เรื่องย่อละคร ขุนเดช
![เรื่องย่อละคร ขุนเดช](http://s.isanook.com/mv/0/ud/6/31911/kun-bo9.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
นายเดื่อง (วินัย ไกรบุตร) หัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานรับปาก อาจารย์ประทีป (วันชัย เผ่าวิบูลย์) หัวหน้าคณะศึกษา โบราณคดีของกรมศิลป์ว่าจะปักหลักเฝ้าพระศิลาพระพุทธรูปที่ถูกค้นพบในถ้ำศิลา บนเขาหลวงสุโขทัย ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกโจรใจบาปที่จ้องจะลักตัดเศียรพระศิลา โดยเฉพาะกำนันบุญ สุโขทัย (สุรวุฑ ไหมกัน) ซึ่ง มี นิสัยขี้โกง ชอบสะสมและลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ เมื่อกำนันบุญรู้เรื่องพระศิลาที่ถูกค้นพบเลยอยากได้ไว้ ในครอบครองจึงเดินทางจากสุโขทัย มาศรีสัชนาลัยบ้านนายเดื่อง เพื่อขอให้นายเดื่องเปิดทางให้เข้าไปลัก ตัดเศียรพระ แต่กำนันบุญถูกนายเดื่องปฏิเสธ และไล่ตะเพิดอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพล นายเดื่องเป็นห่วง พระศิลาเลยจำเป็นต้องฝาก ขุนเดช (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) ลูกชายวัย 10 ขวบไว้กับ คำปัน (รชยา รักกสิกรณ์) หญิง สาวที่แอบชอบพ่อของขุนเดช และคอย ช่วยเลี้ยงดูขุนเดชเหมือนลูกแท้ๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของขุนเดชที่มีใจรักและสนใจในศิลปะโบราณ ซึ่งถูกถ่ายทอดจากพ่อ ทำให้ขุนเดชแอบขึ้นรถของอาจารย์ประทีปตามไปหาพ่อที่ถ้ำศิลา อาจารย์ประทีป กลัวภัยจะเกิดกับนายเดื่อง จึงให้ปืนไว้ป้องกันตัว แต่นายเดื่องปฏิเสธยืนยันจะใช้แค่ไม้ตะพดหัวเงิน อาวุธคู่กาย ปกป้องสมบัติของแผ่นดิน ฟากกำนันบุญที่โกรธแค้นนายเดื่องมาก จึงสั่งให้เสือแชนกับเสือชิด ลูกน้องคนสนิท พาพวกบุกไปที่ถ้ำศิลาเพื่อจัดการกับนายเดื่องและ เอาเศียรพระศิลามาให้ได้
ขุนเดชที่แอบตามอาจารย์ประทีปมาหาพ่อที่เขาหลวงเกิดพลัดหลงอยู่ในป่า หาทางไปหาพ่อที่ ถ้ำศิลาไม่ได้ โชคดีเจอหลวงพ่อสุข พระธุดงค์ที่มาปักกลดอยู่ใน บริเวณเขาหลวง หลวงพ่อสุขเคยเจอนายเดื่อง ที่บริเวณถ้ำศิลาจึงพาขุนเดชไปหา นายเดื่องโกรธลูกชายมากที่แอบหนีมาจะลงมือตี แต่หลวงพ่อสุขห้ามไว้ บอกพรุ่งนี้เช้า จะเป็นคนพาขุนเดชกลับไปที่ศรีสัชนาลัยเอง คืนนั้นนายเดื่องจำเป็นต้องให้ขุนเดชค้างอยู่ในถ้ำ ขุนเดชนอนฟังพ่อเล่าเรื่อง ความเชื่อเกี่ยวกับเขาหลวงให้ฟังว่า เขาหลวงแห่งนี้ก็คือ " พระขพุง ผีเทวดา ที่สถิตย์อยู่ที่นี่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาในเมืองสุโขทัย หากผู้ครองเมืองสุโขทัยจะเป็นผู้ใดก็ตาม รู้จักนบไหว้ และ ทำพิธี เซ่นสรวงถูกต้องแล้ว เมืองสุโขทัยย่อมตั้งมั่นถาวรยั่งยืน แต่หากไม่รู้จักนบไหว้ ไม่มีการพลีบูชา ตามแบบแผนแล้ว ผีในเขาหลวงจะไม่คุ้มไม่เกรง เมืองสุโขทัยก็จะล่มจม " เพราะเหตุนี้นายเดื่องจึงต้องมาเฝ้า พระศิลาเอาไว้จากพวกคนใจบาป ขุนเดชเองก็รับปากพ่อว่าเมื่อโตขึ้นจะทำหน้าที่รักษาสมบัติของชาติแบบพ่อ แต่ระหว่างนั้น พวกเสือแชน เสือชิดบุกเข้ามา นายเดื่องห่วงลูกชายจึงสั่งให้ขุนเดชไปซ่อนตัว แล้วเข้าต่อสู้กับ พวกเสือแชน เสือชิด ด้วยไม้ตะพดอันเดียว สุดท้ายนายเดื่องก็สู้ไม่ได้ถูกพวกมันฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดทารุณ ต่อหน้าต่อตาขุนเดช แล้วตัดเอาเศียรพระศิลาไป เสือชิดได้ยินเสียงขุนเดชที่ซ่อนตัวในถ้ำจึงคิดจัดการขุนเดชอีกคน แต่ขุนเดชคว้าไม้ตะพดของพ่อมาเป็นอาวุธและหนีพวกมันเข้าหายไปในป่าเขาหลวง
กลางดึกคืนนั้นขณะที่หลวงพ่อสุขกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ในกลด หลวงพ่อสุข ได้เห็นนิมิตร บางอย่างที่น่าตกใจ ในนิมิตร หลวงพ่อเห็นความเสื่อมทรามของผู้คน ที่ไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา ศิลปะโบราณวัตถุถูกย่ำยีกลายเป็นเครื่องประดับฝาบ้าน พระพุทธรูปต้องอยู่หลังกรงขังกั้น ไม่ให้ผู้มีจิตศรัทธา กราบไหว้ บางองค์ก็ถูกรุม ขัดถูเพื่อขอหวยมัวเมาในกิเลศ พระพุทธรูปที่งดงามตามโบราณสถานก็ถูกตัดเศียร เรียงรายจนน่าเวทนา หลวงพ่อสุขสะดุ้งตื่น จากนิมิตรพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากขุนเดช ที่กำลังถูกพวกเสือแชน เสือชิดไล่ตามล่า และคิดว่าขุนเดชตกหน้าผาตายไปแล้วจึงพากันกลับไป แต่ที่จริงแล้ว ขุนเดชหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหิน ด้วยความตื่นกลัวและตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ภาพของพ่อที่ถูกฆ่าตาย อย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตา ภาพของพระศิลาที่ถูกตัดเศียรทำให้ขุนเดชกลัวจนช็อคหมดสติ
หลวงพ่อสุขไปพบนายเดื่องถูกฆ่าตายที่ถ้ำศิลาจึงออกตามหาขุนเดชด้วยความเป็น ห่วง และได้พบขุนเดชสลบอยู่ที่ซอกหินจึงปลุกขุนเดชให้ตื่น แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้น มาแสดงอาการเกรี้ยวกราด ดุดัน ใช้ไม้ตะพดที่กำไว้แน่นไล่ทำร้ายหลวงพ่อเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง หลวงพ่อรู้ว่าที่ขุนเดชเป็นอย่างนี้ เพราะอาการช็อคตกใจกลัวจนเสียสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อนั่งนิ่งและแผ่เมตตาให้ขุนเดชใจสงบ ซึ่งก็ได้ผลขุนเดช สงบนิ่งไปและเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน่าเวทนา หลวงพ่อสุขจำเป็นต้องเป่ากะหม่อม ขุนเดชให้หลับอย่างสงบ
ข่าวการตายของนายเดื่องและการหายตัวไปของขุนเดชลูกชายนายเดื่อง เป็นที่โจษจันไปทั่ว สุโขทัยว่าเป็นฝีมือโจรใจบาป จ่าแท่น (วีระชัย หัตถโกวิท) ซึ่ง รักและเคารพนายเดื่องเหมือนพี่ชาย คิดว่าขุนเดชน่าจะยังมีชีวิตอยู่ จึงชวนคำปันซึ่งเป็นน้องสาว ออกตามหาขุนเดช แต่ทั้งคู่ไม่พบร่องรอยขุนเดช คำปันร้องไห้เสียใจทำใจไม่ได้ ว่าขุนเดชตาย ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องผีสางพากันพูดกันว่า พระขผุงคง เอาตัวขุนเดชไปอยู่ด้วยที่เขาหลวง
10 ปีต่อมา หลวงพ่อสุขซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เลี้ยงดูขุนเดช จนเติบโตเป็นหนุ่มหน้าตาดี มีความฉลาดเฉลียวโดยสามารถสอบเข้าเรียนเป็นนักศึกษาในคณะโบราณคดี ด้วยคะแนนสูงสุด แต่ขุนเดชจำเรื่องราวเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้ เพราะผลจากการตกใจ กลัวจนช็อค ส่วนไม้ตะพด ของนายเดื่องที่ติดตัวขุนเดชมา หลวงพ่อสุขก็เก็บรักษาเอาไว้ในกุฎิไม่เคยนำมาให้ขุนเดชเห็นเพราะเกรงว่า ถ้าขุนเดชจับไม้ตะพดนี้อีกครั้ง ความโกรธแค้น เกรี้ยวกราด ราวกับสัตว์ร้ายที่อยู่ในจิต ใต้สำนึกของขุนเดช อย่างที่หลวงพ่อเจอในอดีตจะกลับมาสิงสู่ในร่างของขุนเดชอีกครั้ง แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยรู้ว่า หลายต่อหลายคืน ขุนเดชมักจะฝันร้ายเห็นภาพเศียรพระศิลา ถูกตัด ซึ่งขุนเดชก็ไม่กล้าเล่าให้หลวงพ่อฟัง เพราะกลัวว่าจะทำให้ อาการอาพาธของหลวงพ่อที่ไม่ค่อยดีอยู่จะทรุดหนักขึ้น
ใกล้ๆ วัดที่ขุนเดชอาศัยอยู่เป็นโรงหล่อพระของ ลุงเถิน ที่เอ็นดูขุนเดชเพราะ เป็นเด็กหนุ่ม เอาการเอางานมักมาช่วยงานจ่าเถินเสมอๆ แถมขุนเดชยังช่วยติวหนังสือให้ ดารา (อคัมย์สิริ สุวรรณศุข)ลูก สาวคนสวยของจ่าเถิน ที่อยากจะสอบเข้าเรียนในคณะโบราณคดี เหมือนอย่างขุนเดช ดารามักจะค่อนขอดและงอนพ่อบ่อยๆ หาว่า พ่อรักขุนเดชเหมือนลูกชาย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะจ่าเถินมักชวนขุนเดชคุยเรื่องในอดีต ที่จ่าเถินเคยเป็นนักเลง เพลงดาบ ได้ฝีมือตีเหล็กตีดาบมาจากปู่ที่เป็นคนอรัญญิก จ่าเถินให้ขุนเดชดูดาบที่จ่าเถิน ตีตอนเป็นหนุ่มๆ มันเป็นดาบไทยที่คมกริบ ฟันฉับเดียวต้นกล้วยขาดเป็นสองท่อน แต่เวลานี้จ่าเถินเลิกทุกอย่างแล้วใช้วิชาความรู้ มาหล่อพระแทนเพราะไม่อยากทำบาป จ่าเถินกลัวว่าถ้าตัวเองตายจะถ่ายทอดวิชาพวกนี้ให้ ลูกสาวไม่ได้ จึงสอนให้ขุนเดช ทั้งวิชาเชิงดาบและการตีดาบไว้เป็นความรู้ติดตัว
เวลาที่ขุนเดชไปไหนมาไหนกับดารา ใครๆ มักจะคิดว่าสองคนเป็นคนรักกัน แม้แต่ ย้ง หรือ ยงยุทธ (ศุกลวัฒน์ คณาเรศ) เพื่อน สนิทของขุนเดชที่กำลังสอบเข้าเรียนตำรวจก็คิดอย่างนั้น ขุนเดชอ่านใจของเพื่อนได้ว่า ย้งเอง ก็แอบชอบดาราแต่ไม่กล้าแสดงออกเลยคิดจะช่วย ให้ย้งมีโอกาสตามลำพังกับดารา ขุนเดชชักชวนไปเที่ยว อยุธยากันเพื่อชมโบราณสถาน แต่ดารารู้ว่าขุนเดชทำเพื่อย้งเลยน้อยใจเพราะตัวเองก็แอบชอบขุนเดชอยู่ ดาราจะนั่งรถบัสกลับกรุงเทพฯ คนเดียว แต่ระหว่างทางเจอกับประดับ (ณัฐวัฒน์ เปล่าศิริวัธน์) ลูก ชาย นายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเร เพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โต จึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับกับเพื่อนฝูงพยายามที่จะชวนดาราให้ขึ้นรถ ไปด้วยกัน ขุนเดชกับย้งตามมาเจอเลยมีเรื่องและเข้าตาจนถูกพวกประดับล้อมกรอบ ดีที่อาจารย์ประทีป และคณะศึกษาโบราณคดีขับรถผ่านมาพบเข้า พวกประดับจึงล่าถอยไป แต่ก็เก็บสมุดจดบันทึกของดาราได้ ทำให้ประดับรู้ว่าดาราเป็นใครและเรียนอยู่ที่ไหน อาจารย์ประทีปอาสาพาพวกขุนเดชไปส่งกรุงเทพฯ เพราะ กำลังไปที่นั่นเหมือนกัน และอาจารย์ประทีปก็สะดุดชื่อขุนเดชเป็นอย่างมาก ยิ่งได้รู้ว่าขุนเดชเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในวัดและเป็นนักศึกษาโบราณคดีที่มีความรู้เกี่ยวกับสุโขทัยจนหาตัว จับได้ยาก ก็ยิ่งสนใจ
ขุนเดชกลับมาที่วัดก็ทราบข่าวร้ายว่าหลวงพ่อสุขอาพาธหนักแต่ไม่ยอมไป โรงพยาบาล เพราะคิดว่าเมื่อถึงเวลาต้องละสังขารก็ขอให้เป็นไปตามกรรม ส่วนอาจารย์ประทีปด้วยความสงสัยว่า ทำไมหลวงพ่อสุขตั้งชื่อเด็กที่เอามาเลี้ยงว่าขุนเดช จึงเข้าไปมนัสการกราบหลวงพ่อ และก็จำได้ว่าหลวงพ่อสุข คือพระธุดงค์องค์เดียว กันกับที่เคยเจอที่เขาหลวงเมื่อ 10 ปีก่อน เลยยิ่งมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับขุนเดช ลูกชาย นายเดื่องที่หาศพไม่พบจนทุกวันนี้ หลวงพ่อเลยเล่าให้อาจารย์ประทีปฟังถึงสาเหตุที่ ต้องพาขุนเดชมาอยู่ที่วัด และเลี้ยงดูขุนเดช เพราะขุนเดช เห็นภาพพ่อตัวเองถูกฆ่าตาย ต่อหน้าต่อตา จึงช็อคและจำความไม่ได้ หลวงพ่อ กลัวว่าถ้าโจรพวกนั้นรู้ว่าขุนเดชยังมีชีวิตอยู่จะเป็นอันตรายจึงพาขุนเดชมา กรุงเทพฯ แต่ขุนเดชยังมีจิตวิญญาณ ของคนศรีสัชนาลัย เพียงแค่ภาพโบราณสถานของสุโขทัยจากในหนังสือ ขุนเดชก็สามารถจดจำรายละเอียด ที่มาได้หมด หลวงพ่อสุขเอาไม้ตะพดมาให้อาจารย์ ประทีปดูเพื่อยืนยันว่าเป็นขุนเดช ลูกชายนายเดื่อง จริงๆ หลวงพ่ออยากให้อาจารย์ประทีป รับปากว่าจะคืนไม้ตะพดอันนี้ให้ขุนเดช ก็ต่อเมื่อจิตใจของขุนเดชนิ่งสงบพอ และรู้จักคำว่าอโหสิ เพราะถ้าขุนเดชยังมีจิตที่ไม่นิ่ง ไม้ตะพดก็จะไม่ต่างอะไรกับดาบในมือของทหารพระร่วง
ประดับตามมาหาดาราถึงที่โรงหล่อพระแต่ถูกเถินกับขุนเดชไล่ตะเพิดเพราะดันมา ลองดีกับ เถิน นักเลงเก่า ประดับเจ็บแค้นที่ถูกด่าสาดเสียเทเสียจึงใช้อิทธิพลของพ่อ พาทหารบุกไปโรงหล่อพระ พยายามแจ้งข้อหาเท็จกับนายเถินว่าซ่องสุมอาวุธสงคราม เพื่อเป็นประโยชน์ให้พวกกบฏ เถินปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม และไม่สนใจการเมือง ประดับจึงสั่งให้พรรคพวกบุกทุบทำลายพระพุทรูป ที่หล่อเสร็จ แล้ว ต่อหน้าต่อตาดาราและนายเถินที่แทบหัวใจสลายที่เห็นพระพุทธรูปถูกทำลาย ประดับเอาปืน ที่นำมายัดไว้ในองค์พระเพื่อเป็นหลักฐานเล่นงานนายเถินให้ถูกจับกุม
ขุนเดชต้องพาดาราไปพักอยู่กับย้งเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ถูกประดับตามมารังควาญอีก ย้งกับดารารู้สึกกลัวแววตาขุนเดชที่บอกว่า จะจัดการทุกอย่างให้ เมื่อย้งถามว่า ขุนเดชคิดจะทำอะไร ขุนเดชก็ไม่ปริปากพูดสักคำ ขุนเดชไปที่โรงหล่อ พระที่เหลือแต่เศษซากของพระพุทธรูปที่ถูกทำลาย เศียรพระที่ถูกทุบทำลายจนหลุด จากบ่า ทำให้ภาพอดีตในวัยเด็กของขุนเดชผุดเข้ามาสร้างความเจ็บปวด ให้ขุนเดชอีก แต่ขุนเดชยังไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นคืออะไรและเกี่ยวข้องกับตัวเองยังไง ขุนเดชรู้ว่าดาบ ของลุงเถิน ที่เคยใช้เมื่อวัยหนุ่มเก็บซ่อนไว้ที่ไหน ขุนเดชนำมันออกมาแล้วมุ่งหน้าไปหา ประดับที่กำลังดื่มกินอยู่ในบาร์
คืนนั้นเอง อาการอาพาธของหลวงพ่อสุขกำเริบหนัก หลวงพ่อถามหาขุนเดช แต่ไม่มีใครรู้ว่า ขุนเดชอยู่ที่ไหน ไม้ตะพดของขุนเดชตกลงมาจากชั้นวาง นิมิตรที่หลวงพ่อเคยเห็นเมื่อ 10 ปีก่อนกลับมาอีกครั้ง เศษซากปรักหักพังของโบราณสถานถูกทำลาย เศียรพระเป็นเพียงเครื่องประดับข้างฝาบ้าน ภาพพระพุทธองค์ กลายเป็นภาพประดับข้างฝาห้องน้ำของต่างชาติ หลวงพ่อสุขหายใจรวยริน พูดเป็นคำสุดท้ายก่อนมรณภาพว่า " จากนี้ไปไม่มีใคร หยุดขุนเดชได้อีกแล้ว "
ขุนเดชควงดาบของลุงเถินบุกไปเล่นงานพวกประดับจนเกิดการต่อสู้โรมรันพันตู แต่ด้วยดาบ เพียงเล่มเดียวขุนเดชเลยพลาดท่าถูกพวกประดับจับตัวได้ พวกมันซ้อมขุนเดช ทั้งเตะทั้งอัดจนสบักสะบอม ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่โดนทำร้าย กระตุ้น ให้ภาพในอดีตของขุนเดชกลับคืนมาอีกครั้ง คราวนี้ขุนเดชเริ่ม ประติประต่อเรื่องราว เมื่อ10 ปีที่ผ่านมาได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขุนเดชจำได้ว่าเขาคือลูกชายนายเดื่อง ผู้ที่สาบานจะถวายชีวิตปกป้อง สมบัติของพระร่วงไม่ให้ใครย่ำยี ขุนเดชเองก็สาบานกับพ่อว่าจะถวายชีวิต เป็น ทหารของพระร่วงแห่งศรีสัชนาลัย พวกประดับเห็นขุนเดชนิ่งไปก็นึกว่าหมดสภาพ แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้นมา ด้วยแววตากราดเกรี้ยวน่ากลัวราวกับมีสัตว์ร้ายเข้ามาสิงสู่ ขุนเดชคว้าดาบได้และเกือบสังหาร ประดับด้วยการ บั่นคอ แต่ขุนเดชก็หยุดชะงักเมื่อมีกลุ่มทหารเข้ามายุติการก่อเหตุ ประดับนึกว่าคนของพ่อมาช่วย แต่เขาคิดผิด ทหารที่บุกเข้ามายุติเหตุการณ์เป็นทหารฝ่ายปฏิวัติ เพราะเวลานี้รัฐบาลทหาร (จอมพล ป.) ถูกคณะปฏิวัติ (จอมพลสฤษดิ์) เข้ายึดอำนาจ หลังการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชน อย่างหนัก
ประดับและครอบครัวหลบหนีภัยการเมืองออกนอกประเทศ ลุงเถินถูกปล่อยตัว ออกจากคุก ให้เป็นอิสระ ส่วนขุนเดชกลับมาไม่ทันกราบหลวงพ่อสุขที่มรณภาพในคืนนั้น ในงานศพของหลวงพ่อสุข ขุนเดชบอกอาจารย์ประทีปว่าตนเอง จำความได้แล้วว่าเป็นลูกชายนายเดื่องที่หลวงพ่อช่วยชีวิตเอาไว้ เวลานี้เมื่อสิ้นบุญ หลวงพ่อแล้วก็ถึงเวลาที่เขาควรจะกลับไปยังบ้านเกิดที่ศรีสัชนาลัย แต่อาจารย์ประทีป ทักท้วงอยากให้ขุนเดชได้เรียนโบราณคดีต่อให้จบ จะได้บรรจุเข้ารับราชการ ขุนเดช ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า อยากจะสานต่องานที่พ่อทำ เพราะรับปากพ่อไว้ก่อนตาย อาจารย์ประทีปไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของ ขุนเดชจึงรับปากจะช่วยให้ขุนเดชทำงานขุดแต่งโบราณสถานที่ศรีสัชนาลับซึ่งขาด คนอยู่ ขุนเดชกราบขอบคุณ อาจารย์ประทีปและพร้อมจะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที อาจารย์ประทีปตามไปที่กุฏิหลวงพ่อสุข ถามหา ไม้ตะพดหัวเงินที่หลวงพ่อเก็บไว้ แต่ลูกศิษย์วัดบอกว่าขุนเดชเอาไม้ตะพดไปแล้ว อาจารย์ประทีปใจคอไม่ดี เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อสุขที่กำชับไว้ว่า " อย่าคืนไม้ตะพดให้ขุนเดชจนกว่าจิตใจของขุนเดช นิ่งสงบพอและรู้จักคำว่าอโหสิ ถ้าขุนเดชยังทำไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการคืนดาบให้กับทหารพระร่วง "
ขุนเดชจากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ย้งกับดาราก็ไม่รู้ว่าขุนเดชไปไหน เพราะขุนเดชไม่ยอม บอกใครถึงอดีตของตัวเอง คงมีแต่ลุงเถินที่ได้พบขุนเดชเป็นคนสุดท้าย ขุนเดชเอาดาบลุงเถินที่ไปลับคมใหม่ มาคืน เพราะวันที่สู้กับประดับ ขุนเดชใช้ดาบจนคมดาบบิ่น แต่ลุงเถินมอบให้กับขุนเดชเก็บเอาไว้ เตือนสติว่า " ถึงดาบจะเป็นอาวุธที่อันตราย แต่สิ่งที่อันตรายกว่าคมดาบ ก็คือใจ" ขอให้ขุนเดชระลึกไว้ตลอดเวลา
10 ปีผ่านไป....ศรีสัชนาลัยงดงามและมีมนต์ขลังด้วยศิลปะโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า ขุนเดช ทำงานเป็นหัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานให้กับอาจารย์ประทีป และตั้งหน้าตั้งตาทำนุบำรุงโบราณสถาน ที่ตัวเองรักยิ่งชีวิต หลังจากที่ขุนเดชทำงานเสร็จจึงมาเดินเที่ยวชมวัด และเข้าไปไหว้พระอจนะ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีชุม ขณะกำลังไหว้พระเขาได้ยินเสียงเสี่ยงเซียมซี จึงหันไปตามเสียงและได้พบบัวทอง (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) เด็ก สาวสวยวัยเพิ่งจะ 19 กำลังเขย่ากระบอกเซียมซีเสียงดัง และอธิษฐานขอพรขมุบขมิบตามประสาเด็กวัยรุ่น ขุนเดชรู้สึกขำท่าทีของเด็กสาว จึงแกล้งพูดแหย่เล่นด้วยความเอ็นดู บัวทองไม่พอใจเดินหนีไป ขุนเดชเดินตาม บัวทองจึงวิ่งไปหาแม่ ขุนเดชเห็นแม่บัวทองจึงจำได้ว่าเป็นน้าคำปัน ที่เคยเลี้ยงดูขุนเดชตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ขุนเดชดีใจที่ได้เจอน้าคำปันอีกครั้ง เพราะไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวที่พ่อถูกฆ่าตาย เมื่อ 20 ปีที่แล้วที่ได้กลับมาที่ศรีสัชนาลัยก็ได้ ข่าวว่าน้าคำปันกับจ่าแท่นพากันย้ายจากศรีสัชนาลัยไปตั้งรกรากที่อื่น น้าคำปันกอดขุนเดชด้วยน้ำตาว่าเพิ่งจะรู้เรื่องขุนเดชเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง เพราะตอนที่ย้ายจากศรีสัชนาลัยไปเป็นการย้ายเพราะกลัวพวกโจรที่ฆ่าพ่อขุนเดช จะย้อนมาทำร้าย ส่วนจ่าแท่นก็โดนย้ายตามเจ้านาย แต่ตอนนี้สามีของน้าคำปันเพิ่งเสียและจ่าแท่นก็เพิ่งจะได้ย้ายกลับมาที่ศรี สัชนาลัยแล้ว น้าคำปันแนะนำให้ขุนเดชรู้จักกับบัวทองลูกสาวของน้าคำปัน ขุนเดชยิ้มให้บัวทองอย่างเอ็นดูและชมว่าสวยเหมือนน้าสมัยสาวๆ แต่บัวทองกลับแลบลิ้นใส่ขุนเดชเพราะรู้สึกหมั่นไส้ ที่ทำเป็นอวดเก่ง อวดความรู้เรื่องโบราณสถานและทำมาเป็นสั่งสอน คำปันต้องปรามลูกสาวที่แก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลก ขุนเดชไม่ติดใจอะไร บอกเด็กก็คงเป็นเด็ก บัวทองสวนขุนเดชกลับทันทีว่าปีนี้ อายุ 19 ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว น้าคำปันอ่อนอกอ่อนใจฝากขุนเดชช่วยดูแลน้องด้วย ขุนเดชรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ที่วัดพระพายหลวงสุโขทัย ขณะที่ขุนเดชแจกชะแลงและเครื่องมือให้คนงานอยู่ มีคนงานคนหนึ่งมีท่าทีแปลกๆ ชื่อ ไอ้เถร พ่อแม่ฝากให้ทำงานกับขุนเดชเพราะยากจน ขุนเดชจึงรับไว้เป็นคนงานขุดแต่งโบราณสถาน ไอ้เถรมีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยและชอบขโมยพระในกรุ ตกกลางคืนเถรแอบใช้ชะแลงที่ขุนเดชแจกให้ทำงาน เข้าไปขุดกรุขโมยพระไปขายให้กำนันบุญ รุ่งเช้าขุนเดชเจอร่อยรอยขโมยพระ และเห็นรอยชะแลงที่หน้าดินซึ่งชะแลงแต่ละอันขุนเดชจะทำตำหนิไว้ ทำให้ขุนเดชรู้ว่าใครเป็นคนขุด ตกดึกขุนเดชจึงลากตัวเถรและเอาชะแลงของเถรมาที่กรุพระ แล้วให้เถรนำชะแลงไปเทียบกับรอยดินว่าเป็นชะแลงอันเดียวกันรึป่าว แต่เถรขัดขืนจึงต่อสู้กัน ขุนเดชใช้ไม้ตะพดหัวเงินตีจนเถรยอมเอาชะแลงไปเทียบกับรอยดิน พบว่าเป็นรอยเดียวกัน เถรรีบปฏิเสธ แล้วบอกว่าอาจมีคนขโมยชะแลงไปทำผิด ขุนเดชให้เถรเอามือล้วงไปในข้องปลา พร้อมทั้งสาบานว่าหากเอามือล้วงไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นแสดงว่าไม่ได้ทำผิด ในข้องนั้นขุนเดชแอบเอางูเห่าใส่ไว้ พอเถรล้วงลงไปจึงโดนงูกัด แต่เถรแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขุนเดชจึงปล่อยไป ระหว่างทางพิษงูออกฤทธิ์ เถรจึงเสียชีวิตเพราะพิษงู รุ่งเช้าที่ร้านกาแฟคู่ผัวเมีย นายฮวดกับสาลี่ (ประภมภรณ์ รัตนภักดี) ประจำ หมู่บ้าน พวกชาวบ้านโจษจันถึงเรื่องการตายของไอ้เถร นายฮวดถามจ่าแท่น ลูกค้าประจำที่ชอบมาฟังชาวบ้านคุยกันว่าคิดยังไงกับการตายของไอ้เถร ซึ่งขุนเดชนั่งฟังอยู่ จ่าแท่นบอกเพียงว่าเถรถูกงูเห่ากัดตาย ขุนเดชบอกสมควรแล้วก่อนจ่ายเงินค่ากาแฟแล้วจะไปทำงาน แต่จ่าแท่นรีบยืนทำความเคารพเจ้านายใหม่ที่เพิ่งย้ายมาประจำที่โรงพักศรีสัช นาลัย จ่าแท่นแนะนำร.ต.ท.ยงยุทธ หรือหมวดยงยุทธให้ทุกคนได้รู้จัก ขุนเดชกับหมวดยงยุทธพบหน้ากันก็จำได้ดีว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันนั่น เอง
วันคืนเก่าๆ ของหมวดยงยุทธกับขุนเดชกลายเป็นเรื่องคุยกันที่บ้านพักของหมวดยงยุทธ ขุนเดชถามหมวดถึงดาราเพราะไม่ได้ข่าวเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ศรีสัชนาลัย ผู้หมวดหนักใจที่จะพูดถึงดารา บอกเพียงว่าดาราเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะโบราณคดีอย่างที่ฝันไว้ และก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเพราะต้องย้ายไปทำงานหลายจังหวัด ยงยุทธชวนขุนเดชคุยเรื่องการตายของไอ้เถร เพราะสงสัยว่าไม่น่าจะเกิดจากงูกัดเสียชีวิตอย่างเดียว เนื่องจากตอนไปชันสูตรศพเห็นรอยการถูกตีด้วยของแข็งตามร่างกาย แต่ไม่รู้ว่าของแข็งนั้นคืออะไร จ่าแทนสงสัยถามย้อนว่าหมวดคิดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรม หมวดยงยุทธค่อนข้างแน่ใจ แต่จ่าแท่นไม่คล้อยตามข้อสันนิษฐาน คิดว่าในศรีสัชนาลัยไม่มีฆาตกร เพราะชื่อศรีสัชนาลัยหมายความว่าเป็นเมืองของคนดี ขุนเดชได้แต่ฟัง เงียบๆ และมองหมวดยงยุทธเพื่อนเก่าด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนความลับไว้
ต่อมาไม่นานมีคณะอาจารย์และนิสิตนักศึกษาจากกรุงเทพฯ มาเรียนรู้และดูงาน เกี่ยวกับเรื่องโบราณสถาน อาจารย์ประทีปแนะนำให้ขุนเดชรู้จักอาจารย์ดารา เมื่อทั้งคู่ได้พบกันขุนเดชจึงนึกได้ว่าท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ของหมวดยงยุทธ มีความหมายแท้จริงก็คือ ทุกวันนี้หมวดยงยุทธยังตามจีบดาราอยู่ เพราะเป็นผู้ชายตรงๆ จีบผู้หญิงไม่เป็น ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถเอาชนะใจดาราได้ เมื่อสบโอกาสรู้ว่าอาจารย์ดาราจะมาปักหลักทำงานที่ศรีสัชนาลัยจึงทำเรื่องขอ ย้ายตามมา เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง ขุนเดชถามอาจารย์ดาราถึงลุงเถิน ดาราบอกพ่อเสียไปเมื่อ 3 ปีก่อน ขุนเดชเสียใจที่ไม่ได้ไปเคารพศพ ดาราจึงชวนขุนเดชไปทำบุญ ทำสังฆทานให้พ่อ แต่ระหว่างที่ทำบุญที่วัด อาจารย์ดาราเจอบัวทอง ดาราสังเกตเห็นท่าทีบัวทองที่สนิทสนมกับขุนเดช ก็เดาออกว่าขุนเดชกับบัวทองน่าจะมีใจให้กัน และทำใจยอมรับว่าขุนเดชไม่เคยมองเธอในฐานะคนรักเลยสักครั้ง อาจารย์ดาราจึงยับยั่งชั่งใจและเริ่มเปิดใจให้กับหมวดยงยุทธ
ระหว่างนั้นกำนันบุญและลูกชายชื่อ สัมฤทธิ์ (พิชยดนย์ พึ่งพันธ์) ซึ่ง มีนิสัยไม่ต่างจากพ่อทั้งขี้โกง เจ้าชู้ และชอบเก็บสะสมวัตถุโบราณโดยเฉพาะพระเครื่อง พระผงที่อยู่ในกรุเจดีย์ สองพ่อลูกคิดแผนชั่วจะขโมยวัตถุโบราณและตัดเศียรพระ แต่หาคนฝีมือดีไม่ได้ เพราะลูกน้องที่ใช้ไปก็ถูกขุนเดชจัดการเกือบหมด จึงนึกถึงนายเปรื่อง อยุธยา หรือฉายา เปรื่อง เสียงแปล่ง โจรมืออาชีพลักลอบขุดเจาะขโมยพระทำมาทั่วทุกสารทิศ เปรื่องเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับพระองค์ใหญ่ที่ร้านกาแฟนายฮวด ขุนเดชสงสัยในตัวเปรื่อง จึงแอบตามไปพบเปรื่องกำลังขโมยตัดเศียรพระองค์ใหญ่ ขุนเดชจึงเข้าไปจัดการ ทั้งคู่ต่อสู้กัน เปรื่องล้มไปใส่องค์พระ เศียรพระที่เปรื่องเจาะไว้จึงตกลงมาทับร่างเปรื่องเสียชีวิต
แต่กระนั้นโจรชั่วหนักแผ่นดินก็ยังไม่หมดไป ยังมีสองพ่อลูก ผู้ใหญ่น่วม กับลูกชายชื่อ น้ำ ที่มีนิสัยนักเลงอันธพาล คบโจร โกงการพนัน ฉุดผู้หญิง ชอบขโมยขุดพระขุดเจดีย์ รู้มาว่า เจดีย์บนเขามีสมบัติและกรุพระเก่าอยู่ จึงขึ้นเขาไประเบิดเจดีย์เพื่อขโมยพระในกรุ แต่ก็ถูกขุนเดชตามฆ่าใช้ไม้ตะพดที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเหมือนของพ่อ แต่ถูกดัดแปลงซ่อนดาบของลุงเถินไว้ข้างใน เพื่อใช้ต่อสู้กับพวกคนเลวทั้งสองคน แล้วขุนเดชก็ใช้เชือกรัดคอน้ำโหนกับต้นไม้ตายแล้วนำศพมาประจาน
เหตุการณ์ของโจรขโมยพระถูกฆ่าตายหลายคน ทำให้หมวดยงยุทธสงสัยและเริ่มสืบหาฝีมือของฆาตกรรายนี้ แต่หมวดยงยุทธก็จนปัญญา จนเมื่อผลการพิสูจน์หลักฐานแน่ชัดว่าของแข็งที่ใช้ทำร้ายพวกคนร้ายมีลักษณะ ตรงกับไม้ตะพดของขุนเดช หมวดยงยุทธจึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของขุนเดช ซึ่งตั้งศาลเตี้ยลงทัณฑ์พวกโจรใจบาป โดยไม่สนใจกฎหมาย ทำให้หมวดยงยุทธไม่พอใจและคอยจับผิด หมวดยงยุทธพูดให้จ่าแท่นเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือขุนเดช และกล่าวว่าขุนเดชเป็นวีรบุรุษบาป ให้จ่าแท่นช่วยหาหลักฐานมัดตัวขุนเดชแม้ว่าขุนเดชจะเป็นเพื่อนเก่าแก่ แต่กฏหมายก็ต้องศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ในมือผู้พิทักสันติราษฎร์
หลังจากกำนันบุญทำงานไม่สำเร็จ ไม่มีสมบัติโบราณส่งไปให้ตามใบสั่งจากกรุงเทพฯ เพราะถูกขัดขวางจากขุนเดช ทำให้ ท่านรัฐมนตรีปราชญ์ ผู้ชื่นชอบในวัตถุโบราณ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังใบสั่งที่ส่งไปให้กำนันบุญจัดหามาให้เริ่มไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เป็นถึงรัฐมนตรีจึงไม่สามารถออกหน้าได้ รัฐมนตรีปราชญ์จึงเรียกประดับ ทนายความและเลขาประจำตัวมาจัดการทุกอย่างให้ได้ตามประสงค์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วหลังจากที่ประดับหนีภัยการเมืองไปอยู่เมืองนอก ประดับเรียนจบกฏหมาย กลับมาทำงานเป็นทนายและเลขาส่วนตัวให้ท่านรัฐมนตรี เพราะมีจุดประสงค์ที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง หลังจากที่พ่อต้องตายอยู่ที่เมืองนอก ประดับจึงยอมให้ท่านรัฐมนตรีโขกสับ โดยในระหว่างนั้นก็วางแผนตีสนิทกับปารมี (ขวัญกวินท์ ธำรงรัฐเศรษฐ์) ลูก สาวคนสวยวัยเพียง 16 ของท่านรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นสะพานให้ตัวเองยกฐานะเป็นลูกเขย ซึ่งแผนการของประดับก็ดูสดใส เพราะปารมีเป็นเด็กแก่แดด ชอบช้อบปิ้ง และชอบหนุ่มหล่อ ซึ่งประดับก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ประดับต้องทำอย่างลับๆไม่ให้ท่านรัฐมนตรีรู้
ท่านรัฐมนตรีมีใบสั่งให้ประดับไปจัดการหามาให้ได้ ประดับรู้จักแจ็ค ฝรั่งพูดไทยคล่อง พ่อค้าวัตถุโบราณที่กรุงเทพฯ เดินทางมาขโมยวัตถุโบราณด้วยตนเอง โดยให้กำนันบุญคอยช่วยเหลือ แจ๊คระเบิดเจดีย์ แล้วใช้รถพังวัตถุโบราณต่างๆ เป็นหน้ากอง โดยไม่กลัวความผิด เพราะถือว่ามีเส้นใหญ่เป็นถึงรัฐมนตรี ขุนเดชรู้เรื่องจึงไปจัดการฆ่า โดยการแขวนคอแจ๊คหน้าเจดีย์ การตายของแจ็คทำให้ประดับโดนท่านรัฐมนตรีเรียกไปด่า ประดับต้องอาศัยอำนาจท่านรัฐมนตรีกดดันตำรวจในพื้นที่ให้เร่งมือจัดการตาม ล่าตัวฆาตกรที่ลอยนวลอยู่นั่นเอง ที่ทำให้ประดับได้เจอกับหมวดยงยุทธ ดารา และขุนเดช ประดับแสดงท่าทางเจ้าชู้กับดาราเหมือนเมื่อก่อน แต่คราวนี้ประดับโดนหมวดยงยุทธขู่จะเล่นงาน ถ้ามายุ่งกับดาราอีก ประดับเลยขู่กลับว่าจะอยู่ในหน้าที่ตำรวจอีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่เขามีอำนาจ ทั้งสามต้องโดนแก้แค้นชนิดหาแผ่นดินยืนไม่มี แต่ประดับก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะท่านรัฐมนตรีเรียกกลับด่วน ซึ่งเรื่องด่วนนั่นก็คือท่านรัฐมนตรีจับได้ว่าประดับกับปารมีแอบลักลอบมี ความสัมพันธ์กันจนปารมีตั้งท้อง ประดับโดนท่านรัฐมนตรีเรียกคนมาซ้อมเพราะไม่พอใจ แต่ท่านรัฐมนตรีก็ไม่กล้าเอาเรื่องประดับถึงโรงพักฐานพรากผู้เยาว์ เพราะกลัวเป็นข่าวฉาวโฉ่ ปารมีก็มาอ้อนวอนพ่อขอร้องให้ไว้ชีวิตประดับ เพราะรักกันจริงๆ และให้เห็นแก่ลูกในท้อง ท่านรัฐมนตรีทำอะไรไม่ได้จำเป็นต้องเลื่อนฐานะประดับให้ขึ้นมาเป็นลูกเขย ซึ่งก็สมใจประดับทันที
กำนันบุญเริ่มหงุดหงิดหัวเสียไม่รู้จะไปพึ่งใครให้ทำงานให้ ทำให้รู้สึกขวางหูขวางตา ลงไม้ลงมือกับทุกคนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ รำพัน (ปริษา ทนาวิวัฒน์) เมีย ใหม่ของกำนันและเป็นแม่เลี้ยงของสัมฤทธิ์ ก็โดนกำนันตบตีระบายอารมณ์ เพียงเพราะรำพันปล่อยให้ทิพย์ ลูกสาววัย 12 ที่เกิดกับกำนันบุญซึ่งเป็นปัญญาอ่อนชอบฟ้อนรำรบกวนอารมณ์กำนัน จนกำนันคิดจะส่งทิพย์ให้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า แต่รำพันก็อ้อนวอนขอเลี้ยงไว้เพราะยังไงก็ลูก
กำนันบุญนึกถึงเสือแชน ลูกน้องเก่าซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นผู้ลงมือฆ่าพ่อของขุนเดชให้กลับมาช่วยงานขโมยพระ เสือแชนไม่ชอบสะสมวัตถุโบราณ แต่ชอบสะสมอาวุธโบราณ เช่น มีด หอก ดาบ เมื่อตำรวจสืบทราบจึงส่งสายตำรวจชื่อ นายเหลืองไปตีสนิทโดยเอาดาบโบราณให้เสือแชนเพื่อสร้างความไว้วางใจ เหลืองบอกเสือแชนว่ายังมีอีกเยอะ เพราะรู้แหล่งที่ฝั่งสมบัติอยู่ในถ้ำบนเขา เสือแชนหลงกลเชื่อจึงตามเหลืองขึ้นไปในถ้ำ เมื่อสบโอกาส เหลืองผลักเสือแชนตกลงไปก้นถ้ำ แล้วออกมาตามหมวดยงยุทธกับจ่าแท่นซึ่งรออยู่ด้านนอกเพื่อรอจับ แต่ระหว่างนั้นขุนเดชซึ่งซ่อนตัวอยู่ในถ้ำได้โอกาสล้างแค้นให้พ่อ โดยปล่อยงูจงอางกัดเสือแชนแล้วใช้คมดาบฟันคอเสือแชนหลุดจากบ่า ตำรวจเข้ามาเจอแต่สภาพศพของเสือแชนที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ สร้างความสงสัยให้หมวดยงยุทธ ว่าต้องเป็นฝีมือของขุนเดชแน่ๆ
การตายของเสือแชนทำให้กำนันบุญแค้นใจมากสั่งคนไปลอบยิงขุนเดชขณะกำลังตกแต่ง เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ ขุนเดชร่วงลงจากยอดเจดีย์แต่รอดตายเพราะตกลงมาในดงต้นพุทธรักษา ในขณะที่ขุนเดชถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นก็มาตรวจที่เกิดเหตุ จ่าแท่นเจอไม้ตะพดของขุนเดชตกอยู่จึงหยิบขึ้นมาดูพอขยับออกมาพบว่าข้างในถูก ดัดแปลงเป็นดาบ จ่าแท่นตกใจมากหรือว่าที่หมวดยงยุทธสงสัยจะเป็นเรื่องจริง แต่พอหมวดยงยุทธเดินมา จ่าแท่นรีบเก็บดาบเข้าฝักแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จ่าแท่นรีบตามไปที่ โรงพยาบาลแล้วฝ&
หนัง : ขุนเดช
ช่อง : ช่อง 7
ออกอากาศทุกวัน : พุธ, พฤหัสบดี
ผู้กำกับ : สยาม น่วมเศรษฐี
บทประพันธ์ : สุจิตต์ วงศ์เทศ
ผู้เขียนบท : ศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ
ผู้จัด : พอดีคำ จำกัด
นักแสดงนำ : วีรภาพ สุภาพไพบูลย์, อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล, ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์, อคัมย์สิริ สุวรรณศุข, วันชัย เผ่าวิบูลย์, วินัย ไกลบุตร, รชยา รักกสิกรณ์, สุรวุฑ ไหมกัน, พิชยดนย์ พึ่งพันธ์, อุษณีย์ วัฒฐานะ, ภารดี อยู่ผาสุข