากับถ่ายหนังเมืองไทยอยู่แล้วใช่ไหมครับ เพียงแต่ว่า ตอนแรกโจทย์เราเหมือน หนีตามกาลิเลโอ เรื่องนั้นใช้กล้องดิจิตอล เพียงแต่ว่าคุณภาพมันโอเค สวยงาม และก็มีการจัดแสงอยู่บ้าง แต่ทีนี้เราจะเพิ่มเติมเข้าไปว่า ผมรู้สึกว่าเกาหลีอยู่ใกล้กว่า ค่าใช้จ่ายก็น่าจะถูกกว่า มันไม่ได้ไปยุโรปสามประเทศเหมือนกาลิเลโอฯ ผมก็เลยอยากได้เลนส์ฟิล์ม ทีนี้พอเพิ่มเลนส์ไปเนี่ย การจัดแสงมันต้องมากขึ้นอีกเยอะเลยครับ แล้วก็อยากจะมีการเคลื่อนกล้อง ต้องมีอุปกรณ์ต้องมีอะไร เพราะหนังมันจะเป็นคนละแบบกับกาลิเลโอฯ ต่างกันโดยสิ้นเชิง กลายเป็นว่างบแพงกว่ากาลิเลโอฯ เยอะเลย (หัวเราะ) ตอนแรกคิดว่าจะถูกกว่า เพราะต้องใช้ทีมเกาหลี ใช้ช่างไฟเกาหลี ใช้อะไรเต็มไปหมด
อันนี้เป็นข้อบังคับเหรอครับ ว่าต้องใช้ทีมของเขา?
ไม่ๆๆ เพราะเราก็เอาไปเฉพาะบางส่วนที่จำเป็น เพราะถ้าเอาไปเยอะก็ยิ่งแพงกว่าแน่ๆ ก็กลายเป็นว่ามันมากกว่าที่เราคิดเยอะ แล้วระบบระเบียบที่นั่น ยกตัวอย่างเช่น ระบบการจ้างนักแสดงประกอบ พอกลางคืนแล้วมันทวีคูณสามเข้าไปเลยน่ะ! เพราะว่าค่าแท็กซี่กลับมันแพงมาก เวลาปกติเค้ากลับรถไฟฟ้ามันก็ถูกไง คือทุกอย่างมันก็เลยทวีคูณกว่าเยอะ โชคดีที่มีการท่องเที่ยวเกาหลีสนับสนุน จริงๆ เค้าเป็นบริษัททัวร์ เพียงแต่เค้ามี คอนเน็คชั่นกับทางกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งการท่องเที่ยว
ไปหามาได้ยังไงครับ
จริงๆ ได้มาวินาทีสุดท้ายเลยครับ คือเคยมีหนังไทยเรื่องนึงเคยติดต่อกับเขาไว้แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าขั้นตอนแค่ไหน เราก็ไปหาไปหา มาจนกระทั่งไปเจอ เราก็ลองพูดคุย ปรากฏว่าเค้าดันสนใจอยากจะร่วมงานกับจีทีเอชอยู่แล้ว และเค้ามีคอนเน็คชั่นที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลเกาหลีมาก ซึ่งคอนเน็คชั่นเค้าเจ๋งจริงๆ ครับ เพราะว่าเวลาทีมงานเราค่อนข้างน้อย แต่ปรากฏว่าทุกอย่างฉลุยมากจริงๆ แล้วทุกอย่างเป็นระบบ อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลประเทศเค้าชัดเจนมากในเรื่องการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และการท่องเที่ยว ทุกอย่างมันเลยง่ายมาก
พูดถึงตัวหนังบ้าง เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ สองเงาในเกาหลี ของคุณทรงกลด บางยี่ขัน ทำไมถึงเลือกหนังสือเรื่องนี้มาทำครับ
คือ...ช่วงที่กำลังจะเริ่มถ่ายคนกอง ผมก็ได้อ่านเล่มนี้พอดี แล้วก็ผ่านไปตั้งนานแต่ยังคิดถึงมันอยู่ แต่ว่าคิดถึงแค่ประเด็นบางอย่างในหนังสือเล่มนี้นะ คือต้องออกตัวก่อนว่าหนังของผมจะค่อนข้างเปลี่ยนจากหนังสือเยอะ มากๆ น่ะ ประมาณ 90% เลยน่ะ เราแค่ดึงประเด็น ธีมของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ เค้าจะพูดเรื่อง "การรู้จัก ไม่รู้จัก" คือประมาณว่า บางทีทำไมกับคนที่เราไม่รู้จัก เรากลับกล้าพูดคุยเรื่องราวทุกอย่างยิ่งกว่าคนรู้จักอีก อะไรคือคำว่ารู้จักกันแน่ ประเด็นมันน่าสนใจ มันฟังดูอาร์ตเหมือนกัน ฟังดูเหมือนจะเป็นหนังเรื่อยเปื่อย แบบอาร์ตมากๆ ไปเลย ซึ่งมันก็จะเข้าไม่ถึงคนดูหนังไทยทั่วไปใช่ไหมครับ พอเป็นลายเซ็นเราแล้วเนี่ย ผมมองมันมากับอารมณ์ขัน แล้วผมก็เลยคิดว่า เออ ช่วงนี้กระแสเกาหลีมันมาเนี่ย มันมีทั้งด้านที่คลั่งไคล้ ใช่ไหมครับ? ปลื้มมาก อย่างพวกเด็กๆ ที่คลั่งไคล้นักร้องเกาหลี พวกแม่บ้านที่บ้าละครเกาหลี มีคนที่ไปเที่ยวตามรอยละคร แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีคนที่รู้สึกว่า "อะไรกันนักกันหนา!" ใช่ไหม? มันก็เป็นประเด็นที่น่าสนุก ถ้าเกิดเราทำหนังที่มีตัวละครที่จิกกัดความเป็นเกาหลี ในขณะเดียวกันเราก็มีอีกด้านนึงที่ชื่นชอบ แล้วคนสองคนก็เดินทางไปด้วยกัน ไปเรียนรู้รสชาติของเกาหลีที่แท้จริงว่ามันเป็นยังไง แล้วอีกประเด็นนึง...จริงๆ มันมีหลายอันจากหนังสือเล่มนี้ที่จุดประกายผม ผมคิดประเด็นขึ้นมาอันนึงว่า เออ เวลาเราไปเมืองนอก บางทีเรากล้าทำกล้าพูดอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยกล้าทำ เพราะพออยู่ในเมืองไทยเราต้องแคร์สายตาคนรู้จักใช่ไหม? อย่างบางคนไปเรียนเมืองนอกแต่งตัวซะแรง ย้อมสีผม เปลี่ยนเป็นคนละคน เอ๊ะ! มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างใน ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักเรา แล้วเราพูดภาษาเราออกไปก็ไม่มีใครฟังออก เราจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ได้ มันมีเสน่ห์ ก็เลยคิดพล็อตขึ้นมาว่า คนสองคนนี้เดินทางไปด้วยกันแล้วค้นพบเมจิกอันเนี้ย ก็เลยเริ่มตกลงกันว่า งั้นเราก็ไม่ต้องรู้จักกันด้วยดีกว่า เราจะได้กล้าเล่าทุกเรื่อง กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่มีพันธะใดๆ ต่อกัน ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจ ก็เลยรู้สึกว่าเรื่องมันพิเศษดี
ซึ่งตรงส่วนนี้คุณโต้งเสริมขึ้นมาเอง?
เสริมขึ้นมาเอง คือทำให้ไอเดียของหนังสือมันขีดเส้นใต้มากขึ้นมากกว่า ทำให้มันเป็น What If? ที่มันแรงขึ้นนิดนึง
ทำให้มันมีความเป็นหนังมากขึ้น?
ใช่ครับ คือตัวหนังสือเนี่ย ต้องบอกเลยว่า จริงๆ แล้ว พี่ก้อง (ทรงกลด) เค้าเขียนไว้ดีมาก แต่เค้าจะเป็นบันทึกการเดินทางที่เป็นภาษาหวานๆ ความโรแมนติกจะเยอะ แต่ของผมจะใส่ความเป็นหนังและความกวนตีนเข้าไปอีกเยอะ (หัวเราะ)
อย่างเรื่องราวในหนังส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือ?
ไม่มีครับ แต่ว่าประเด็นยังอยู่ ฉากหลังบางฉากมีอยู่
อย่างการเขียนบทที่ให้คุณเต๋อ (ฉันทวิชช์ ธนะ เสวี - ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต) พระเอกของเรื่องเขียนบทเองด้วย ปกติเคยทำงานด้วยกันไหมครับ?
เคยครับเคย จริงๆ แล้วที่คิดคาแรคเตอร์พระเอกว่าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่า ตั้งแต่ตอน 4 แพร่ง ผมเขียนบทขึ้นมา แล้วให้ เต๋อ กับ เมษ (ธราธร) ที่เป็นผู้กำกับ "บ้านฉัน ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)" มาช่วยเติมมุก ซึ่งสองคนนี้จะมาทางฮาเฮแต่ไหนแต่ไรแล้วไงครับ แล้วพอรู้จักขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้ว่า เต๋อนี่จริงๆ แล้วมันเป็นคนกวนตีนมากๆ แล้วก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวอยู่มากๆ เป็นเด็กที่กล้าทำอะไรที่มันทุเรศทุรัง ปัญญาอ่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในสื่อมาก่อน คนจะไม่รู้ว่าเค้าเป็นขนาดนี้ (หัวเราะ) อย่างปิดเทอมใหญ่ก็นึกว่าหล่อๆ หรืออย่าง โปรแกรมหน้าฯ ก็จะซีเรียสเชียว ซึ่งครั้งแรกพอเริ่มฟอร์มทีมหนังเรื่องนี้แล้ว เราก็เลยคิดคาแรคเตอร์ "หมวดโอภาส" ขึ้นมา ซึ่งอยู่ใน "สายลับเดอะซีรีส์" ซึ่งเต๋อมันจะกล้าปัญญาอ่อนเต็มขั้นเลย แล้วปรากฏว่าฟีดแบ็คดีมาก ซึ่งเป็นผมกับเต๋อแล้วก็น้องอีกคนที่เขียนบท กวน มึน โฮ ด้วยกัน คิดขึ้นมา แล้วก็เขียนบทตอนเปิดตัวหมวดโอภาสขึ้นมา คือปั้นขึ้นมากับมือเลย ว่ามันจะปัญญาอ่อนแค่ไหนได้ แล้วก็ปัญญาอ่อนจนกระทั่งชาวบ้านจำคาแรคเตอร์นี้ได้เลย คนรู้สึกว่ามันตลก ช่วงนั้นเราก็คิดไว้พักนึงแล้วล่ะว่าจะดึงเต๋อในด้านนี้ออกมา ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่เหมือนพระเอกคนไหนในเมืองไทย ที่มันกล้าปัญญาอ่อนขนาดนี้ ในขณะเดียวกันมันเล่นดราม่าได้บ้างอะไรบ้าง มันก็ถือว่าเป็นทางใหม่
เขียนบทเอง ให้ตัวเองเล่น?
ใช่ (หัวเราะ) ช่วยกันเขียนน่ะครับ จริงๆ ผมจะนำอยู่แล้วน่ะ แล้วทุกคนก็จะมาช่วยกันรวมหัว พอดีตั้งแต่ 4 แพร่ง เราก็เริ่มรู้จักตัวตน แล้วก็เริ่มซี้ แล้วก็เริ่มจะรู้แล้วว่ามันมาทางไหนอะไรยังไง
แล้วอย่างชื่อ กวน มึน โฮ นี่ กวน นี่พอจะรู้แล้ว แต่ มึน กับ โฮ นี่มายังไงครับ
คือมันจะมีรสชาติมึนๆ บางอย่าง เพราะเรื่องนี้มันรู้จักกันด้วยแอลกอฮอล์ส่วนหนึ่ง มึนเมา อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ฮาๆ เหมือนเรื่องรักมึนๆ เล็กน้อย เพราะมันจะมีความกวนตีนอะไรกันอย่างนี้ "โฮ" ก็คือความซาบซึ้ง
แล้วส่วนไหนเยอะสุด กวน มึน หรือ โฮ?
ผมว่ามัน "กวน" เยอะที่สุด แต่สุดท้ายมันต้อง "โฮ" ให้ได้ นี่คือเป้าหมายของหนัง
จะตลกมาแค่ไหน...
สุดท้ายก็ต้องประทับใจ นี่เป็นเป้าหมายสุดท้ายนะครับ อย่างที่บอกว่า วินาทีที่มันเหมือนจะฮาสุดขีด ผมอยากให้มันมีความเศร้าปนตอนท้ายๆ แต่วินาทีที่เหมือนกำลังจะโรแมนติก ผมอยากให้มันกวนตีนอะไรอย่างนี้
ประมาณหักมุมอารมณ์เหมือนตอน คนกลาง กับ คนกอง?
ใช่ๆ นี่คือความตั้งใจ แต่ผมว่ามันอีกโจทย์นึงเลยนะ มันก็ยากอีกแบบ จริงๆ ตอนจะทำ 4 แพร่ง ผมก็นอยด์มากนะ ว่ามันจะทั้งฮาทั้งกลัวได้หรือเปล่าวะ แต่ผมก็ทำเต็มที่ หวังว่ามันจะเกิด แล้วโชคดีที่ลักษณะความเป็นเต็นท์ความเป็นอะไรบางอย่างมันสร้างบรรยากาศได้ แล้วผมโชคดีอีกอย่างที่คนที่มารับบทตัวละครสี่ตัวที่ผมเซ็ตเอาไว้มันใช่จริงๆ ผมว่าพอคนอินกับตัวละคร อะไรจะเกิดมันก็อินหมดแหละครับ อย่างตอน 5 แพร่ง ขนาดเถิดเทิงขนาดนั้น ตอนฉากในรถ คนก็ยังกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ผมก็รู้สึกว่า เออ! ถ้าตัวละครดีมันก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
นักแสดงก็มีส่วนช่วย
ใช่ๆ ก็แคสต์ถูกจริงๆ น่ะ ทุกคน
อย่างเต๋อนี่ เราก็เห็นว่าเขาเล่นหนังคอเมดี้ได้จาก สายลับเดอะซีรีส์ แต่นางเอกใหม่ในหนังเรื่องนี้ล่ะครับ
โห! นี่โจทย์ยากมาก เพราะหาอยู่นาน คือหนึ่ง เราไม่อยากได้คนที่เป็นนางเอกอยู่แล้ว สอง ในเรื่องนี้พอมันเป็นเรื่องการเดินทางไปด้วยกันโดยที่ไม่รู้จักกัน แปลว่า มันจะกล้าบ้าบิ่นได้เต็มที่ ใช้คำว่า อยู่ต่างแดนแล้วเต็มที่กับชีวิตน่ะ แสดงว่านางเอกคนนี้ต้องกล้าทำอะไรทุเรศทุรัง ต้องกล้าบ้าบิ่น ก็ต้องเต็มที่จริงๆ ซึ่งเราก็หาอยู่นานมาก คือบางคนลุคได้ การแสดงไม่ได้ เต็มไปหมด จนกระทั่งมาเจอน้องคนนี้ ซึ่ง เขาเคยไปเล่นละครมาบ้าง แต่เล่นเป็นบทสมทบมากๆ เป็นตัวสร้างสีสัน ตัวฮาอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย แต่พอดูเทปก็ เออว่ะ! ดูมีความน่าสนใจบางอย่าง แต่ก็ต้องปรับลุคเค้าให้เข้ากับหนัง แล้วพอมาปรับจริงๆ แล้ว สิ่งที่ค้นพบคือ หนึ่ง นอกจากเค้าจะมีความกล้าบ้าบิ่น แล้ว แต่พลังของเค้าจริงๆ คือ ดราม่า ซึ่งผมรู้สึกว่ามันจะช่วยเสริมส่วน "โฮ" ของผมได้เยอะเลย เพราะว่าจริงๆ ตัวละครตัวนี้ไม่ว่ามันจะปัญญาอ่อนแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนท้ายตัวละครตัวนี้ได้รับบทดราม่ามากที่สุด ก็เลยโชคดีที่ได้ หนูนา (หนึ่งธิดา โสภณ์) มา เพราะเค้าตอบโจทย์ได้ทั้งสองด้าน
การถ่ายหนังเมืองนอกนี่มีอุปสรรคเรื่องภาษาหรืออะไรบ้างไหมครับ
จริงๆ มันก็มีอยู่แล้ว เพราะว่ามันต้องใช้ล่ามอะไรใช่ไหมครับ มันต้องหลายทอด แต่กลายเป็นว่า พอลงไปทำจริงๆ แล้วมันน้อยมาก เพราะการแสดงของพวกคนเกาหลีส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่บางคนเนี่ย เป็นแค่คนขับรถ เป็นทีมงานที่มาดูแลเรา ปรากฏว่า เฮ้ย! มันฮาว่ะ! มันมีเสน่ห์ ลองเอามาแคสต์ดูซิ ตอนทำเทปไม่เท่าไหร่ แต่พอเล่นจริงนี่ โอ้โห! ส่วนใหญ่เล่นดีมาก คือเหมือนธรรมชาติของคนเกาหลีเค้ารักการแสดงหรือยังไงก็ไม่รู้ (หัวเราะ) มันออกมาธรรมชาติมากๆ
แสดงว่านักแสดงประกอบนี่ได้มาจากทีมงานที่นั่นเหรอครับ?
มีหลายส่วนครับ หนึ่งคือ มีประกาศไปทางเว็บ มีรับสมัคร ก็มีอาสาสมัครบ้าง ก็ดูรูป เรียกมาแคสต์ก็มี เรียกจากโมเดลลิ่งก็มี ไปเดินหาตามท้องถนนก็มี แล้วอีกอย่างนึง บางส่วนก็เป็นคนรู้จัก เป็นทีมงานเกาหลีเราเองนี่แหละ กลายเป็นว่าทุกคนเล่นได้หมดเลยน่ะ คือ มันรู้สึกทึ่งเหมือนกันนะ ว่าคนเกาหลีเล่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ อันนึง เป็นเรื่องน่าอะเมซิ่งมากๆ คือแค่เอ็กซ์ตร้า (นักแสดงประกอบ) เค้าที่เดินผ่านไปมาเนี่ย เค้าเตรียมเสื้อเองมาหลายๆ ชั้น แล้วเค้ารู้ว่า ทันทีที่เดินผ่านเฟรมไปทีนึง เค้าถอดเสื้ออีกตัวนึง แล้วเดินมาอีกทีนึงเหมือนเป็นคนใหม่ ถอดอีก เดินกลับมาอีกทีนึง หันหน้าหลบให้ด้วย (หัวเราะ) โห! แบบ มืออาชีพโคตรน่ะ!
คือไม่ต้องจ้างหลายคน
ช่ายย แล้วเค้าทำของเค้าเองโดยไม่ต้องสั่งเลยนะครับ คือคนนี้เป็นเอ็กซ์ตร้าที่เราจ้างมาจากโมเดลลิ่ง แต่เราก็คุยกันในเรตพิเศษว่าเราไม่ได้มีงบมากมาย แต่เค้าก็มาเต็มที่ขนาดนี้เนี่ย สุดยอด
ได้ยินว่ามีเรื่องฮาๆ ที่เกิดจากการจิกกัดความคลั่งไคล้เกาหลีด้วย
อ๋อ เยอะเลยครับ อย่างที่บอกว่าเราจะจิกกัดความเป็นเกาหลีน่ะ เหมือนว่าทำไมต้องตามรอยละครอะไรขนาดนั้น ทำไมต้องอย่างโง้นอย่างงี้...
แล้วส่วนตัวรู้สึกแบบนั้นไหม?
รู้สึกอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเราไม่ได้แอนตี้อะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว เราแค่รู้สึกว่า มันก็น่าตลกดีเหมือนกัน ที่บางคนคลั่งไคล้ถึงขั้นว่าไปตามหาแค่ไอ้ร้านที่เคยเป็นฉากในหนัง แต่พอไปจริงๆ ก็พบว่าจริงๆ โลเคชั่นมันก็สวย มันน่าถ่ายไปหมดเลยน่ะ เข้าใจได้ว่ามันก็ไม่ได้ไร้สาระน่ะ มันก็มีเสน่ห์แบบนึง ผมว่ามันเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคน
แล้วอารมณ์หนังเน้นไปที่ส่วนไหนครับ ใช้ประโยชน์ของโลเคชั่นสวยๆ หรือจิกกัดความคลั่งไคล้เกาหลี?
ผมว่าพอๆ กันเลยนะ จริงๆ ช่วงต้นของหนังเนี่ย มันจะเป็นการจิกกัดเยอะ จิกกัดการไปเที่ยวทัวร์ จิกกัดการไปเที่ยวตามรอยละคร คนที่คลั่งไคล้ละครเกาหลี คลั่งไคล้กระแสเกาหลี แต่พอไปเรื่อยๆ พอสองคนนี้เดินทางไปด้วยกันแล้ว มันก็จะเป็นเสน่ห์ของเกาหลีเพียวๆ แล้ว เพียงแต่ว่าในแง่ทัศนคติก็ยังจะมีการถกเถียงกันตลอดเวลา
ผู้หญิงคลั่งไคล้ ผู้ชายจิกกัด?
ใช่ ก็จะมีการโต้เถียงกันตลอดเวลา
ไปถ่ายหนังในเกาหลีมา น่าจะได้เห็นอะไรมาเยอะพอสมควร อยากถามว่าความเป็นเกาหลีที่เราเห็นในสื่อต่างๆ กับความเป็นเกาหลีจริงๆ นี่มันเหมือนกันไหมครับ ทั้งผู้คน บ้านเมืองอะไรอย่างนี้
ก็เหมือนบ้าง ไม่เหมือนบ้างนะครับ คือก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าคนเกาหลีบางส่วนดูเป็นคนอารมณ์รุนแรง คือรู้สึกอย่างไรแสดงออกอย่างงั้นเลย เราจะเห็นจากหนังที่มีการตบหัวกันเยอะๆ นึกออกไหมครับ โวยวาย พูดจาเสียงดัง อะไรอย่างนี้ แต่พอไปเจอจริงๆ พอทำงานด้วยกันแล้วรู้เลยว่า เค้าเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมากๆ เต็มที่มาก จริงใจมาก รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมา มันทำให้ลักษณะการแสดงออกของเค้าเป็นแบบนั้น ก็เหมือนญี่ปุ่นที่นอบน้อมอยู่นั่นแหละ แต่ข้างในเค้าโคตรมีความขัดแย้งอยู่เยอะมาก เค้าเป็นคนเก็บไง แต่เกาหลีเป็นคนชอบแสดงออก มันไม่เหมือนกัน ก็เหมือนคนไทยที่ชิลๆ ง่ายๆ ฝรั่งก็อีกแบบนึง ผมว่าแต่ละประเทศก็มีเสน่ห์ในแบบของเค้า
พูดถึงเกาหลี คุณโต้งมองว่าวงการหนังของเค้าเป็นอย่างไรบ้างครับ จากที่เคยเฟื่องฟูเอามากๆ ในยุคหนึ่ง
ในแง่หนังบล็อกบัสเตอร์ผมว่าอยู่ในขาลง พวกหนังกระแสหลัก ก็จะเห็นว่ามันเริ่มซ้ำไงครับ หลังจากช่วงยุค Il Mare, My Sassy Girl, The Classic ก็จะมีหนังทางนี้ออกมาเยอะมาก แต่ผมว่าเค้าก็ยังอยู่ได้ เพราะว่าเค้ามีตัวจริงอยู่เยอะจริงๆ โดยเฉพาะทางสายผู้กำกับคุณภาพนี่ โห! เยอะมากๆ คิมกีด็อก, บงจุนโฮ, คิมจีอุน งานเค้าดูกี่ทีก็สู้ฝรั่งสบาย ผมว่าเก่ง บางเรื่องนี่ดีฉิบเป๋งเลย ส่วนหนังตลาดก็มีขึ้นๆ ลงๆ ตามกระแสบ้าง
ส่วนนึงมันบูมเพราะการผลักดันสนับสนุนจากภาครัฐของเขาด้วย
ใช่ แต่ทุกอย่างมันก็คล้ายๆ กันนะ ตอนนี้สังเกตว่าพลังดาราเกาหลีจะไม่เท่าเดิมแล้ว
ตอนช่วงไปถ่ายทำหนังเกาหลี ได้มีโอกาสร่วมงานกับวงการอุตสาหกรรมหนังของเกาหลีบ้างไหมครับ
ก็...ไม่ถึงขั้นนั้นนะครับ แต่ก็มีการพบปะ พูดคุยอะไรกันเยอะเหมือนกัน อย่างแรกสุดก็ไปเจอ Soul Film Commission ซึ่งเค้าก็จะดูเลยว่า เราช่วยอะไรคุณได้บ้าง เช่น การถ่ายทำในสถานที่สาธารณะทั้งหมด เขาช่วยได้หมดเลย หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีการแอบถ่ายนะครับ ขออนุญาตถูกต้อง 100% ไม่มีมั่วซั่วเลย
ทำให้ทำงานง่ายขึ้น?
ใช่ รัฐบาลให้การสนับสนุนทุกอย่าง
ได้ยินว่าถึงขนาดปิดลานเล่นสกีถ่ายทำเลย
ใช่ๆ เต็มที่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าได้ขนาดนี้ ได้มากกว่าที่คิด
โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากกมาย
มีบ้างครับ มีบ้าง แต่ว่าก็ในเรตที่รับได้ ถ้าต้องจ่ายเต็มๆ ในที่อย่างนี้นี่คงไม่รอด งบคงบานปลาย
การได้ทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมหนังบ้านเขาแล้วเนี่ย รู้สึกว่ามันแตกต่างยังไงกับของบ้านเราบ้างครับ
ผมว่ารัฐบาลเค้าเอาจริงมาก มีระบบระเบียบชัดเจน แล้วก็ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมหนังแบบสุดยอด ยกตัวอย่างเช่น ที่ทุกอย่างมันง่ายขนาดนี้เพราะเค้าโปรโมทการท่องเที่ยวด้วยไง ก่อนหน้านี้หลายปีที่แล้วตอนที่เกาหลียังไม่มีกระแสอะไรเนี่ย เค้าให้ผู้กำกับหนังมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมน่ะ ผลักดันการท่องเที่ยว ผลักดันโน่นนี่ขึ้นมา เปลี่ยนเมืองใหม่หมด ทุกวันนี้มีแต่คนแห่เข้าไป คนญี่ปุ่นยังหันมาเที่ยวเกาหลีเลย ผมว่าพลังทางวัฒนธรรมเค้ามันรุนแรงมาก
คุณคิดว่ามีทางที่อุตสาหกรรมหนังของเราจะตามเขาทันได้บ้างไหม อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ผมว่าอีกนานครับ ถ้าเกิดรัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญอย่างที่เป็นอยู่ คงยาก ผมไม่รู้ว่าเค้าทำได้ยังไงนะ เค้าทำให้พลังดาราของเกาหลีมันเหนือเอเชีย ทั้งๆ ที่ภาษาก็พูดกันอยู่ประเทศเดียว อย่างจีนก็พอจะเข้าใจได้เพราะว่ามีคนพูดภาษาจีนเยอะ แต่เกาหลีพูดกันอยู่แค่ในเกาหลี แต่เค้าสามารถทำให้เด็กไทยอยากไปเรียนภาษาเกาหลีได้ มันสุดยอดจริงๆ น่ะ! คือเค้าต้องใช้ทุกภาคส่วนรวมกัน
หนังจากค่ายจีทีเอชที่ไปถ่ายทำในเมืองนอกมาเหมือนกันอย่าง "หนีตามกาลิเลโอ" ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าไหร่ แล้วเรื่องนี้ล่ะครับ เป็นห่วงไหม
ผมมองว่า กาลิเลโอฯ จริงๆ แล้ว เนื้อหามันไม่ได้แมสมาก มันเป็นเรื่องของเพื่อนสองคน เป็นเรื่องมิตรภาพ เรื่องอีโก้ เป็นเรื่องของตัวละครที่ไม่ได้วงกว้างมากนักอยู่แล้ว แล้วก็การตั้งชื่อหนังที่มีคำว่า "กาลิเลโอ" มันไม่ใช่คำที่เรียกแขกมากอยู่แล้ว อาจจะยาก แต่เรื่องนี้ โดยพื้นฐานผมว่ามันเป็นหนังตลก แล้วก็เป็นหนังรักอีกต่างหาก เป็นหนังรักเต็มตัวกว่ากาลิเลโอฯ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะย่อยง่ายกว่ามั้ง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ทำในทางของเราแหละ เราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจ๊งไม่เจ๊ง ได้ตังค์ไม่ได้ตังค์ เราก็แค่ทำให้มันเต็มที่
ในทางกลับกัน หนังตลกที่มีส่วนผสมของเรื่องรักโรแมนติกเหมือนกันอย่าง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เองก็ทำรายได้ถล่มทลาย คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมีโอกาสแบบนั้นบ้างไหม?
ผมไม่มองตัวเอง ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องร้อยล้านอะไร แค่คนดูชอบมัน แล้วก็มีคนดูประมาณนึง ไม่ขาดทุนก็พอ แต่ว่าถ้ามันบูมก็ดีใจนะ เพราะผมว่ามันน่าจะมีความรู้สึกร่วมของคนดูบางส่วนที่น่าจะอินกับประเด็นของหนังเรื่องนี้ คือ หนึ่ง อย่างที่บอกว่ากระแสเกาหลีทุกวันนี้ แบบอารมณ์ขันจิกกัดอะไรบางอย่างของตัวละครพระเอก ในขณะเดียวกันมันก็มีด้านที่ชื่นชอบ ชื่นชมคลั่งไคล้ความเป็นเกาหลีอยู่ในนั้น ผ่านตัวละครนางเอก อีกอันนึงคือประเด็นที่ว่า การใช้ชีวิตเต็มที่ในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ผมว่าประเด็นมันน่าสนใจดีน่ะ
จากหนังผีหันมาทำหนังโรแมนติกคอเมดี้แบบนี้ คิดจะเปลี่ยนแนวทางไปเลยหรือเปล่าครับ
ผมไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องเปลี่ยนไปทุกแนว หรือจะกลับมาหรือไม่กลับมาไหม แค่ว่าตอนนั้นเราอยากเล่าเรื่องอะไร แล้วเรื่องมันน่าเล่าจริงหรือเปล่า วันดีคืนดีอาจจะคิดง่ายๆ เอาไอ้สี่คนใน 4 แพร่ง 5 แพร่ง กลับมาทำใหม่ แล้วเรื่องโคตรมันเลย อาจจะทำก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะเป็นผีซีเรียสไปเลยก็ได้ ถ้ามีเรื่องที่ดีนะ เพียงแต่ว่ามันอาจจะยากขึ้นแล้ว เพราะผมเริ่มเบื่อแล้วเหมือนกัน ยกเว้นจะมีเรื่องที่อยากทำ แต่มันยังไม่เจอไงครับ ถ้าผีแบบ "ชัตเตอร์" มันต้องการเรื่องที่สดมากไงครับ ตอนนั้นมันยังใหม่อยู่
เออ แล้วคุณโต้งคิดยังไงกับ ชัตเตอร์ ฉบับฮอลลีวูด
ผมว่า ข้อแรกเลย คือมันไม่น่ากลัว เค้าดันไม่เน้นเรื่องน่ากลัวเลย ก็เลยงงๆ เอ๊ะ! ทำไมมันทำมาทางนี้ อีกเรื่องนึงคือผมไม่ชอบแคสต์ มันไม่น่าสนใจ สองคนนี้ ดูไม่มีเคมีอะไรเลย แล้วพระเอกเนี่ย มันดูเป็นคนแบดบอยตั้งแต่ต้นน่ะ ซึ่งจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันต้องเป็นพระเอกที่น่าสงสารน่ะ คือ อนันดา มันทำผิดในเรื่อง แต่จริงๆ มันน่าสงสาร ทำให้ตอนจบมันเป็นโศกนาฏกรรมน่ะ แต่พอมันเป็นแบดบอยมันกลายเป็นเรื่องกรรมไป มึงก็สมควรโดนแล้วล่ะ คนดูก็จะไม่อินน่ะ
สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ หนังคุณโต้งบ้างครับ
ก็.... คนอาจจะมองว่าเป็นหนัง จีทีเอช อีกแล้ว เกาหลีอีกแล้ว แต่อยากให้ลองดูที่เนื้อในมัน ผมมองว่ามันอาจจะเป็นหนังรักของ จีทีเอช ในอีกรสชาตินึง ซึ่งลายเซ็นของผมคงไม่เหมือนกับพวกพี่ๆ "แฟนฉัน" ซึ่งเค้าทำแนวของเค้าไว้ได้ดีมากๆ อยู่แล้ว ผมก็ทำในลายเซ็นของผมนี่แหละ ว่าจะออกมาเป็นยังไง แล้วก็อีกอย่าง เราถ่ายเกาหลีเพราะเรามีเรื่องอะไรจะเล่าเกี่ยวกับมัน มีธีมบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องราวแอนตี้โรแมนติกในดินแดนแห่งหนังรักเนี่ย ผมมองว่าคอนเซ็ปต์มันแรง แล้วไม่ได้แปลว่าไปถ่ายเกาหลีเพราะตามกระแสหรืออยากไปเที่ยว มันไม่ใช่ อยากให้รู้สึกว่า ถ้าคุณอยากดูเพราะตัวพล็อตของมัน ก็มาดู อย่าไปมองว่ามันตามกระแสเกาหลี แค่นี้แหละครับ (ยิ้ม)
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ