เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู

เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นับไปนับมานางเอกน้ำดี เอมี่ กลิ่นประทุม ก็โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงได้นานเป็นปีที่ 10 แล้ว จากเด็กสาวที่ถูกดูแลประคบประหงมอย่างดี จนวันนี้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัววัย 26 ที่สามารถจัดการเรื่องงานและเรื่องรักได้เป็นอย่างดี วันนี้เธอจะมาอัพเดทชีวิตเธอในช่วงนี้ให้แฟน ๆ ดาวต่างมุมได้รู้กัน ตอนนี้มีงานอะไรอยู่บ้าง ? ก็เพิ่งจบ "สะใภ้ก้นครัว" ตอนนี้ก็ถ่ายเรื่อง "เย้ยฟ้าท้าดิน" อยู่ งานก็ถือว่าโอเค.นะคะ ไม่ยุ่งมาก ก็จะมีเวลาสามารถไปโชว์ตัว ถ่ายแบบได้ แล้วก็มีเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง ไม่ได้ถึงกับทำงาน 7 วัน ก็พอใจนะคะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราก็อยู่วงการมาสักพักใหญ่แล้ว เราก็รู้สึกว่าช่วงไหนที่เรายุ่งมาก เราก็จะไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ถ้าเราถ่ายละครสักเรื่องหนึ่ง เราก็จะมีเวลารับงานอื่น แล้วก็มีสักวันหนึ่งให้ตัวเอง มันกำลังพอดี ที่ผ่านมาเอมี่เริ่มทำงานตั้งแต่วัยเรียน ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมากแล้วก็เครียด กดดันหลายๆ อย่าง พอเราเรียนจบปุ๊บเราก็รับงานเต็มที่ได้ สามารถมีเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย หลังๆ จะเห็น เอมี่ ร่วมงานกับหลากหลายค่ายมากยิ่งขึ้น ? ดีใจมากนะที่ได้ร่วมงานกับหลายๆ ค่าย มันได้ประสบการณ์ ได้เห็นว่าคนอื่นเขาทำงานกันยังไง แล้วก็ได้เจอผู้กำกับหลายคน ได้ความรู้จากผู้กำกับแต่ละคน แล้วก็นำมาประยุกต์ใช้ บางทีเราเล่นกับกันตนามาตั้งแต่เด็ก เราก็จะเคยชิน เราก็จะคิดว่านี่เราเก่งแล้วนะ พอเราได้มาร่วมงานกับข้างนอก เราก็ได้รู้ว่ายังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ ได้เป็นการพัฒนาตัวเองด้วย ได้เจอนักแสดงหลากหลาย อย่างค่ายเอ็กแซ็กท์ที่เพิ่งร่วมงานกัน เราไม่เคยเจอเลย ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี มันก็ได้ประสบการณ์อีกแบบ จะได้เห็นงานอะไรใหม่ๆ ของ เอมี่ มั้ย ? ก็คงมีละครนี่แหละค่ะ แล้วก็มีถ่ายแบบซึ่งปกติจะไม่ค่อยได้ถ่ายแบบเยอะ มีงานไปต่างจังหวัดค่อนข้างเยอะ เป็นเพราะเรียนจบแล้วก็เลยมีเวลา อย่างเมื่อก่อนทำงานด้วยเรียนด้วย เวลามันไม่ค่อยลงตัว ค่อนข้างเครียด เรียนไม่ทันเพื่อน เวลาว่างของเราก็จะหมดไปกับการอ่านหนังสือ พอเราเรียนจบทุกอย่างก็สบายขึ้น มีแผนอยากจะกลับไปเรียนต่อมั้ย ? จริงๆ น่ะอยากจะเรียน ก็อยากจะเรียนตั้งแต่จบตรีปุ๊บแล้วก็ต่อโทเลย แต่มันเหมือนกับมันเหลิง พอเราเรียนจบแล้ว ทำงานแล้วมันสบาย ก็ไม่อยากจะไปเครียดเลย พอเราโตขึ้นเราก็มองว่าถ้าเราจะเรียนโทจริงๆ เราก็อยากจะเรียนที่เราสามารถเอามาใช้ได้ ไม่อยากจะเรียนไปอย่างนั้นเพื่อให้ได้ปริญญามา เราก็ยังคิดอยู่ว่าเราจะเรียนทางด้านไหน อนาคตอยากจะทำอะไร อาจจะคิดว่าเรียนทางด้านบริหารดีมั้ย เพื่อที่เราสามารถเปิดธุรกิจอะไรอย่างนี้ได้ ก็ยังคิดอยู่ คงเรียนนะแต่อาจจะไม่เรียนโท อาจจะเรียนเป็นคอร์สหรืออะไรแบบเนี่ย กำลังดูอยู่ว่าตัวเองจะชอบด้านไหนมากที่สุด อยู่วงการมานานเท่าไหร่แล้วนี่ ? ปีนี้ปีที่ 10 แล้ว ดูผ่านไปเร็วเนอะ ตอนแรกเราเหมือนเราทำไปเรื่อยๆ เราไม่ได้คิดอะไร พอตอนนี้ 10 ปีแล้วเหรอ เวลาเราเล่นละครเรื่องใหม่ เปิดกล้องเรื่องใหม่ เราก็จะรู้สึกว่ามันใหม่ตลอดเวลา เมื่อก่อนเราเข้ากองถ่ายเราก็จะเป็นเด็กไหว้ทุกคน แต่ตอนนี้จะมีคนมาไหว้เรา เราต้องรับไหว้แล้ว แรกๆ ก็ไม่ชินเพราะไปไหนเราจะเด็กสุดตลอด หลังๆ มันไม่ใช่แล้ว แล้วก็จะติดกับการที่เรียกคนอื่นพี่ ปรากฏว่าเขาก็อายุน้อยกว่าเรา ประสบการณ์ 10 ปีนี้ให้อะไรกับ เอมี่ บ้าง ? ให้เยอะเลยนะ ทุกวันนี้ที่เป็นตัวเอมี่ได้ก็เพราะวงการ เราเข้ามาตอนอายุ 16 มันเป็นช่วงวัยรุ่น ก็สอนให้เราโตขึ้น เพื่อนๆ ก็จะมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว แต่เราต้องแบ่งเวลา ฉะนั้นมันก็สอนให้เรารับผิดชอบ เวลาเราทำงานกับคนอื่นเราจะเจอคนหลากหลายมาก มันก็ทำให้เราเข้ากับคนได้ง่าย ไม่ว่าเราจะไปอยู่ไหนเราก็อยู่กับใครก็ได้ ถ้าวันหนึ่งต้องกลับไปเรียนจริงๆ ไม่เสียดายตรงนี้เหรอ ? ก็เสียดาย ถึงไม่ได้ไปสักที เราก็รู้ว่าทุกวันนี้ดาราเยอะมากขึ้นแล้วก็เกิดใหม่ตลอด ถ้าเราหายไปเราอาจจะกลับมาไม่มีงานแล้วก็ได้ เราก็ยังสนุกกับตรงนี้อยู่ เลยรู้สึกว่าเราอาจจะเรียนที่เมืองไทยก่อนดีมั้ย วันหนึ่งที่มีช่วงระยะเวลาของมันเราค่อยกลับไปเรียน แต่ เอมี่ ก็เคยมีช่วงที่หายไปนะ ? ใช่ ก็ช่วงที่จะเรียนจบ เกือบเรียนไม่จบแน่ะ ( หัวเราะ ) ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องทำงานในวงการต่อไป คิดแต่เพียงว่า ตายแล้ว...จะไม่ได้รับปริญญาพร้อมเพื่อน ไม่อยากจะจบช้า ไม่อยากให้คนพูดถึงว่าเป็นดาราเรียนไม่จบ ก็เครียดมากเลยขอพี่ตุ๊กตา ( จิตรลดา ดิษยนันทน์ ) ขอเรียนให้จบตรงนี้ก่อน มันเหลืออีกเทอมหนึ่ง ตอนเทอมสุดท้ายของปี 4 ก็แทบไม่ได้เล่นละครเลย พอเรียนจบปุ๊บก็ไปอเมริกา หยุดไปประมาณครึ่งปี พอเรากลับมา กว่าเราจะถ่ายละครเรื่องหนึ่งเสร็จ ก็หายไปเกือบๆ ปี พอกลับมาเล่นละคร คนตอบรับดีกว่าตอนแรกๆ หรือเปล่า ? มันก็ด้วย เพราะเราหายไปนาน โตขึ้นด้วย เรากลับมาตอนเล่น "ลูกไม้หลากสี" เราเปลี่ยนบทเป็นดราม่าด้วย ที่ผ่านมาก็จะเป็นแนวแก่นๆ หวานๆ พอเราได้ร้องไห้มากๆ เราไม่เคยได้เล่นอย่างนี้มาก่อน มันก็ได้เปลี่ยน คนอาจจะไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้ ตอนนี้ก็เหลือละครบู๊ที่ยังไม่ได้เล่น จริงๆ อยากเล่นนะ เท่ดี แต่ไม่รู้จะเล่นได้หรือเปล่า เอมี่ไม่เคยเล่นหนังอยากลองดู อยากรู้ว่ามันต่างจากละครยังไง อ้อ...แล้วก็มีงานพากย์ที่อยากทำ อย่างพากย์การ์ตูน แฟนก็มีแล้วมองไปถึงอนาคตยังไงบ้าง ? ความจริงทุกวันนี้ที่คบอยู่ก็มีความสุขดีอยู่ คิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะลงเอย แต่หลายคนถามว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน ก็คิดว่าเรายังเด็กอยู่ ยังอยากจะเรียนต่อ อยากมีธุรกิจ อยากจะทำอะไรก่อนที่จะมีครอบครัว เราเริ่มต้นด้วยความเป็นเพื่อน ตอนแรกๆ ก็มีปัญหา กว่าจะปรับตัวได้ก็มีทะเลาะกัน คนละนิสัยกันเลย แต่พอนานๆ เข้ามันเหมือนเข้าใจกันมากขึ้น เวลาปรึกษามันเหมือนเป็นแนวเพื่อนกันไป เวลาคบกันมันก็สบายใจ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข่าวกับใคร ก็เพิ่งจะเป็นซี ? อาจจะโตขึ้นด้วย ที่ผ่านมาเราก็เด็กๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าคนนี้ใช่หรือเปล่า มันเป็นความรักแบบเด็กๆ พ่อแม่ก็ยังหวง แต่พอจังหวะที่เราเรียนจบ พ่อแม่ก็เริ่มเปิด แล้วก็ได้เจอกับตัวซีด้วย พ่อแม่ก็ไว้ใจเขา มันก็เลยแบบว่าสบายขึ้น ที่เราจะไปไหนมาไหนด้วยกัน ปกติพ่อแม่จะหวง จะคบใครเราก็ไม่ได้จริงจัง มันอยู่ที่จังหวะด้วย เขาเข้ามาช่วงที่ดีพอดี ถ้าเข้ามาก่อนหน้านั้นก็คงจะยาก มุมมองการมีชีวิตคู่ของ เอมี่ เป็นยังไง ? เราเห็นกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่เขาแต่งงานไปแล้ว มันก็ไม่ได้ยากนะ แต่ก็ไม่ง่ายด้วย ก็จะถามเขาว่าตอนแต่งงานกับตอนเป็นแฟนมันเหมือนกันมั้ย จริงๆ แล้วความรักและความรู้สึกมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ความรับผิดชอบมันมากขึ้น เรารู้ว่าคนนี้นิสัยเป็นยังไง เราก็ต้องยอมรับได้ ทุกคนไม่ได้เพอร์เฟกต์ ตอนเด็กๆ เราจะคิดว่าการแต่งงานมันยิ่งใหญ่มาก พี่ๆ ก็บอกว่าเหมือนเดิม บางคนก็บอกว่ารักกันมากขึ้น คบกันมาตอนนี้โอเค.มากน้อยแค่ไหน ? ก็ 3 ปีแล้ว มันอาจจะเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด ต่างคนก็เป็นตัวเองมาก ถ้าเป็นปีที่ 2 มันยังรู้สึกว่ามันรำคาญ มันเบื่อกับนิสัยของเขา เมื่อก่อนจะรู้สึกว่า ทำไมไม่โทรฯ มา ทำไมไม่ถามว่าฉันเหนื่อยมั้ย แต่พอ 3 ปีก็รู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้ เราก็จะไม่ทะเลาะกันเหมือนเมื่อก่อน ไม่อารมณ์เสีย ไม่รู้ปีที่ 4 ปืที่ 5 จะเป็นยังไงนะ แต่ปีนี้มันยังโอเค.อยู่ แต่ก็ไม่วายมีข่าวหมอดูทักว่าต้องเลิกกัน ? อืม...ก็เยอะเหมือนกัน คือจริงๆ ทั้งเอมี่กับซีไม่เคยดูหมอดูเลย แล้วก็มีคนมาพูดคบกันปีนี้ต้องแต่งไม่งั้นจะเลิก แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส เพราะว่าซีเขาก็เป็นคนไม่ค่อยทำตาม ไม่ได้ดูดวง เขาก็จะบอกว่ามันอยู่ที่สองคน ยังไงเราก็ไม่แต่งปีนี้อยู่แล้ว ถ้าเราแต่งไปตามดวงมันก็ไม่พร้อม คิดว่ามันก็ไม่ดี แต่การที่หมอดูมาทักแบบนี้ มันก็ทำให้เราระวังกันมากขึ้น พอเขาบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวปีนี้จะเลิกกัน ก็จะระวังใจเย็นกันมากขึ้น พยายามเก็บอารมณ์กันก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เราอยู่ตรงนี้แล้วจะมีคนมาดูดวงเรา เราเป็นคนของประชาชน ก็ค่อนข้างจะเฉยๆ มากกว่า อึดอัดหรือเปล่าที่ความรักถูกจับตามอง ? จริงๆ ไม่นะ เอมี่เป็นคนเฉยๆ ถึงเปิดเผยไง บางคนก็เลือกที่จะมีความรักแบบเป็นของเขา แต่ยิ่งปิดก็ยิ่งอยากรู้ เราไม่ได้มีอะไรปิด ซี-เอมี่ ใครๆ ก็รู้ ถ้าถามว่ากลัวเรตติ้งตกมั้ย คือเราไม่กลัว ถ้าเราจะคบคนนี้เวลาไปไหนเราสบายใจก็ไม่กลัว เราคบกันผู้ใหญ่ก็รับรู้ ตอนแรกที่เปิด ก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่ไว้ก่อนด้วย ซีเขาก็แคร์คุณพ่อคุณแม่จะว่ามั้ย เขาก็เข้ามาคุยมาถามว่าจะเป็นอะไรมั้ย ถ้ามีคนมาถามเขา แล้วเขาจะพูด มีคนถามเรื่องแต่งงานบ่อยๆ เบื่อหรือเปล่า ? ไม่เบื่อนะ มันชินมากกว่า เราก็ตอบว่าเรายังไม่พร้อม เมื่อไหร่จะลงเอยเรายังตอบไม่ได้ ตอนที่เราอายุน้อยกว่านี้ เราก็คิดว่าอายุ 26 เราอยากแต่งแล้ว พอเรา 26 แล้ว ก็อุ๊ย...ยังไม่อยากแต่ง การคบกันแบบนี้มันก็มีความสุขดี แต่ถ้าเราต้องแต่งงานมันเป็นอีกขั้นหนึ่ง ต้องมีลูก ต้องมีครอบครัว คือเรายังไม่พร้อมที่จะสร้างตรงนั้น คติความรักที่ทั้งคู่ยึดถือคืออะไร ? มันเปิดเผยกัน เราเหมือนเป็นเพื่อนกัน เหมือนเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเรา มีอะไรเราก็จะปรึกษา ไม่โกหกกัน ทำอะไรก็บอกเลย ก็ค่อนข้างเชื่อใจ ไม่ตามหึงตามหวง ตามถามจู้จี้ เหมือนกับว่าเราก็เคารพในสิทธิของเขา ให้เขามีช่องว่างของเขา เวลาทำงานก็จะไม่ยุ่งกัน ทำงานเสร็จค่อยว่ากัน สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ ของ เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู

เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู
เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู
เอมี่ รักหวานไม่แคร์หมอดู
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook