บ.เอเจนซี่สุดแสบ สั่งจูนมือถือ ยัยตัวร้าย ตร.โสมเจ๋งจับมือมืดได้แล้ว

หลังจากที่มีข่าวว่าโทรศัพท์มือถือ ดาราสาวสุดฮ็อต จุน จีฮยุน ถูกดักฟัง ล่าสุด ตำรวจโสมโชว์ฟอร์มสามารถจับตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือดีได้แล้ว รายงานข่าวเมื่อวันที่ 22 มกราคม (ตามเวลาท้องถิ่น ) แจ้งว่า ตำรวจกรุงโซลสามารถสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยชายรายหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจูนโทรศัพท์ของนางเอกสาว เพื่อให้บริษัทเอเจนซี่ของเธอสะกดรอยตามตัวได้นั้น ทั้งนี้ ข่าวเปิดเผยเพียงแค่นามสกุลว่า "คิม" เท่านั้น เนื่องจากผู้ต้องสงสัยวัย 39 ปีรายนี้ ยังคงอยู่ภายใต้การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ ซึ่งตามรายงานระบุว่า ชายผู้นี้ทำสำเนาบันทึกการใช้โทรศัพท์มือถือของ "จุน จีฮยุน" ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านโทรศัพท์อีกเครื่องที่จูนกันไว้ เพื่อให้บริษัทเอเจนซี่ "Sidus HQ" ได้ลอบฟังการสนทนาของดาราสาว รวมทั้งข้อความต่างๆ ได้ นอกจากนี้ เชื่อว่าผู้ต้องสงสัยจะทำงานลำพัง โดยคอยส่งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือ "Sidus HQ" รายงานการใช้โทรศัพท์ และข้อความสั้น ซึ่งเป็นการลงทะเบียนในนาม "บิดา" ของดาราสาวมาเป็นเวลามากกว่า 10 ครั้งแล้ว ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (19 มกราคม) ที่ผ่านมา บริษัท "Sidus HQ" เป็นบริษัทเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ของวงการบันเทิงเกาหลี โดยตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า ได้มีการสอบถามไปทางบริษัทแล้ว ซึ่งได้สารภาพว่าสั่งให้มีการจูนมือถือของดาราสาวจริง โดยเบื้องแรกนั้นได้มีหมายศาลเรียกตัวประธานบริษัท "Sidus HQ" มาสอบสวนแล้ว แต่ก็ได้ขอเลื่อนให้การออกไปเป็นสัปดาห์หน้า ซึ่งตรงกับช่วงวันหยุดปีใหม่พระจันร์พอดี อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจวงในเปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาข้อตกลงระหว่างเอเจนซี่กับ "จีฮยุน" อยู่ในช่วงที่ย่ำแย่ มีการจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวมากเกินไป รวมทั้งมีแผนที่จะร่างสัญญาใหม่กับเธอด้วย สำหรับสัญญาระหว่างบริษัท "Sidus HQ" กับ "จุน จีฮยุน" จะสิ้นสุดลงในเดือนหน้านี้ (กุมภาพันธ์) โดยเริ่มทำสัญญากันตั้งแต่เธอยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่ ซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ความสำเร็จของ จุน จีฮยุน นับเป็นดาราดวงใหญ่ของวงการบันเทิงเกาหลี ประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะนักแสดง โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง My Sassy Girl และมีงานเป็นพรีเซ็นเตอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอางค์ เครื่องดื่มทั้งชา และโคคา-โคล่า ล่าสุด กับการเปิดตัวบนถนนเส้นทางฮอลลีวู้ดในภาพยนตร์เรื่อง "Blood: The Last Vampire" ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก