ตุ้ย-แอนนา รักสุกงอม ทุกอย่าง พรหมลิขิต
คอลัมน์ คุยกับดาว
สมรัก บรรลังก์ เรื่อง
เป็นอีกคู่รักคู่หนึ่งของวงการบันเทิง ที่หลายคนแอบอิจฉา สำหรับหนุ่มมาดเท่ ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล ผู้จัดการคลื่นซี้ด เอฟเอ็ม 97.5 กับแฟนสาวมาดเจ้าหญิง แอนนา นาตาชา เปลี่ยนวิถี ที่มีโครงการวิวาห์ในปีนี้
ก่อนจะลั่นระฆังวิวาห์ ว่าที่เจ้าบ่าวก็เจียดเวลามาเปิดใจในความรักที่ฟูมฟักปลูกต้นรักกันมากับแฟนสาว
-ความรักกับแอนนาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?
ตุ้ย - "อืม...รู้ว่าเป็นความรักจริงๆ ก็หลังๆ นี่เอง ก่อนหน้านั้นแค่รู้จักกันเฉยๆ ในบทบาทแค่คนที่ทำงานและเจอกันในงาน เขาเดินแฟชั่นโชว์ ส่วนผมจะมีไปแสดงคอนเสิร์ตบ้าง ไปร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญบ้าง หรือผมก็ไปเดินแฟชั่นโชว์บ้าง ซึ่งก็ตั้งแต่ผมเริ่มเข้าวงการใหม่ๆ ก็เกือบ 10 ปีมาแล้ว"
-เจอตอนแรกรู้อย่างไรบ้าง?
ตุ้ย - "แค่มีความรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจดี มุมหนึ่งก็รู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ หน้าตาน่ารัก ดูอบอุ่น และในมุมหนึ่งที่ผ่านมา ผมก็รู้จักเขาว่าเป็นนางแบบและก็แอบชื่นชมเขา แต่ก็แค่แอบมอง ไม่กล้าที่จะเข้าไปจีบ"
-เพราะอะไรถึงไม่กล้าเข้าไปจีบ ทั้งที่ก็ชื่นชมเขาอยู่?
ตุ้ย - "ผมมีความรู้สึกว่าความรักมันต้องเกิดขึ้นเอง ไปบังคับให้เกิดไม่ได้ ถ้าไปบังคับ มันจะเหมือนเราไปสร้างให้มันเกิดขึ้นว่าจะต้องรัก มันไม่ใช่พรหมลิขิต การเจอกันควรจะเกิดขึ้นด้วยโชคชะตา จังหวะและก็โอกาสที่เหมาะสม และเรารู้สึกว่ามันเป็นเหมือนพรหมลิขิต พระเจ้าเป็นคนกำหนดมา ไม่ใช่เราเป็นคนกำหนด ถ้าเขามีเส้นทางเดินชีวิตที่จะต้องมาเจอกับเรา เขาก็ต้องมาเจอกับเรา ถ้าจะให้เดินเข้าไปเพื่อขอเบอร์ มันไม่ใช่ตัวผม เพราะผมเป็นคนขี้อาย อะไรที่ขัดกับตัวผม ผมไม่อยากทำ อยากให้มันเกิดขึ้นเอง"
-แล้วเริ่มมีพัฒนาการกันเมื่อไหร่?
ตุ้ย - "ตอนแรกก็รู้จักกันเพราะอยู่วงการเดียวกัน แต่ต่อมาก็เริ่มศึกษากันจริงจัง โดยช่วงนั้นต่างก็ว่างทั้งคู่ และไม่ได้มีจุดเริ่มต้นหรือเหตุการณ์ว่าเราจะคบกัน มันเป็นเรื่องของการซึมไปเรื่อยๆ คุยกันไปก็รู้สึกดีต่อกัน พอมาถึงจุดหนึ่งที่จะเริ่มต้นศึกษากันและก็ค่อยแน่ใจไปเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราศึกษา มันสื่อถึงกันได้"
-แต่แอนนาเป็นคนที่พูดน้อยมาก เขาส่งสัญญาณตอบรับอย่างไร?
ตุ้ย - "จริงๆ ในอีกมุมหนึ่ง เขาเป็นคนที่ไม่ใช่พูดน้อยแบบที่เห็น เขาก็คุยได้ เพียงแต่เขาไม่ถนัดที่จะมานั่งพูดคุยแบบให้ข่าว สิ่งที่เขาส่งสัญญาณมา มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เราพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เรารู้สึกเวลาที่เราคุยกันมากขึ้น ซึ่งเราเริ่มคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวก็ประมาณ 4 ปี ค่อยๆ ซึมแล้วจึงเปิดมากขึ้น"
-มีอะไรที่เหมือนๆ กันบ้าง?
ตุ้ย - "สิ่งที่เหมือนๆ กันก็คือเขาเป็นคนชอบเล่นกีฬาเหมือนผม เขาเล่นเทนนิส ส่วนผมชอบฟุตบอล เรื่องนิสัยผมจะเป็นคนที่ใจร้อนมาก แต่เขาจะเป็นคนใจเย็นมาก พอมาเจอกันจึงเป็นอะไรที่สมดุลย์กัน วิธีการมองไปข้างหน้าก็จะคล้ายกัน เป็นคนที่อยู่ง่ายกินง่ายคล้ายกัน แต่ในอีกมุม ถ้าเราอยากจะทำอะไรพิถีพิถันเราก็ทำได้ ซึ่งสิ่งที่เราทำเราไม่ได้ดัดจริต และก็รู้ว่าอะไรพอ อะไรเกิน อะไรขาด"
-ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมั้ย?
ตุ้ย - "ไปบ้าง ถ้ามีเวลา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยกันเป็นครอบครัว ความถี่บอกไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมยึดเป็นหลักในการคบกันก็คือ เจอไม่เจอต้องโทรศัพท์คุยกันทุกวัน"
-แอนนาเป็นคนกุ๊กกิ๊กหรือเปล่า
ตุ้ย - "ไม่รู้จะเรียกว่ากุ๊กกิ๊กหรือเปล่า แต่เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเทคแคร์และเอาใจใส่ ผมเองก็เทคแคร์นะ แต่มันคนละแบบ คืออย่างผมจะดูแลเขา ตักกับข้าวให้ ส่วนเขาจะมีแบบในเชิงให้กำลังใจ เวลาที่ผมบ่นเหนื่อย เขาก็จะให้กำลังใจกลับมา และก็ถามว่า เหนื่อยมั้ยกินข้าวหรือยัง ซึ่งเขาก็ห่วงใยเราแบบจริงๆ"
-เขามีมุมตลกมั้ย?
ตุ้ย - "น้อยครับ โดยตัวเขาเองจะไม่ตลก แต่จะหัวเราะสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง ผมเองยังตลกมากกว่าเขาอีก เพราะผมชอบที่จะแหย่เขา แต่เขาก็ไม่ได้หัวเราะมากมาย ก็แค่ยิ้มๆ ตามแบบของเขา ซึ่งพอเขายิ้มผมก็มีความสุขแล้ว"
-มีทะเลาะกันหรือเปล่า?
ตุ้ย - "ก็เป็นธรรมดาของคู่รัก แต่มากที่สุดจะเป็นแค่งอนๆ ไม่พูดกัน แต่ไม่เคยรุนแรงมากกว่านี้ เขางอนแล้วเขาจะนิ่ง ไม่พูด"
-แล้วใครง้อใคร?
ตุ้ย - "ส่วนใหญ่จะเป็นผม เป็นผมเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพราะจะผิดหรือถูก ถ้าเราไม่ขอโทษศึกก็ไม่สงบ ผมก็ไม่อยากให้ยืดเยื้อ ยอมง้อก็ได้"
-วันสำคัญมีการมอบอะไรให้กันหรือเปล่า
ตุ้ย - "ก็มีครับ ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้ แต่ถ้าเป็นวันเกิดก็จะมีของขวัญและก็พาไปกินข้าว อย่างวันเกิดเขาที่ผ่านมา (29 ก.พ.) ผมพาเขาไปกินข้าวที่ตึกแถวๆ สีลมดูพระอาทิตย์ตกดิน ถือค็อกเทลคนละแก้วแล้วก็นั่งดูพระอาทิตย์ตกเคียงข้างกัน เพราะช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ผมชอบมากที่สุดของวัน ผมจึงอยากให้ช่วงเวลาที่ผมชอบมากที่สุดได้อยู่กับเขา ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้งานแลกแหวนที่มวกเหล็กจัดในตอนพระอาทิตย์กำลังตก ผมอยากให้ตรงนั้นเป็นภาพจำของเรา"
-คบกันทางบ้านเราและบ้านเขาว่าอย่างไรบ้าง?
ตุ้ย - "ที่บ้านผมแฮปปี้ พอเริ่มศึกษากันผมก็พาไปเจอญาติๆ พี่น้องผม ส่วนทางบ้านเขาก็น่ารัก ต้อนรับอบอุ่น แต่ป๋า(เกชา เปลี่ยนวิถี) ผมไม่ค่อยได้เจอ จะเจอตอนหลังๆ พอเจอเขาก็โอเคเลย แต่แรกๆ ที่เจอยอมรับว่าผมก็เกรง แต่ก็ผิดคาดเพราะป๋าน่ารักมาก เอ็นดูเรา อาจจะเป็นเพราะผมไม่มีอะไรซ่อนเร้น ผมเปิดใจ จึงเข้าใจกันดีครับ"
-ตอนนี้ไปสู่ขอแอนนาหรือยัง?
ตุ้ย - "ตัวพิธีการยังไม่ถูกกำหนด เพราะอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป มันมีวาระของการรู้จักกัน แลกแหวนกันแล้ว และบังเอิญมีเหตุการณ์ต้องไว้อาลัยสมเด็จพระพี่นางฯ ก็เลยต้องเลื่อนไป จึงยังไม่ถูกกำหนด"
-วางแผนอนาคตไว้อย่างไรบ้าง?
ตุ้ย - "ถ้าแต่งงานผมอยากมีลูกเลย จะได้เป็นรูปแบบครอบครัวเร็วๆ มีพ่อ แม่ ลูก ซึ่งแอนนาก็คิดคล้ายๆ กัน อยากจะอยู่บ้านดูแลครอบครัว ส่วนลูกก็ไม่ได้กำหนดว่าจะมีกี่คน"
-แล้วเรื่องศาสนาล่ะ
ตุ้ย - "เรื่องนี้ผมว่าความรักมันอยู่ที่เรา 2 คน เรื่องนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้มามีผลกับเรา และทุกศาสนาก็สอนให้เราเป็นคนดี เราก็นับถือทั้ง 2 ศาสนาเลย และเขาก็ไม่ได้บังคับให้ผมไปนับถืออิสลามด้วยครับ"
-อะไรที่คิดว่าคนนี้ใช่ถึงขนาดจะแต่งงานด้วย?
ตุ้ย - "มันจะมีภาพของอนาคตที่ผมมองไปข้างหน้า ในเรื่องการมีครอบครัว ผมอยากจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าลืมตาขึ้นมาก็มีคนรอบข้างเรา มีลูก มีภรรยา มีความสุขในแบบครอบครัว และก็จะเป็นความหวังที่ว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร เพื่อใคร จุดที่ผมเคยบอกว่ายังไม่ถึงเวลาแต่ง ตอนนี้ผมว่าผมถึงเวลาแล้ว เพราะภาพของครอบครัวมันมีภาพของเขาอยู่ข้างๆ ด้วยและพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเราครับ"
ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว รอเพียงเวลาที่จะเป็นครอบครัวสมบูรณ์แบบ
ขอสาวแต่งงาน
เพราะเป็นหนุ่มโรแมนติก แน่นอนว่าการขอแฟนสาว "แอนนา-นาตาชา" แต่งงานของหนุ่ม "ตุ้ย-ธีรภัทร์" เลยไม่ใช่เป็นการขอแบบธรรมดาทื่อๆ แต่ทั้งหมดได้มีการวางแผนไว้
แต่จะสำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือเปล่า ไปฟังว่าที่เจ้าบ่าวเล่าดีกว่า
"ผมขอเขาแต่งงานที่เกาะลันตา จ.กระบี่ เมื่อปีที่แล้ว" ตุ้ยเกริ่น และกล่าวต่อว่า "วันนั้นเราไปเที่ยวกันเฉยๆ แต่ผมเซอร์ไพรส์เขาเอง คือผมได้วางแผนไปก่อนหน้าแล้วว่าผมจะทำอะไรบ้าง แต่เขาไม่รู้ ผมก็ไปปรึกษาแม่เรื่องแหวนที่จะใช้หมั้นเขา ได้แหวนมาเป็นแหวนเก่าของแม่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นแหวนที่พ่อเคยหมั้นแม่หรือเปล่า"
ตุ้ยกล่าวอีกว่า "ที่ผมไปเกาะนี้เพราะรู้มาว่าที่เกาะนี้มีประภาคาร ก็อยากไปขอแต่งงานบนประภาคารในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เพราะมันโรแมนติก แต่บังเอิญวันนั้นมีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถออกไปที่ประภาคารนั้นได้ แต่ต้องเป็นวันนี้แล้วที่จะขอแต่ง ก็เลยไปหามุมของร้านอาหารที่เป็นที่พักของเรา เป็นเหลี่ยมที่เห็นดาวระยิบระยับ มีวิวทะเลสวยๆ"
"ตอนแรกผมเตี๊ยมกับคนในร้านให้เปิดเพลงให้ แต่เครื่องเสียงเขาเปิดไม่ได้ ผมก็เลยเอาเครื่องเล่นซีดีเล็กๆ ของผมมาเปิดที่โต๊ะกินข้าว ซึ่งปกติผมก็ทำแบบนี้ทุกครั้งที่ไปเที่ยวกันเลยไม่ผิดปกติ โดยผมเลือกเพลงที่ผมชอบและที่เขาชอบ แล้วเรียงอารมณ์เพลงไปเสร็จสรรพ จนถึงเพลง Be side you ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง What Dream may come ที่ผมชอบมาก ความหมายเพลงก็คือ อยากจะอยู่เคียงข้างเธอ ซึ่งเนื้อเพลงนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกแอนนา คือผมมีความรู้สึกว่าผมอยู่กับเขาเป็นลักษณะ Fill at home ผมสงบ สบาย เหมือนอยู่ที่บ้าน"
"และผมก็เริ่มเหล่โต๊ะข้างๆ ว่าเขาไปกันหรือยัง จนเหลือเรา 2 คน แต่พอเพลงใกล้จบผมกลับพูดไม่ออก จนเพลงนี้วนมาอีกรอบ ซึ่งในเพลงจะมีช่วงโซโล่ด้วยคาริเนต ผมชอบมากๆ ก็เลยบอกให้เขาฟังและบอกว่าต้องหลับตาฟังถึงจะได้ฟีล เขาก็เลยหลับตา ช่วงนี้เองผมก็เอาแหวนออกมาและสวมให้เลย ทั้งที่คิดไว้ว่า จะนั่งคุกเข่าขอแต่งงาน แต่ทำไม่ได้และพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่ผมคิดคำไว้เยอะมากๆ ว่าจะพูดอะไรบ้าง ส่วนเขาก็งงและตกใจ พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน จากหน้างงๆ ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ซึ่งนั้นคือการขอแต่งงานของผมโดยที่ผมไม่ได้พูดว่าขอแต่ง และเขาเองก็รู้สึกได้โดยไม่ต้องตอบรับ เป็นจุดภาพจำที่เราจำด้วยกัน"
"หลังวันนั้นอีกวันผมถึงได้ขึ้นไปประภาคารเพื่อถ่ายรูป และก็คุยกันเรื่องแพลนการแต่งงาน เรื่องบ้าน มองชีวิตต่อไป"
ฉากนี้ถ้าเป็นหนังก็ต้องบอกว่าจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
งานวิวาห์"แอนนา"ขออบอุ่น
"แต่งงานปีนี้ค่ะ แต่ว่ายังไม่ได้วันที่สรุปลงตัว" ว่าที่เจ้าสาว "แอนนา"นาตาชา เปลี่ยนวิถี เผยถึงกำหนดงานวิวาห์ของตัวเอง
จากนั้นก็กล่าวถึงการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวว่า "ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ก็ยังใช้ชีวิตปกติ เรื่องแต่งงานนี่แอนนาจะโดนเพื่อนๆ ถามอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรค่ะ" แอนนากล่าวพร้อมส่งยิ้มให้
หายเขินหรือยังกับการที่จะต้องตอบเรื่องความรัก "อย่างหนึ่งแอนนาคิดว่า เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว แอนนาเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวอะไรมากนัก ก็เลยไม่ได้ตอบคำถามพวกนี้"
ถามถึงชุดเจ้าสาว แอนนาว่า "ยังไม่ได้ดูค่ะ แอนนาจะยังไม่บอกว่าอยากได้แบบไหน เดี๋ยวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยบอกกันทีเดียว แอนนาก็มีแบบที่คิดไว้แล้ว เตรียมไว้นิดหน่อยเอง"
ความรู้สึกตอนแลกแหวนกับตุ้ย ในงานวันเกิดคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง "จริงๆ คุณพ่อคุณตุ้ยอยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ คนสนิทมาเที่ยวด้วยกันเลยจัดงานวันเกิดขึ้น แล้วเราก็แค่แลกแหวนกันเฉยๆ ไม่ใช่งานหมั้นหรืองานแต่ง แอนนาไม่ตื่นเต้น สนุกมากกว่า แล้วแหวนที่แลกกันก็ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นแหวนที่คุณตุ้ยอยากให้แลกกันใส่เฉยๆ อีกอย่างแอนนาทราบว่าคุณตุ้ยเขาจะมีแหวนให้ แต่แขกที่มาร่วมงานจะเซอร์ไพรส์ เพราะไม่รู้ล่วงหน้า ตอนให้แหวนแอนนารู้สึกสบายๆ สนุกๆ ยิ้มๆ กัน บรรยากาศก็อบอุ่น เพราะมีแต่คนที่เราสนิทและรักอยู่รอบๆ"
คิดไว้หรือยังว่าอยากให้งานแต่งงานของตัวเองออกมาแบบไหน "ในงานแต่งงานก็คงอยากให้เป็นแบบบรรยากาศอบอุ่น ใจแอนนาอยากจัดเล็กๆ แต่ก็ยังไม่มีที่เราคิดแน่นอน เดี๋ยวไว้สักพักหนึ่งดีกว่าค่ะ"
"ตุ้ย" เอาใจเก่งมั้ย? "ก็เอาใจค่ะ"
ประทับใจ "ตุ้ย" ตรงไหน? "คิดไม่ออกตอนนี้ค่ะ" แอนนากล่าวก่อนส่งยิ้มหวานตบท้ายเป็นการจบข้อสนทนา