ผมเป็นคนอยู่ได้ด้วยความรัก คำสารภาพ อั้ม อธิชาติ
แจ้งเกิดจากเวทีการประกวดดัชชี่บอยแอนด์ เกิร์ล ปี 1997 มาจนถึงวันนี้ อั้ม อธิชาติชุมนานนท์ ก้าวขึ้นมายืนในฐานะพระเอกแถวหน้าของวงการบันเทิง ได้อย่างสง่าผ่าเผย
แถมเป็นพระเอกงานชุกของช่อง 3 ที่เรียกได้ว่าละครทุกเรื่อง สามารถเรียกเรตติ้งได้กระฉูด รวมถึงละครเรื่อง บาดาลใจ ที่กำลังออกอากาศอยู่ขณะนี้ แต่ถึงแม้จะคิวทองขนาดไหน อั้ม ก็เจียดเวลามาให้แฟนๆ "คม ชัด ลึก" ได้รู้จักตัวตนของเขากันที่นี่
ผลงานตอนนี้
ก็มีเรื่องบาดาลใจ ที่ออกอากาศอยู่ ส่วน "บริษัทบำบัดแค้น" และ "โบตั๋นกลีบสุดท้าย" กำลังถ่ายทำอยู่
บทบาทแต่ละเรื่องหนักๆทั้งนั้น
ก็ใช่นะผมว่าการเป็นนักแสดง เราก็ต้องมีการพัฒนาตลอดเวลาอยู่แล้ว เราก็ต้องเปลี่ยนไม่ให้บทบาทซ้ำเหมือนเดิม หรือทำให้ความเป็นตัวของเราเองออกมาในบทบาท ไม่งั้นมันก็ไม่ถือว่าเป็นการแสดง
เหมือนว่าผู้ใหญ่ไว้ใจ
ก็เรียกว่าผู้ใหญ่เมตตาดีกว่าเช่นถ้าเล่นดราม่าบ่อยๆ พี่ปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) ทีวีซีน ก็จะบอกอยากให้ไปเล่นเป็นคอมเมดี้บ้าง จะมีละครแนวคอมเมดี้ให้เล่นบ้าง ซึ่งถ้าถามว่าผมชอบดราม่าไหม ผมก็ชอบนะ เพราะมันมีอะไรให้เล่นเยอะ อย่างในเรื่อง "บริษัทบำบัดแค้น" เล่นกับพี่แอน ทองประสม พี่แอนก็ต้องเล่นเป็นคนจิตใจไม่ปกติ อยู่โรงพยาบาลบ้า ผมก็เล่นเป็นคนบ้า หน้าเสียไปครึ่ง มันยาก แต่ก็สนุก ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ต้องไปค้นคว้าทำการบ้าน ไม่ได้กดดัน เพราะงานทุกงานเราต้องเต็มที่อยู่แล้ว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
ถูกมองว่าเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งของช่อง3
ไม่หรอกจริงๆ พระเอกของช่องมีเยอะแยะหลายคน เพียงแต่ๆ ละคนก็มีบทบาทแตกต่างกันไปในแต่ละช่วง ช่วงนี้ละครแบบนี้ รสชาติแบบนี้ อาจจะเป็นที่ชื่นชอบของคนดู ก็แล้วแต่
ละครแต่ละเรื่องที่อั้มเล่นเรตติ้งค่อนข้างดี
ก็อาจจะเป็นด้วยบทด้วยทีมงาน ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าถามว่าตัวผมมีส่วนขนาดไหน ผมก็ไม่รู้ว่ามีส่วนขนาดไหน แต่ถือว่าทุกครั้งที่เราทำงาน เราก็เป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่ละคนก็รับบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป เราก็เป็นส่วนหนึ่งของบทบาทในตัวละคร ถ้าไม่มีนักแสดงคนอื่น ไม่มีบทบาทแบบอื่น มันก็คงไม่สามารถส่งเสริมให้บทบาทที่เราเป็นอยู่ดีขึ้นไปได้ หรือถ้าเราไม่สามารถทำได้ เราก็ไม่สามารถส่งเสริมให้งานที่เขามีอยู่ มันดีขึ้นมาได้อีกเหมือนกัน
แสดงมาหลายบทบาทตัวตนจริงๆ ของอั้มเป็นอย่างไร
ตัวจริงก็ซาดิสต์โรคจิต (หัวเราะ) จริงๆ ถ้าผมสนิทกับใคร ก็จะชอบเล่น ชอบแหย่เขา เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างซีเรียสจนเกินไป บางทีสังคมก็เครียดอยู่แล้ว ถ้าจริงจังกับชีวิตเกินไป มันก็ไม่ผ่อนคลาย เพราะสังคมมันก็จริงจังอยู่แล้ว บางทีการผ่อนคลาย ก็จะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ถึงกับเป็นคนขี้เล่นซะทีเดียว คือบางอารมณ์ บางเวลา บางทีผมก็มีสองบุคลิกที่ค่อนข้างแตกต่างกัน อย่างกับคนละคนกันเลยก็มีนะ
รู้ตัวว่าอยากทำงานวงการบันเทิงเมื่อไร
จริงๆไม่เคยรู้ตัว ไม่เคยอยากทำ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่ตอนแรกคุณแม่แนะนำ ว่ามีรุ่นพี่ที่เขารู้จักส่งรูปผมเข้าไปประกวด แล้วผมก็เข้ารอบแล้ว จริงๆก็ไม่อยากจะไป แต่คุณแม่บอกว่าให้ลองไปดูแล้วกัน คุณแม่ทั้งผลัก ทั้งถีบ ทั้งส่ง คือตอนนั้นเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยชอบการทำงานในวงการ การเป็นนักแสดง เป็นอาชีพสุดท้ายในชีวิตที่อยากจะทำเลย ต่อให้ได้เงินเยอะแค่ไหนก็ไม่อยาก แต่มันก็จับพลัดจับผลูเข้ามา แล้วก็ทำให้รู้ ว่าจริงๆ วงการบันเทิงเราก็ไม่ได้รัก การที่อยู่เบื้องหน้า แสง สี ไฟ หรือท่ามกลางความเป็นที่สนใจต่างๆ ไม่ได้อยากทำขนาดนั้น แต่ผมชอบศิลปะการแสดง ที่เราได้ปลดปล่อยสิ่งที่เรามี
ผมเป็นคนขี้อายเป็นคนเก็บความคิด ความรู้สึกมาตั้งแต่เด็ก มันเหมือนเราได้มีสถานที่ มีสนามให้เราได้ปลดปล่อยสิ่งที่เราคิดอยู่ในหัว อาชีพนี้มันมีหลายอย่างมากที่ผมไม่เคยทำ แต่ผมสามารถทำได้ สิ่งที่ไม่เคยทำเป็น ผมก็ทำเป็นได้ ด้วยอาชีพนี้
ณวันนี้รักอาชีพนี้หรือยัง
รักนะเป็นอาชีพที่ผมรัก ส่วนในด้านปัจจัยอื่นๆ บางอย่างก็เป็นอุปสรรคในการทำงาน บางอย่างเป็นสิ่งที่เราต้องต่อสู้ ยังต้องพบเจออยู่ ซึ่งก็คงเหมือนทุกๆ อาชีพที่ต้องมีปัจจัยอื่นๆ เป็นอุปสรรคแตกต่างกันไป
จริงๆตอนเด็กฝันอยากเป็นอะไร
ฝันอยากเป็นวิศวะเป็นสถาปนิก คือสมัยเรียนก็เรียนวิศวะ เรียนวิทย์ แต่ตอนนี้ไม่อยากเป็นแล้ว เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้น่ะดีแล้ว เพราะเป็นอาชีพนักแสดง ทำให้ผมได้ใช้จินตนาการ ได้ใช้ทรัพยากรในร่างกายของเราอย่างเต็มที่ ยอมรับว่าวงการบันเทิงมีเสน่ห์ ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ก็แล้วแต่ว่าเราจะชอบแบบไหน
ยากขนาดไหนกว่าจะมาได้ถึงวันนี้
ก็ยากนะมันก็ไม่ได้สบาย เพราะแรกๆ ผมไม่ได้ชอบอยู่แล้ว ไม่ได้มีใจ มันก็ทำให้เริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นที่เขามีใจให้อยู่แล้ว หรือมีความสามารถทางด้านนี้อยู่แล้ว
สิ่งที่ยากที่สุดในการยืนอยู่ในวงการบันเทิง
สิ่งที่ยากที่สุดคือการพัฒนาตัวเอง ไม่ให้หยุดอยู่กับที่ เพราะถ้าเรารู้สึกว่าเราพัฒนาแล้ว เราอิ่มแล้ว เราจมอยู่กับการสรรเสริญเยินยอ หรือการที่คนรอบข้างชื่นชอบชื่นชมอยู่ตลอด จะทำให้เราหยุดการพัฒนาตนเองมันไม่ใช่แค่นั้น เราต้องมองตัวเองอยู่ตลอด ว่าเราทำอะไรอยู่แค่ไหน แล้วต้องพัฒนาตัวเองตลอด มันต้องแข่งขันกับตัวเอง เพราะในอาชีพนี้ การยึดติด การจมอยู่กับภาพต่างๆ ที่คนอื่นสร้าง หรือสิ่งต่างๆ สร้าง หล่อหลอมให้เราเป็น มันเกิดขึ้นง่ายมาก
อั้มเคยยึดติดสิ่งเหล่านั้นบ้างไหม
มันก็มีนะช่วงเด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างสวยหรูมาก มีแต่คนห้อมล้อม มีแต่คนชื่นชอบ มันอยู่กับความสวยงามตลอด ก็มีช่วงเป๋ไปบ้าง แต่พอนึกถึงว่าเราชอบงานตรงนี้ไม่ใช่เหรอ อยากทำงานไม่ใช่เหรอ ทำไมเราไม่โฟกัสที่งาน ทำงานให้ดี ถ้าเราทำงานให้มันดีแล้ว เราก็จะสามารถเลือกงานได้ ว่าเราจะทำแบบไหน เราจะทำสิ่งที่ชอบ หรือเลือกไม่ทำสิ่งที่เราไม่ชอบได้
เป็นพระเอกชื่อดังทำให้การใช้ชีวิตยากขนาดไหน
จริงๆผมไม่เคยคิดถึงตรงนี้ ไม่เคยยึดติด แต่ถามว่ายากแค่ไหน มันก็ไม่ได้ยากมาก เพียงแต่อย่างคนทำงานออฟฟิศ ก็คือต้องทำงานให้ดี เป็นที่พอใจของเจ้านาย แต่ทำงานตรงนี้ นอกจากทำงานให้ดีแล้ว เราก็ยังต้องรักษาในสิ่งที่จะออกมาข้างนอกให้ดีด้วย ไม่งั้นมันจะกระทบทุกอย่างในการทำงานของเราหมด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องระวังตัว ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะอาชีพของเรา เป็นอาชีพที่ใช้ทรัพยากรในร่างกายของเราในการทำงาน แต่ไม่ใช่สร้างภาพให้เป็นในสิ่งที่ไม่ใช่เรานะ สำหรับผม ผมไม่นิยมในการทำอย่างนั้น ถ้าตัวผมเป็นยังไง ก็จะให้เป็นในแบบที่เป็น และเชื่อว่าสิ่งที่ผมเป็น มันก็น่าจะดีต่อคนที่เห็น ไม่ใช่ว่าดีสำหรับคนที่เห็น แต่ไม่ใช่ในสิ่งที่เราเป็น
เหนื่อยใจไหมเวลาเจอข่าว
ก็เหนื่อยนะแต่ไม่ได้ท้อ เพราะอันไหนที่ไม่ใช่เรื่องจริง ผมก็มีแรงที่จะต่อสู้ มีแรงที่จะตอบทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ขอให้ฟังในสิ่งที่ผมพูดแค่นั้นเอง
เหนื่อยกับข่าวไหนที่สุด
ก็คงจะเป็นข่าวที่ไม่ใช่เกิดจากความเป็นจริงเช่นข่าวเกย์ ซึ่งมันเยอะมาก แล้วผมตอบอยู่บนพื้นฐานที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเราเป็นยังไง ผมตอบความจริงตลอด แต่สิ่งที่มาถาม กับสิ่งที่ตอบไป กลับไม่เป็นอย่างที่ผมตอบ
เห็นตอบเรื่องนี้บ่อยมาก
จริงๆผมตอบเรื่องนี้ชัดมาก โต้กลับไปแรงๆ หลายที พอผมโต้กลับไปแรงๆ ข่าวก็เงียบ ผมโต้ว่าช่วยตาม ช่วยหาให้ผมหน่อยได้มั้ย ภาพหรือเรื่องราวอะไรก็ได้ ให้เป็นหลักฐานนำมาแฉ ไม่ใช่มาตอดเล็กตอดน้อยอย่างนี้ ผมไม่ได้ท้า อวดดี หรืออวดเก่ง แต่ผมก็แค่บอก ว่าพิสูจน์ให้ดูได้ไหมล่ะ กับข่าวถ้ามันเป็นจริง มันต้องมีหลักฐานอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นมี แล้วข่าวก็หายเงียบไป คือมันเหมือนข่าวมาจากความเชื่อความคิดของตัวเอง แต่ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ผมเป็น
ทำไมถึงตัดสินคนอื่นจากความคิดแล้วมานั่งตอดเล็กตอดน้อยผม ถามหน่อยถ้าย้อนกลับไปมองตัวเองบ้าง ถ้ามีคนมาตัดสินคุณทั้งที่คุณไม่ได้เป็น หรือคุณไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ตัดสินจากความคิดของเขาเอง คุณจะรู้สึกยังไง ถ้าเขาตัดสินเพียงแค่ว่า เขาคิดว่ามันเป็นแบบนี้ ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมนะ ผมขอถามใครก็ได้ ที่คิดจะจับปากกาเขียนถึงเรื่องราวแบบนั้นเกี่ยวกับผม
คิดว่าอะไรที่ทำให้คนมองเราเป็นแบบนั้น
เป็นเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบได้เป็นเพราะหน้าตาผิวพรรณของผมอย่างนี้น่ะเหรอ อย่างคนที่ไม่รู้จักผม เขาจะมองว่าผมดูหวาน ดูสะอาด แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย หนึ่งผมดูสะอาดในรูปลักษณ์ของการทำงาน สองความสำอางอาจจะเพราะผมเป็นคนขาว ปกติผมก็จะไว้หนวด อยู่กองถ่าย ก็จะแกล้งรังแกคนอื่นไปทั่ว สิ่งที่เห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นในแบบที่คิดเสมอก็ได้
ข่าวนี้ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
มันก็อาจจะมีบ้างกับคนที่ไม่รู้จักผมเลยหรือบางคนแค่เคยได้ยิน หรือชอบเอาเรื่องราวคนอื่นมานั่งคุยกันหลังกินข้าว หรือระหว่างพัก มันมีอยู่แล้ว บางคนฝากเพื่อนมาถาม ว่าใช่หรือเปล่า เป็นหรือเปล่า
มีผลเวลาจะไปจีบผู้หญิงไหม
มันก็อาจจะมีบ้างคือถ้าคนที่เขารู้จักผม ก็จะรู้อยู่แล้ว ว่าผมเป็นยังไง แต่พอเพื่อนเขาบอก ว่ามีข่าวอย่างนี้ๆ นะ เขาก็เอ๊ะ ลังเล ทำไมคนพูดแบบนี้ มันก็มีผล ซึ่งถ้าคนรู้จักผม แล้วผมต้องมานั่งอธิบายให้ชัดเจนอีกที ว่าผมเป็นยังไง ผมยินดีที่จะไม่รู้จักคนคนนั้น เพราะถ้าผมรู้จักใครสักคน ผมก็จะดูออกว่าเขาเป็นคนแบบไหน ผมจะไม่เอาสิ่งต่างๆ รอบข้างหรือเกิดจากคำพูดของคนอื่นที่ไม่ได้มีความหวังดีต่อตัวเรามาเป็นอารมณ์ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้มันเกิดความไม่ไว้วางใจต่อคนที่เรารู้จัก
พิงค์กี้(สาวิกา ไชยเดช) มีลังเลเพราะข่าวบ้างไหม
ตอนแรกก็มีบ้างด้วยความที่เพื่อนๆบอก คนอื่นก็ถาม แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะคนเรามีสิทธิ์ที่จะเปิดรับฟังเรื่องราวจากคนอื่น แต่ถ้าคนรู้จักผมจริง จะรู้ว่าผมเป็นยังไง แล้วน้องเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับข่าว ผมไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง คือถ้าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แทบจะไม่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์อะไร
ความรักตอนนี้ดูโลกเป็นสีชมพูนะ
ถ้าเป็นสีอื่นก็คงไม่ได้แล้วนะ(หัวเราะ)
พิงค์กี้บอกว่าอั้มทำเพื่อเขามาก
ก็อย่างที่ผมบอกทุกครั้งว่าไม่ว่าผมจะรู้จักใคร ผมเต็มที่กับสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว ถ้าสิ่งที่ผมทำ มันไม่ได้เป็นสิ่งผิดต่อใคร ผมก็จะเต็มที่มาก เพราะถือว่าการทำสิ่งดีๆ ให้คนที่เรารู้สึกดี มันเป็นสิ่งที่ดี ไม่จำเป็นต้องกั๊ก
ความรักครั้งนี้ดูค่อนข้างเปิดเผยกว่าทุกครั้ง
ก็ไม่ใช่ว่าเปิดเผยทุกอย่างเพราะเราก็ต้องให้เกียรติผู้หญิง ถ้ารู้จักก็บอกรู้จัก พูดคุยยังไงก็บอก เพราะเราเป็นผู้ชายก็ต้องให้เกียรติเขา ให้เกียรติครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเขา ถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่างครอบครัวของน้องเขา ตอนนี้ผมก็รู้จัก เป็นครอบครัวที่น่ารัก ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย คุณยาย คุณย่า ก็ได้เจอ ทุกคนก็น่ารัก ทุกคนรักใคร่เอ็นดูกันเป็นอย่างดี
เรื่องความต่างศาสนาเป็นอุปสรรคไหม
ก็ไม่นะเพราะทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้ว อีกอย่างการที่เราแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไร
พิงค์กี้โดนใจอั้มตรงไหน
(หัวเราะ) ก็ทุกอย่างที่เป็นตัวเขา
มุมมองความรักของอั้ม
จริงๆมุมมองของผมก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น ก็แค่ว่าความรักเราไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อไร แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ถามตัวเอง ว่าเรามีความสุขที่จะทำให้เขาหรือเปล่า แล้วคนที่เขารับเขามีความสุขที่จะรับหรือเปล่า แล้วเราก็ทำเต็มที่กับมันไป จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง ว่าทำไมวันนั้นเราไม่ทำให้เต็มที่
ให้สัดส่วนความรักในชีวิตกี่เปอร์เซ็นต์
100% เพราะผมเป็นคนอยู่ได้ด้วยความรัก ถ้าเกิดเรารักใครก็ตาม ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นน้ำมันเติมให้เรา หล่อเลี้ยงเรา ถ้าเราทำงานไปวันๆ โดยไม่มีความรัก มันก็ทำได้ แต่มันก็จะไม่มีชีวิตชีวา มนุษย์ทุกคนต้องการความรักทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราทำอะไรได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่แค่รูปแบบคนรักอย่างเดียว แต่หมายถึงในรูปแบบอื่นด้วย เพราะความรักทำให้เราจิตใจอ่อนโยน คิดอยากจะเผื่อแผ่สิ่งดีๆ ไปสู่คนอื่น
บอกรักพิงค์กี้ไปแล้วหรือยัง
(หัวเราะเขินๆ) ไม่บอกดีกว่า
หน้าแดงขนาดนี้คงแทนคำตอบได้แล้วล่ะเนอะ เอิ๊ก...ก
เขาคนนี้ชื่อ...อธิชาติ ชุมนานนท์
ชื่อเล่น...อั้ม
เกิดวันที่...20 กุมภาพันธ์2524
ผลงานชิ้นแรกในวงการบันเทิง...คว้าตำแหน่งดัชชี่บอย ในปี 1997
ละครชิ้นแรก...แชมเปี้ยนสะบัดช่อ
ผลงานสร้างชื่อ...ทับตะวัน ดาวหลงฟ้า ลมหวน จำเลยรัก
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ