จ๋า สาวเพอร์เฟกต์

จ๋า สาวเพอร์เฟกต์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เข้าวงการบันเทิงมาก็หลายปีแล้ว แต่ชื่อของวีเจสาวเจ้าเสน่ห์ จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี แห่ง แชแนล วี ก็ยังได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างดี เพราะนอกจากเธอเป็นสาวมากความสามารถแล้ว เธอก็มักจะตกเป็นข่าวกับหนุ่มๆ อยู่เรื่อยๆ เรียกว่าหัวใจของเธอแทบจะไม่เคยว่างเว้นกันเลยทีเดียว วันนี้ ดาวต่างมุม จึงชักชวนเธอมาพูดคุยทั้งเรื่องงานและความรักว่า ตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ช่วงนี้ทำอะไรบ้าง ? ก็วุ่นๆ อยู่ เพราะนอกจากจะทำงานประจำเป็นวีเจ แชแนล วี แล้ว จ๋ายังมีงานพิธีกรรายการ ห้า สี่ สาม สอง โชว์ สไมล์แลนด์ ทางช่อง 7 และงานโชว์ตัวต่างๆ แถมยังมีเรียนปริญญาเอกด้วย แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีงานหนัง คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด ด้วย โดยจะเข้าฉายวันที่ 14 ก.พ.นี้ ก็เลยยุ่งๆ เพราะต้องไปโปรโมตตามรายการต่างๆ คิวงานแน่นขนาดนี้แบ่งเวลาอย่างไร ? มันจะเป็นคิวอยู่แล้ว อย่าง แชลแนล วี ก็จะล็อกไว้อยู่แล้วว่าไปอัดเทปวันไหน และจัดรายการสดวันไหน ทางทีมงานล็อกให้เลยว่าถ้าวันไหนเรามาอัดเทปก็จะให้อัดรายการสดเลย เพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย แล้วงานโชว์ตัวก็จะรับเป็นคิวก็ต้องดูว่าเราว่างช่วงไหนบ้าง หรือถ้าถ่ายรายการเขาก็จะล็อกคิวเป็นเดือนๆ อยู่แล้ว แต่จ๋าก็ยังมีงานหนังด้วย ? ใช่ งานหนังทำให้เราได้เล่นเป็นคนอื่น มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง สิ่งที่ชอบในงานหนังก็คือชอบที่ได้เห็นมันในจอ ได้เห็นตอนที่มันเป็นเรื่องราวแล้ว ประกอบกับโดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนที่ชอบดูหนังมาก พอมีโอกาสได้อยู่ในหนัง ก็เลยชอบ ที่ผ่านมาก็เล่นหนังมา 4 เรื่องแล้ว คู่แท้ปาฏิหาริย์, ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า และ คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด ดูจ๋าก็เป็นนางเอกที่ป๊อปปูล่าร์ในวงการหนังนะ ? ก็ดีใจ แต่จ๋าคิดว่าเขาคงเห็นภาพหนังชัดมากกว่า เพราะที่ผ่านมาจ๋าไม่เคยเล่นละครเลย เท่าที่จ๋าได้คุยกับทีมงานหลายๆ คน เขาก็บอกว่าที่เลือกจ๋ามาเล่นหนัง เพราะจ๋าดูเป็นคนธรรมดาดีเอาไปใส่บทไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้จ๋าดีใจและภูมิใจที่สุด คงเป็นเรื่องที่จ๋าได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากชมรมวิจารณ์บันเทิงจากหนัง แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า จ๋าตื่นเต้นและตกใจที่สุดในโลกเลย ทั้งๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรเท่าไร แต่วันที่ได้รับรางวัลจำได้เลยว่าหัวใจของจ๋าเต้นเหมือนจะทะลุออกมาเลย เพราะโดยส่วนตัวแล้วจ๋ารู้สึกว่าการได้รับรางวัลจากชมรมวิจารณ์บันเทิงเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากคณะกรรมการที่คัดเลือกล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญในด้านหนังทั้งนั้น มีวิธีเลือกรับงานอย่างไร ? จ๋าเป็นคนละเอียดมากเรื่องรับงาน จะดูทุกอย่างเลย จ๋ายอมที่จะปฏิเสธงาน 5 เรื่อง แต่ยอมรับงานเรื่องเดียวแล้วทำให้ดีไปเลย จ๋าไม่มองเรื่องของตัวเงิน ถ้าเกิดเรารับงานเยอะ จ๋าคิดว่าคุณภาพของงานมันจะลดลง ดังนั้นเราจะเลือกงานที่เรารู้สึกดีด้วยทั้งตัวบท, ผู้กำกับ และนักแสดงร่วม คือพอเรารู้สึกดีแล้วเราจะทำมันได้ดีที่สุด ถ้าเราทำให้ดีที่สุดแล้วไม่ว่าผลจะออกมายังไงเราก็พอใจแล้วว่าเราก็ทำเต็มที่แล้ว เริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไร ? 20 ค่ะ จ๋าทำงานในวงการมา 7 ปีแล้ว จากวันแรกที่ได้ทำจนถึงวันนี้จ๋าโตขึ้นมากเลย การทำงานตรงนี้ทำให้เราได้เรียนรู้โลกภายนอก เราได้เจอคนเก่งเยอะ เราก็สามารถนำสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาปรับใช้กับตัวเราได้ ซึ่งถ้าเราเปิดรับสิ่งดีๆ มันก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเรา เข้าวงการมาก็ 7 ปีแล้วได้อะไรจากตรงนี้บ้าง ? เยอะเลย หนึ่งก็ประสบการณ์ สองอย่างที่บอกคือ ได้เปิดโลกกว้างและได้มีโอกาส ซึ่งโอกาสเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ แต่ว่าก่อนที่จะได้โอกาสนี่เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเราพร้อมที่จะทำงานเรา พร้อมที่จะรับผิดชอบ แล้วพอมีคนให้โอกาสเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด แล้วมันก็จะมีโอกาสที่สองต่อมา แล้วเราก็ต้องรักษามาตรฐานของเราเอาไว้ สุดท้ายก็คือได้ความเข้มแข็ง เพราะมันก็ต้องมีบ้างที่ทำงานแล้วเจอคนไม่ดี เจอเรื่องไม่ดี มันก็เป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่ง ได้ยินมาว่ากำลังเรียนปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ? ใช่ค่ะ แต่จ๋าจะเรียนแค่วันเสาร์-อาทิตย์ แต่ว่าช่วงนี้ก็โชคดีนิดหนึ่ง เพราะว่าถ้าหมดเทอมนี้ไปก็เหลืออีกแค่วิชาเดียว ซึ่งจ๋าไม่ต้องไปเรียนแล้ว เพราะเป็นวิชาที่เราศึกษาด้วยตัวเอง แล้วทำวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์ ยอมรับว่าการเรียนปริญญาเอกเป็นอะไรที่หนักมาก เวลารู้อะไรเราต้องรู้ให้ลึก บางครั้งพอคนอื่นเขารู้ว่าเราเรียนปริญญาเอก คนก็จะคาดหวังว่าจะต้องรู้เยอะ แล้วพอเรารู้น้อยมันก็เหมือนกับว่าเราขาดความน่าเชื่อถือ เลยทำให้ค่อนข้างจะกดดัน จ๋าเลยพยายามบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือเยอะๆ ถามว่าใกล้จะจบหรือยัง ตอนนี้ก็ใกล้จะทำวิทยานิพนธ์แล้ว แต่ยังกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ เพราะถ้าสมมุติเราทำแล้วเราไม่สามารถตอบคำถามอาจารย์ได้ทั้งหมด เช่น ถ้าเราตอบข้อสงสัยอาจารย์ไม่เคลียร์ก็ต้องกลับไปทำใหม่ ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนสูงๆ ? จ๋าชอบเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ประกอบกับจ๋ามีความรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มั่นคง และการที่เราจะหาความรู้เพิ่มมันก็มีแต่ผลดี สมมุติว่าเราไม่ได้ทำงานตรงนี้แล้ว เราก็สามารถขยับขยายไปทำอย่างอื่นได้ และจ๋าก็คิดว่าการเรียนมันเป็นการบริหารสมอง ถ้าเราไม่ได้เรียนสมองเราก็จะทำงานอยู่ซีกเดียว คือด้านเอ็นเตอร์เทน จริงอยู่มันก็อาจจะได้ใช้ระบบความคิดเหมือนกัน แต่ว่ามันก็อาจจะไม่เยอะพอเท่าตอนที่เราเรียน เราก็เลยมาเรียนด้วยสมองจะได้สมดุลกันทั้งสองข้าง จะเอาความรู้ที่เราร่ำเรียนมาไปทำอะไร ? ตอนนี้จ๋าก็ได้รับเชิญให้ไปบรรยายตามโรงเรียนมัธยมต่างๆ บ้าง เช่น ไปพูดเรื่องการเตรียมตัวเอนทรานซ์ และการเรียนมหาวิทยาลัย แต่เราไม่ได้ไปพูดในฐานะผู้รู้ แต่เราไปพูดในฐานะผ่านประสบการณ์มาก่อน นอกจากนี้ก็มีไปพูดคุยตามโครงการ ทู บี นัมเบอร์ วัน บ้าง ส่วนเรื่องจ๋าจะไปเป็นอาจารย์มั้ย ถ้าเป็นอาจารย์ประจำก็คงไม่ จ๋าคิดว่าคนที่จะเป็นพ่อพิมพ์และแม่พิมพ์ของชาติต้องเป็นคนที่มีความรู้จริงๆ อย่างจ๋าก็คือมีความรู้ แต่ไม่ได้ลึกพอที่จะสามารถจะเอาทุกอย่างไปสอนคนอื่นได้ เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น ถามเรื่องความรักนิดหนึ่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? ก็เรื่อย ๆ ค่ะ ที่ผ่านมามีข่าวกับหลายคน เราได้บทเรียนอะไรกับตรงนั้นบ้าง ? จ๋าคิดว่าจ๋าก็ทำตัวเหมือนคนทั่วไปนะ คือถ้าคบกันอยู่ก็ศึกษากันดูแล้วก็ไม่ได้ปิดบัง แต่บางครั้งที่มีข่าวก็เป็นข่าวโปรโมต เราก็บอกว่าไม่มีอะไร และบางทีก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดเราก็ปฏิเสธไป แต่ถ้าคนไหนที่เราคุยจริงๆ เราก็บอกว่าคุย สเตปชีวิตเราก็เหมือนคนทั่วไป ถ้าไปกันได้คบกัน ไม่ได้มีอะไรที่ต่างจากคนอื่น ถามว่าการที่จ๋าเป็นคนเปิดเผยเรื่องความรักจะส่งผลกระทบต่องานมั้ย จ๋าว่ามันเป็นยุคใหม่แล้ว จ๋าก็ยอมที่จะซื่อสัตย์และจริงใจที่จะเปิดเผยมากกว่า เพราะว่างานก็คืองาน ส่วนเรื่องกลัวเรตติ้งจะตกมั้ย จ๋าว่าคนสมัยนี้เขามีทางเลือก ถ้าเขาเลือกที่จะมองแบบนั้น เราก็คงจะเปลี่ยน ความคิดอะไรของเขาไม่ได้ กับหลุยส์ทำไมถึงตัดสินใจศึกษากัน ? ตอนแรกก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน ก็มารู้จักตอนถ่ายหนัง คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด หลังจากนั้นก็พูดคุยกันมาเรื่อยๆ หลังจากที่ได้คุยกันก็มีความรู้สึกว่าคุยกันได้ พื้นฐานคือไม่โกหกกัน เพราะถ้าใครเข้าหาจ๋าแล้วโกหกจ๋าเหมือนกับจีบทีละหลายๆ คน จ๋าก็ไม่อยากคุยด้วย แต่พื้นฐานของหลุยส์เขามีความจริงใจ เขาก็พยายามทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ก็พยายามปรับหลายๆ อย่าง ก็เหมือนกับเขาจริงใจแล้วก็เป็นคนดี ซึ่งการเป็นคนดี มันค่อนข้างครอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่ชอบดูแลเทคแคร์คนอื่น จ๋าชอบคนแบบนี้ เพราะที่บ้านจ๋าเป็นครอบครัวอบอุ่น ทุกวันนี้คุณพ่อยังดูแลคุณแม่อยู่เลย ดังนั้นถ้าเราคบใครแล้วเขาไม่ค่อยได้ดูแล เราก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าก็ยังไม่อยากพูดอะไรมาก ก็ต้องดูต่อไปเรื่อยๆ เรื่องการปรับตัวเป็นอย่างไรบ้าง ? ก็ต้องมีบ้าง เพราะคนเรามันโตมาคนละแบบ แต่ทุกครั้งเวลาที่หลุยส์ให้สัมภาษณ์ เขาก็จะบอกตลอดว่ามันเป็นช่วงพิสูจน์ตัวเอง เหมือนจ๋าก็ต้องดูเขาเหมือนกัน และเขาก็ต้องดูจ๋าเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ถ้าเกิดเขาดีและดูแลกันมากขึ้นมันก็จะดีขึ้น ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น จ๋าเคยมองเอาไว้รึเปล่าว่าผู้ชายที่จะมาลงเอยกับเราต้องเป็นคนอย่างไร ? จ๋าชอบคนที่อบอุ่นนะ เขาต้องดูแลเราและครอบครัวเราได้ จริงอยู่ผู้หญิงสมัยนี้เริ่มเก่งมากขึ้น แต่สำหรับจ๋าไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นผู้นำผู้ชาย เราแค่ทำหน้าที่ช่วยเสริมเขาก็พอ เพราะจ๋าคิดว่าถ้าเกิดเรามีครอบครัว แล้วคนที่อยู่ข้างๆ เราเขาล้มในขณะที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย แล้วใครจะมาดูแลครอบครัวเราและลูกของเรา ถ้าเรายังพอมีความสามารถหรือทำอะไรได้บ้าง เวลาที่เขาล้มเราก็ยังอยู่ได้ แต่ยังไงจ๋าก็ยังมองเป็นสมัยเก่าว่ายังไงผู้ชายก็ต้องเป็นผู้นำผู้หญิงอยู่ดีค่ะ สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ จ๋า สาวเพอร์เฟกต์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook