สัมภาษณ์ ชาคริต ในโปรเจกต์ ฝัน-หวาน-อาย-จูบ
Q เป็นไงมาไงถึงได้มาร่วมงานในโปรเจกต์ ฝัน-หวาน-อาย-จูบ?
ชาคริต : คือตั้งแต่อ่านบทก็สนใจทันที คือมันตอบคำถามทุกคนรวมไปถึงตัวเองเลยว่า ทำไมความรักหรือคนที่รักกันมันต้องหวาน คือไอเดียแล้วก็สิ่งที่หนังกำลังจะบอกมันดีมาก แล้วก็ตรงที่ผู้ชายที่ชื่อ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้กำกับ คือติดตามผลงานของพี่ปรัชมาหลายเรื่องแล้ว ก็เลยอยากร่วมงานกับพี่ปรัชสักครั้ง
Q ความรู้สึกเมื่อรู้จะมีโปรเจกต์ฝันหวานอายจูบ ?
ชาคริต : พอรู้ก็แบบน่ารักดีนะ เพราะเป็นหนัง 4 แบบ 4 วัย มีทั้งเป็นคู่ มีทั้งเป็นกลุ่ม ผมอาจจะเป็นรุ่นใหญ่สุดในนั้น แล้วก็ด้วยตัวผู้กำกับที่มาทำ 4 เรื่องรักนี้ แต่ละคนก็ดูถนัดนะ (หัวเราะ) อย่างพี่ปรัชก็จะมาแนวแอ๊คชั่นหน่อย แต่เรื่องนี้แกหันมาทำโรแมนติก ซึ่งพอได้มีการพูดคุยกันแล้วจริงๆ พี่ปรัชแกมีมุมมองความรักที่น่าสนใจมาก อีกอย่างด้วยไอเดียและบทบาทที่ได้รับก็ท้าทายตัวเรา
Q ในเรื่องนี้รับบทเป็นใคร และคาแรกเตอร์ที่ได้รับเป็นอย่างไร ?
ชาคริต : เรื่องนี้รับบทเป็น ราเชนทร์ เป็นสถาปนิกหนุ่มที่มีครอบครัว แล้วก็เป็นคนบ้างาน เหมือนมนุษย์คนหนึ่งที่มีทั้งเทา ดำ ขาว อยู่ในตัว ราเชทร์บ้างานจนหลงลืมที่จะมอบความรักให้แก่ภรรยา จนต้องทะเลาะกับภรรยาตัวเองบ่อยๆ จนมันไปกระทบกระเทือนถึงจิตใจของเขา และอาจจะต้องสูญเสียเขาไป สุดท้ายเราก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น ก็เป็นคู่ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง คือสำหรับตัวละครตัวนี้มีน้อยมากที่จะได้ยิ้ม ถือว่ายากแต่ก็ท้าทายกับตัวเรา
Q บทบาทของราเชนทร์ในเรื่องแตกต่างกับตัวตนของชาคริตอย่างไรบ้าง ?
ชาคริต : คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ แต่ผมก็มีบ้างานเหมือนกัน บ้ากันจนเป็นกรรมพันธุ์ แต่ที่แตกต่างจากตัวราเชนทร์แน่ๆ เลยคือ ผมเป็นคนที่ใส่ใจความรักมากกว่าเขา ผมเป็นคนที่ละเอียดมาก เป็นคนที่จุกจิกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขนาดแม่ยังบอกเลยว่าใครมาอยู่กับผมคงอยู่ยาก จนเหมือนผู้หญิง เพราะผมใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนเกินไป ซึ่งบางครั้งก็ไม่ดี ก็จะเป็นคนที่ละเอียดมากเวลาที่มีแฟน
Q พูดถึงเรื่องราวของหวาน ?
ชาคริต : หวานเป็นเรื่องของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ใช้ชีวิตด้วยกันมานาน จนความหวานในความรักเริ่มจืดจาง เพราะฝ่ายชายก็คือผมในบทของราเชนทร์มัวแต่ทำงานหนักเพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัวมาจนเกินไป จนภรรยาที่ชื่อหวาน (รับบทโดย นุ๊ก-สุทธิดา) เกิดอาการขาดความรัก และสูญเสียความทรงจำ ราเชนทร์เลยต้องพาหวานกลับไปยังจุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ เพื่อรักษาคนรักและความรักครั้งนี้เอาไว้
Q เรื่องนี้ได้มาประกบคู่กับ นุ๊กสุทธิดา ร่วมงานกันแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?
ชาคริต : ก็รู้สึกดีใจครับที่ได้ร่วมงานกับคุณนุ๊ก ก็เคยรู้จักเขาในภาพของความเป็นนักร้องมากกว่านักแสดง แต่เขาก็ทำได้ดีนะในเรื่องของการแสดงละครหรือหนัง แต่ผมก็ไม่เคยร่วมงานกับเขามาก่อน เรื่องนี้ได้มาร่วมงานกันเรื่องแรก ก็เจอบทบาทหนักๆ กันเลย ซึ่งบทบาทหวานที่นุ๊กเล่นเนี่ย เป็นคาแรกเตอร์ที่ยากมาก คือเป็นผู้หญิงที่ขาดความรักและเวลาจากคนที่ตัวเองรัก จนกลายเป็นความเจ็บปวด คือต้องเจออะไรที่กระทบจิตใจเยอะมาก แล้วในเรื่องนุ๊กจะต้องเล่นหลากหลายอารมณ์ คือตัวละครหวานจะผิดหวังในความรักจนความทรงจำและนิสัยจะย้อนกลับไปเรื่อยๆ จากวัยผู้ใหญ่ย้อนกลับไปเป็นเด็ก นุ๊กเองก็ทำได้ดีมากๆ ดูแล้วมันน่าเหนื่อยแทนนะ (หัวเราะ)
Q ทราบมาว่าเข้าฉากกับนุ๊กวันแรกก็เจอฉากอารมณ์หนักๆ เลย ?
ชาคริต : ก็พอรู้ว่าฉากแรกที่ต้องถ่ายเป็นซีนอารมณ์ที่หนักมาก ก็เครียดเลยนะ (หัวเราะ) ก็ต้องทำการบ้านหนักเหมือนกัน คือถ่ายทำกันวันแรกเราอาจยังไม่อินกับบทมาก แล้วก็ต้องมาเข้าฉากทะเลาะกับนุ๊กซึ่งก็ยังไม่รู้ทางการส่งอารมณ์กัน แต่ด้วยความผู้กำกับช่วยเติมเต็มในส่วนของอารมณ์และความชัดเจนของคาแรกเตอร์ให้เราก็เลยง่ายมากขึ้น ผมกับนุ๊กก็ต้องมีการจูนอารมณ์กันให้ติด เรื่องของจังหวะ เพราะฉากนี้ถือเป็นการทะเลาะกันระหว่างราเชนทร์กับหวาน ที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ผ่านไปด้วยดีครับฉากนี้ เพราะผมกับนุ๊กคลิ้กกันในเรื่องจังหวะ และการรับส่งอารมณ์ รวมไปถึงพี่ปรัชเองก็ช่วยตบแต่งให้มันดูสมูทที่สุด
Q แล้วการทำงานร่วมกับผู้กำกับที่ชื่อ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นอย่างไรบ้าง?
ชาคริต : ตอนแรกก็มีติดภาพพี่ปรัชเป็นทางแอ๊คชั่นอยู่นะ แต่เท่าที่มีการพูดคุยกัน หรือพอได้ทำงานร่วมกัน ก็รู้เลยว่าพี่ปรัชก็มีมุมของความรัก หรือความโรแมนติกที่น่าสนใจมาก ดูจากไอเดียของเรื่องหวานก็ได้ แล้วการทำงานของพี่ปรัชก็เป็นมืออาชีพมาก และเราก็เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งที่เขาเป็นคนพูดน้อย อธิบายน้อย แต่ด้วยความที่เราก็เป็นคนคิดเยอะอยู่แล้ว เราก็คอนเฟิร์มสิ่งที่เราคิด เขาก็บอกว่าใช่ก็เลยทำงานง่าย แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของนักแสดงและผู้กำกับที่จะต้องสื่อสารกันอยู่แล้ว ลองมาดูหนังรักในการกำกับของเจ้าพ่อหนังแอ๊คชั่นบ้าง แค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว
Q คิดว่าเสน่ห์และความน่าสนใจของเรื่องหวานอยู่ที่ตรงไหน?
ชาคริต : จริงๆ หนังเรื่องนี้น่าจะชื่อขมนะ (หัวเราะ) คือเรื่องหวานต้องการจะบอกว่าถ้าคนเราหมั่นให้ความหวานต่อกัน มีความรักให้กัน ใส่ใจซึ่งกันและกัน อย่าให้ความรักระหว่างคุณกับคนที่รักต้องมีความขมเข้ามา ซึ่งมันดูทำกันง่ายๆ นะ แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อความรัก เพราะเดี๋ยวนี้คนเรามีอะไรต้องรับผิดชอบ มีอะไรที่วุ่นวายในชีวิตมากขึ้น แต่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ยากหรอกกับการจะถามคนที่เรารักว่าเหนื่อยมั้ย เป็นไงบ้าง แต่ถ้ายังมีการวางฟอร์มกัน อันนี้ฉันไม่ทำ อันนี้ฉันไม่พูด ก็ไม่ต้องมีแฟนซะเลยดีกว่า เหมือนตัวผมตอนนี้ไง ก็ไม่มีแฟน แต่จริงๆแล้วถ้าจะคบใครสักคนก็รู้สึกอะไรก็ทำแบบนั้น อย่าใช้สมองเพื่อเอาความรักจากเขา แต่ต้องให้ความรักเขาก่อนแล้วเดี๋ยวก็จะได้ความรักกลับมาเอง
Q หนังเรื่องหวานให้ข้อคิดหรือมุมมองอะไรกับเราบ้าง?
ชาคริต : สิ่งที่ประทับใจคือ เรื่องหวานเป็นการได้เตือนสติ หรืออาจทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็จะได้ข้อคิดกลับไปปรับปรุงความรักของตัวเอง คือชีวิตคนเราจริงๆมันไม่มีอะไรเลย คนเราไม่ได้ต้องการอะไรที่มันใหญ่โตหรอก อย่างตัวราเชนทร์ที่ทำงานหนักเหลือเกิน เพื่อมาสนองเรื่องอนาคตที่มั่นคง แต่ว่าทำจนลืมไปว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วคุณตัดตรงนั้นไปให้หมดแล้วคุณก็มุ่งไปที่สิ่งเดียวก็คือความรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด
Q ส่วนตัวชาคริตเปรียบเทียบความหวานกับอะไร ?
ชาคริต : ผมว่าความหวานเป็นเรื่องของเวลา เพราะผมเป็นคนที่ถ้าเกิดมีแฟนก็อยากจะอยู่กับช่วงโมเม้นนั้นมากๆ ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน อยู่ที่ว่าเราสนใจที่จะสังเกตุมันหรือเปล่า บางทีเรานั่งอยู่กับแฟนเรา ท่ามกลางบรรยากาศคนเยอะๆ แต่พอเราได้หันมามองตากัน ทุกอย่างจะลงล็อคจะ pause ไปหมด มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้ซึ่งกันและกัน แค่มีเราสองคนก็พอแล้ว คนอื่นจะคุยกันยังไง นั่นแหละแสดงว่าความรักกำลังหวานมากในช่วงนั้น
Q ส่วนตัวเป็นคนหวานหรือเปล่า? ชาคริต : ก็ไม่รู้ว่าหวานหรือเปล่านะ แค่ว่ารู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น แต่ว่าไม่มีพูดคำน้ำเน่าอะไรเท่าไหร่ แค่รู้สึกอะไรก็จะพูดออกไป ถ้าสมมุติรู้สึกว่าตายให้ใครคนหนึ่งได้ ถ้ารู้สึกจริงๆ ก็พูด ไม่เห็นว่าหวานหรือจะน่าอายตรงไหนเลย แต่ถ้าจะพูดคำหวานให้ใครรู้สึกดีก็คงไม่ เพราะว่าถ้าเราพูดอะไรไปหลายๆอย่างแล้วมันไม่จริง เหมือนพูดไปตามลม แล้วมันจะส่งผลเสียกับทั้งเราและคนที่ฟังเราพูดโกหก Q คิดว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมากน้อยแค่ไหน ? ชาคริต : ก็น่าจะมีบ้างนะ คนเราก็ต้องมีความโรแมนติกกันบ้าง ถ้าบอกว่าไม่โรแมนติกเลยอาจจะเป็นเพราะโรแมนติกคนละอย่างมากกว่า คือถ้าผมมีแฟน ถ้าจะพาเขาไปกินข้าว ถ้าจะบอกรักเขาคงไม่ต้องให้รอถึงวาเลนไทน์ ถ้าผมคิดอยากจะกอดแฟนขณะที่เดินข้ามถนนอยู่ อยู่ตรงเกาะกลาง ผมก็จะกอดตรงนั้นเลยไม่รอให้ข้ามถึงฝั่ง ผมรู้สึกว่าอยากจะแสดงความรักให้กันเมื่อไหร่ก็น่าจะทำได้ Q ส่วนตัวมองความรักสำคัญแค่ไหน ? ชาคริต : ความรักสำคัญมากสำหรับผม เพราะเราเกิดมาจากความรัก ชีวิตของคนเราจะอยู่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัวมันก็ต้องอยู่ด้วยความรัก เพราะถ้าอยู่แบบล่องลอยก็คงไม่ได้ คนเราทุกคนก็อยู่กันเพื่อความรักทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรักในรูปแบบไหนก็ตาม Q เรื่องราวหวานๆ ในความทรงจำที่ประทับใจ ? ชาคริต : เรื่องราวหวานๆ ที่ประทับใจ คงเป็นตอนที่เราวาดภาพให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความที่เราเคยเรียนวาดรูปมา ช่วงนั้นเป็นวัยรุ่นก็มีแฟนอยู่คนหนึ่ง พอถึงวันเกิดของเขาเราก็คิดจะทำอะไรพิเศษๆ ให้เขาบ้าง จะพาไปเที่ยวทะเล หรือว่าจะพาไปกินข้าวดี แต่สุดท้ายก็ได้ไอเดียว่าวาดรูปเขาด้วยมือเราดีกว่า ซึ่งก็ใช้เวลาวาดเป็นอาทิตย์เพราะไม่ได้วาดแบบจริงจังมานาน ก็อยากให้มันดูธรรมดาที่สุดแต่มีความหมาย แต่ก็ทำจนสำเร็จ ซึ่งจำได้ว่ารู้สึกดีมากเมื่อได้เห็นสีหน้าของเขาตอนที่รับของขวัญชิ้นนี้จากเรา ก็เลยรู้สึกประทับใจเพราะเราตั้งใจทำมาก Q ฝากผลงานเรื่องหวาน และโปรเจกต์ ฝัน-หวาน-อาย-จูบ ? ชาคริต : ก็ขอฝากผลงานหนังเรื่องหวานด้วยนะครับ ขอบอกว่าเรื่องหวานสนุกสุดกว่าอีก 3 เรื่อง (หัวเราะ) คือโดยรวมของโปรเจกต์ฝันหวานอายจูบ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันเลยนะ เพียงแต่ว่ามี 4 อารมณ์อยู่ในหนังเรื่องเดียว เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังรัก ก็อยากให้ไปดูกันครับ ฝากไว้ด้วยกับ ฝัน-หวาน-อาย-จูบ