ฝันครั้งใหม่ แดน ขึ้นแท่นกำกับ-เขียนบทหนัง

ฝันครั้งใหม่ แดน ขึ้นแท่นกำกับ-เขียนบทหนัง

ฝันครั้งใหม่ แดน ขึ้นแท่นกำกับ-เขียนบทหนัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

ความฝันครั้งใหม่ของ แดน วรเวช ดานุวงศ์
การเป็นผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต
กับภาพยนตร์ HAPPY COMEDY ROMANTIC
เรื่อง "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์"

 

Q: กว่าจะมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ได้ในวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตลอด 13 ปีในวงการบันเทิงของแดน วรเวชบ้าง

                ผมเข้าวงการครั้งแรก ตอนอายุ 17 ปีครับ เข้ามาก็มาเป็นนักร้องวง D2B ก็เพลิดเพลินกับการเป็นศิลปินอยู่พักหนึ่ง จนเริ่มได้รู้จักกับงานหลายๆ ส่วนมากขึ้น รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราได้เจอ รู้สึกว่าเราอยากมีโอกาสได้คิดบ้าง อยากลองใช้ความสามารถในด้านอื่นๆ บ้าง ซึ่งการทำงานเบื้องหลัง มันคือการทำงานด้วยสมองเกือบ จะ 100% นะครับ  เริ่มแรกผมเริ่มสนใจการแต่งเพลง  เห็นพี่เค้าแต่งเพลงกันแล้วสนุกจังเลย อยากเป็นนักแต่งเพลงบ้างก็ไปลองศึกษาครับ  ผมเป็นคนขี้อายนะ อายที่จะเป็นคนถามใครก่อน  ก็เลยเป็นพวกลักจำซะเยอะ (หัวเราะ)  คอยแอบดู ว่า อ๋อ เขาทำงานกันยังไง  ชอบไปแอบฟังพวกพี่ๆ ทีมงานเขาคุยกัน จริงๆ มันก็เป็นนิสัยที่ไม่ดี (หัวเราะ)  แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด อยากเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องทำให้ได้แล้วก็ได้มีโอกาสแต่งเพลงแรกคือ "นายเจ็บฉันเจ็บ"

แล้วก็พอรู้สึกว่าเราแต่งเพลงได้แล้ว สิ่งที่อยากทำต่อมาก็คือการเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ซึ่งมันใช้กระบวนการความคิดที่มันใหญ่ขึ้นน่ะครับ แล้วก็เลยไขว่คว้าที่จะทำมัน ผมรู้สึกว่าเหมือนเป็นเกมชีวิตน่ะ เหมือนกับการ เราเป็นตัวๆ หนึ่งในเกมแล้ว เราต้องผ่านด่านไปเรื่อยๆ ในแต่ละด่านที่จะถึงก็จะมีบอส 

มีอุปสรรคต่างๆ มากมายให้เราต่อสู้แก้ปัญหา เพียงแต่ว่ามันเริ่มใหม่ไม่ได้บ่อยเท่านั้นเองครับ บางครั้งถ้าพลาดมันก็จะเกมโอเวอร์ถาวร  (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรอบคอบกว่าการเล่นเกมมาก เมื่อมันทำให้เรารอบคอบแล้วเวลาเราเจอสิ่งต่างๆ มันก็จะทำให้เราแข็งแกร่งแล้วก็นิ่งขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้เยอะครับ คิดจะทำอะไรก็ทำ ทำแล้วก็ ตายๆ (หัวเราะ) ในเกมมันก็ต้องหยอดเหรียญเล่นใหม่ตลอด แต่ว่าอย่างที่บอก ผมตายไม่เกินสองครั้งหรอกครับ จากนั้นก็สั่งสมประสบการณ์ มาเรื่อยๆ จนได้เป็นโปรดิวเซอร์เพลง  เสร็จแล้วอยากทำรายการทีวี  ก็ลองหาทางไปทำรายการทีวี อยากเขียนหนังสือ ก็เขียนหนังสือซะ ก็ได้เขียน อยากทำละครก็ไปทำละครซะ แต่การทำงานหลายๆอย่างทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้เป็นคนโชคดีมากนะครับ บางคนนั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็มีโอกาสมาหาแต่ว่าเราเป็นคนต้องวิ่งไปหาโอกาสซึ่งความเป็นศิลปินเพลงป๊อบ หรือบอยแบนด์มันมีส่วนในการไม่เชื่อมั่นของผู้ใหญ่อย่างสูง

คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน
Q:  หลายคนคนคิดว่าการเป็นศิลปินชื่อดังอยู่แล้วจะมีโอกาสเข้ามาหาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สำหรับแดนแล้วเป็นแบบนั้นรึเปล่า

                การเป็นแดน บางคนอาจจะบอกว่ามันง่าย ที่จะทำอะไรก็ทำได้ เพราะว่ามันคงมีโอกาสมากมาย ที่คุณจะทำได้แต่ว่าจริงๆ มันไม่ใช่เลย มันเป็นดาบสองคมมาก คือการเป็นแดนมันทำให้ทุกคนคิดว่า เราคงทำได้แค่ร้องเพลงไป เราต้องพิสูจน์หนักกว่าคนอื่นหลายๆ เท่า เราต้องพิสูจน์เยอะมากน่ะครับ ว่าจะทำไงให้เขาเชื่อเราว่าเราทำได้จริงๆ เพราะฉะนั้นงานเราถ้าเป็นคนอื่นเสนอไปเขาอาจจะคิดว่าโอเคละ แต่อย่างเราเนี่ยเขาจะเหมือนว่ามีกำแพงอะไรบางอย่างอยู่ก่อนว่า เอ้ย มันจะทำได้จริงเหรอ  ก็เลยต้องสู้กับมันหนักหน่อย แต่ว่าก็สนุกดีครับมันก็เป็นเกมที่ยากแต่เราก็ผ่านมันมาได้  

Q: จากวันแรกจนถึงทุกวันนี้อะไรคือความเป็นแดนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

สิ่งที่เป็นตัวผมและไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะครับก็คือผมเป็นคนขี้อายครับ ขี้อายมาก แต่ว่าเป็นขี้อายแบบเอาวะ! ทำก็ได้ ตั้งแต่เมื่อก่อนผมชอบโดนจับไปออกงานโรงเรียนตลอด ซึ่งทุกงานที่ผมโดน ผมไม่กล้าขึ้นเวทีเลยนะครับแต่โดนบังคับก็เอาวะก็ขึ้น (หัวเราะ)  ขึ้นเวทีก็ไปเต้นๆ ได้สตางค์มาให้คุณแม่  โดนจับไปร้องเพลงก็ไป ตอนนี้จะขึ้นเวทีทุกครั้งทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นมากนะครับ(หัวเราะ) พอพิธีกรประกาศขอเชิญแดน-วรเวช ก็เอาวะก็ขึ้นไป เหมือนผมจะกล้าๆ ดูคุยเยอะๆ ใช่ไหมแต่ก็อยู่ในอารมณ์เอาวะทำก็ได้เหมือนกัน อยากให้รู้เฉยๆ ว่า เผื่อว่างานไหนสายตาผมดูประหม่าๆ ก็แสดงว่าผมเอาวะไม่ไหวผมกำลังตื่นเต้นมากจริงๆ กำลังประหม่ามากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผมยังแก้ไม่ได้ครับ (หัวเราะ)

 

Q: จริงมั้ยที่ว่าเราเป็นคนช่างฝัน ถึงขนาดว่ากันว่าชีวิตของแดน วรเวชขับเคลื่อนได้ด้วยความฝัน

                ชีวิตผมตอนนี้อยู่ได้ด้วยความฝันเลยครับ ผมว่าชีวิตผมมันมีคุณค่า ก็เพราะผมได้มีโอกาสได้คิดได้ฝันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน และผมได้ทำความฝันให้มันเป็นจริง ส่วนใหญ่ฝันของผมมันจะไม่ใช่ฝันที่อยู่กับตัวเองน่ะครับ เวลาผมฝันที่จะทำงานแต่ละอย่าง มันจะมีภาพคนอื่นที่ผมรัก และก็คิดว่าเขาก็คงจะรักผม อยู่ข้างๆ ผมน่ะครับ ความฝันผมมันจะเป็นความฝันส่วนรวม มันเหมือนเรากำลังนำกองทัพอะไรสักอย่างไปสู้ พอเราได้ทำฝันเป็นจริงมันก็เหมือนกองทัพเพื่อนฝูงของเราเนี่ยไปช่วยกันทำมันให้สำเร็จ และถ้าเกิดความฝันนั้นมันเวิร์ค เราก็เฮด้วยกัน แต่ถ้าเกิดว่าความฝันนั้นมันทำไม่สำเร็จ ผมก็ยังโชคดีที่ว่าอย่างน้อยคนที่ไปกับผมทุกครั้งเขาก็ไม่เคยทิ้งผม (หัวเราะ)

 คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q: จากการทำงานที่ผ่านมาของแดนแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ทดลองทำงานใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ รึเปล่า

คือผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรที่มันเดิมๆ น่ะครับ จริงๆ ก็เบื่อง่าย ผมว่าชีวิตเรามันไม่มีวันเต็มนะครับ  ถ้าผมบอกว่าชีวิตเราเต็มแล้วเมื่อไหร่ ผมว่าในแต่ละวันเราก็ไม่รู้จะตื่นมาทำไม ตื่นมาแล้วมันก็ เฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เหรอ ผมเลยอยากขยายชีวิตของเราให้มันมีพื้นที่ว่างให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่น ผมบอกว่าผมเป็นนักร้องเนี่ย คนอาจจะบอกว่ามันประสบความสำเร็จถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นผมประสบความสำเร็จตอนอายุ 18 ปี ถ้าผมหยุดแค่นั้นเนี่ย โห แล้วนี่ผ่านมาเป็น 10 ปี ผมคิดว่าผมเฉาตายแน่ ผมก็ขยายพื้นที่ มันทำให้เราสนุกกับการที่ชีวิตเรามีวันรุ่งขึ้น เราจะมีอะไรให้ทำอีก  วันรุ่งขึ้นมันจะมีอะไรให้เราได้ลุ้น ให้ได้ท้าทายให้ได้สนุก ผมเป็นคนชอบเอาชนะตัวเองน่ะครับ ไม่ชอบแข่งกับคนอื่น "ผมสู้ใครไม่ได้แต่ผมว่าผมสู้ตัวเองได้" ก็เนี่ยล่ะครับผมว่ามันสนุกดี

 

Q: ผ่านความฝันมาก็ไม่น้อยแล้วเริ่มต้นรู้ว่าตัวเองอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

                ฝันอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะสัก 3 -4 ปี ก่อนหน้านี้น่ะครับ มันเกิดจากว่า เราดูหนังแล้วทำไมไม่มีใครทำแบบนี้นะ ทำไมไม่มีมุกนี้นะ จากนั้นก็คิดว่าสักวันต้องขอกำกับหนังบ้างแล้วล่ะ พอรู้ว่าอยากทำหนังก็ไปตระเวณกำกับหนังสั้น กำกับ MV ก่อน เพราะรู้ว่างานทำหนังมันเป็นงานใหญ่มาก  ผมพอจะรู้ตัวเองว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราทำตรงนี้ได้  ตรงนั้นเรายังทำไม่ได้  ผมไม่อยากให้ใครมารู้สึกว่า โถ่ เอ้ย!กะแล้วว่ามันทำไม่ได้จริงๆ  เพราะอย่างนั้นขั้นแรกก็คือ คือการเอาตัวเองไปสู้กับปัญหาก่อน หาปัญหาให้เยอะที่สุด เจอปัญหาให้เยอะที่สุด พอถึงงานที่มันใหญ่จริงๆ ปัญหาที่เจอก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กๆ ก็เคยเจอๆ มาแล้ว เคลียร์มาแล้ว ซึ่งมันถือว่าได้ผลกับงานครั้งนี้ครับ มันทำให้ปัญหาของเราในกองมันไม่เยอะเท่าไหร่  จริงๆ มันอาจจะเยอะแหละแต่เรามองไม่เห็นมัน เพราะเรามองว่ามันเป็นปัญหาเล็กๆ หรือผมมองว่ามันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยก็ได้

                 ขั้นที่สองคือเมื่อเราพร้อมแล้ว เราก็เดินไปคุยกับคนที่คิดว่าเขาจะเชื่อใจเรา แล้วก็พอดีว่า พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว เขาก็เชื่อใจเราว่าเราน่าจะทำงานได้ ก็ขอบคุณมากๆ นะครับที่เชื่อใจผม  จากนั้นก็เป็นขั้นตอนเขียนบท  ตอนเขียนนี่ก็ผมเขียนบทไม่เป็นเลยนะ  ก็ไปหาบทละครเก่าๆ บทหนัง มาดู ประเด็นไม่ได้เกี่ยวกับไดอะล็อคจะเขียนยังไง แต่ประเด็นคือแบบ ต้องเขียนแบบฟอร์มว่า กลางวัน, ห้อง, ผมไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง (หัวเราะ) ต้องมีกี่ซีน ไม่รู้เลย  คือต้องเริ่มใหม่หมดเลยครับ  ตรงนี้แหละคือความสนุกของผม ถ้าทำได้มันคงสนุกดี ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ เขียนไป มันก็จะมีช่วงบางช่วงที่มันช็อต แบบว่าเฮ้ยไม่รอดแน่เลยว่ะ เราไปไหนไม่ได้ จริงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ หลายๆ คนเวลาที่ผมเครียดเมื่อไหร่ ทุกคนก็พร้อมที่จะกระโจนมาหาผม ไปนั่งที่ไหนก็ได้ มาอยู่กับผม บางทีปรึกษาเพื่อนน่ะ....ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ แต่ละความเห็นแบบ...ไร้สาระมาก (หัวเราะ) แต่มันทำให้เรายิ้มน่ะครับ พอเรายิ้มเนี่ย ประตูมันเปิดมันมีแสงสว่างออกมา เราอารมณ์ดีแล้วเราเขียนต่อได้ ก็ต้องขอบคุณมากจริงๆ หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในนักแสดงด้วย ก็คือแสดงเป็นพี่ถั่ว พี่ปอย (ณภัทร  ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) แต่เขาก็ช่วยทำให้สมองผมพังไปหลายทีเหมือนกัน (หัวเราะ)

 คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q: ก่อนจะมาเป็นคืนวันเสาร์นี่ใช้เวลา นานเท่าไหร่ และไอเดียที่มาของเรื่องราวครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วมาลงตัวที่โปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ได้อย่างไร

                ตั้งแต่เริ่มเขียนบทผมเขียนพล็อตไว้หลายอันครับ พล็อตไปเรื่อยก็เป็นสิบร่างได้ครับ ใช้เวลาประมาณ  2 ปี ครับ ส่วนจุดเริ่มต้นหนังเรื่องนี้มันเกิดจาก ผมสนใจกับคำว่า "คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์"ครับ ผมชอบชื่อเรื่องครับ ซึ่งผมไม่ได้คิด คนที่เอาชื่อนี้มาบอกผมคือพี่เอโกะ (สุภาพร  เลิศฐิติวีรกานต์ -ไลน์โปรดิวเซอร์ ผู้ประสานงานสร้าง) เป็นคนบอกชื่อนี้มา เค้ามีแค่ชื่อเรื่องให้ผม แต่ผมติดใจเลยว่าชื่อเรื่องนี้น่าทำหนังนะ มันน่าจะดูมีอะไร พอเราได้คำนี้มา เราก็มาแตกประเด็นว่าทำอะไรได้บ้าง ก็ประชุมทีมงานกันว่าใครมีไอเดียอะไรโยนไอเดียกันมาได้เลยเพื่อทำพล็อตให้มันแข็งแรง  แล้วก็ได้ไอเดียว่าสังคมยุคนี้ว่าความรักที่จริงจังมันได้หายไปมากมันได้โดนกลืนกินด้วยความรักฉาบฉวย สมมุติว่าคนเราคนนึงมีแฟนแล้ว มันมีสิ่งเร้าหลายอย่าง ทั้งผู้หญิงสวย ผู้ชายหล่อ แล้วดันมาจีบเราอีก หรือบางทีเรามีแฟนอยู่แล้วเราคบกันมานานแต่คุยกันแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ มันก็รักล่ะนะแต่ว่ามันไม่ได้ยิ้มเลย

ทีนี้ผมเห็นเพื่อนผมเนี่ยแหละ เขาคุยกับใครก็ไม่รู้ เขาไม่รู้จักหน้าตา เขาเล่นเฟซบุค ทวิตเตอร์ ตอบกันไป ตอบกันมาแล้วทำให้เขาหัวเราะได้ แล้วก็มีความสุขกับการที่อยู่ตรงนี้ ทำให้คุยกับแฟนน้อยลงแล้วก็เล่นแต่โทรศัพท์มากขึ้น ซึ่งสมัยนี้มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมบอกได้เลยว่าคนเราสมัยนี้กิ๊กเยอะมาก  แม้แต่ตัวเองจะมองว่าไม่ใช่กิ๊กก็ตาม แต่ผมถือว่าเป็นเพื่อนคุยที่เราให้ความรู้สึกบางอย่างมากกว่าแฟนเราด้วยซ้ำมั้งครับ ก็เลยนำประเด็นนี้มาเล่น ว่าถ้าเกิดคนๆ หนึ่งเขามีแฟนอยู่แล้ว แล้วในแต่ละวันแทบจะไม่ได้ยิ้มกับแฟนเลย เราควรจะอยู่แบบนี้กับแฟนคนนี้ต่อไปไหม หรือเราควรจะอยู่กับคนที่เรานั่งอยู่เฉยๆ แล้วเขาก็ทำให้เรามีความสุขได้ หรือการที่เราอยากจะปฏิเสธใครบางคนแต่ก็ยากที่จะห้ามใจเพราะว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันทำให้เรายิ้มได้

                แล้วผมอยากพูดถึงกรอบ ตัวตนของคนเราน่ะครับ  ผมว่าคนเราทุกคนน่ะมีกรอบตัวเองเป็นชั้นๆ  สำหรับคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็จะมีเรื่องการระเบิดเกราะการป้องกันตัวของตัวเอง กะเทาะความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็จะเป็นเสนอข้อเท็จจริงของคนเรา เวลาที่เราอยู่กับคนที่เรารู้สึกชอบ  ถ้าเราชอบเขาเมื่อไหร่เราจะไม่มีทางเอาตัวตนของเราเผยออกมา ในขั้นแรกเราจะแอ๊บๆ เก็บๆ ไว้ก่อน  มักจะไปเปิดเผยกับเพื่อนสนิทของเรา ความเป็นตัวเองที่แบบบ้าสุดๆ เราจะไปอยู่กับเพื่อน  จะไปอยู่กับคนที่เราไม่ได้สนใจเขา เราจะดีหรือไม่ดี ไม่สนใจอะไร  เผอิญว่านางเอกของเรื่องนี้ดันหลุด เปิดความเป็นตัวเอง แบบนี้ให้กับตัวพระเอก แล้วทำให้ตัวนางเอกเองรู้สึกว่าสบาย ผมอยากให้ทุกคนเป็นแบบนี้จริงๆ เพราะว่าการเป็นตัวเองที่สุด มันทำให้เราอยู่ได้ตลอดไป มันสบายตัวมากเลยครับ คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็เลยพูดประเด็นนี้แล้วก็มีอีกประเด็นที่ว่าคนเราจะตกหลุมรักได้ไหมในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน

                แต่ความตั้งใจแรกของการสร้างเรื่องนี้เลยก็คืออยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มให้ได้ก่อน เมื่อคุณดูภาพยนตร์จบไป เงินที่คุณเสียไปกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณมีแรงที่จะทำงานต่อมีรอยยิ้ม พูดกับใครก็ยิ้มได้ ความสุขเหล่านี้มันจะเกิดมาจากตัวละครทุกตัวที่ผมได้สร้างขึ้นมา นิสัยของตัวละครหลายๆ ตัว มันคือเรื่องราวที่ผมได้ไปเจอมา และผมได้หัวเราะกับมันไปก่อนหน้านี้แล้วก่อนที่ทุกคนจะได้หัวเราะ ผมเจอคนจริงๆ ที่เป็นแบบนี้แล้วผมก็หัวเราะหัวทิ่มไปแล้ว แล้วผมก็เลยเอาสิ่งที่เจอนี้มาขยายความให้มันใหญ่ขึ้น เพื่อสร้างความสุขมากขึ้นเวลาเราเห็นตัวละครทุกๆ ตัว ในภาพยนตร์เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่าผมเจอมาหมดแล้วจริงๆ บางคนอาจจะแบบว่า  เฮ้ยมันมีด้วยเหรอวะ มันมีจริงๆ ครับ มันมีแล้วน่ากลัวมาก (หัวเราะ) แต่รวมๆ แล้วเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มองโลกในแง่ดีนะครับ

 คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q: การเป็นผู้กำกับนั้นเป็นงานที่หนักและรับผิดชอบสูง หลังจากที่ทำหนังแล้วรู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม
                คือการทำงานแบบนี้เรารับรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเหนื่อยมาก คือเราเคยทำหนังสั้น กำกับละคร กำกับ MV มา เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยประมาณหนึ่ง ต้องบอกว่าอันนี้มันเกินคาดมากมันเหนื่อยเกินคาด เหนื่อยแบบว่าหมดแรง หมดแรงจริงๆ ปิดสวิชต์เลย ทุกครั้งผมจะมีความสุขมากกับการไม่ต้องเล่น (หัวเราะ) แล้วก็นั่งดูมอนิเตอร์ นั่งขำคนอื่นที่ทำท่าทางตลกไป  แต่คือมันดีตรงที่ ผมเหนื่อยแบบผมมีความสุขนะ เพราะฉะนั้นในทุกๆ วันเราก็จะแฮปปี้กับการเหนื่อยครั้งนี้ ผมว่ามันสะใจดี ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วตื่นมาตอนเช้า ลงมากินข้าวที่แม่ทำไว้ให้ แล้วก็นอนกลิ้งอยู่กับพื้น ทะเลาะกับแมว ผมว่าชีวิตแบบนี้มันเซ็งมากนะ  ผมมีความสุขกับการเปิดกองถ่าย ตื่นเช้ามาคิวนึง กองถ่ายของผมมันทำให้คนมีรายได้เกิดขึ้นเยอะมากนะครับ  คนที่มีส่วนกับคิววันนั้น ทุกคนมีรายได้เอาไปใช้ในชีวิต

 

Q:  นิยามคำว่าผู้กำกับ ของแดน ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดีต้องเป็นอย่างไร

                ผมว่าผู้กำกับก็ต้องซื่อสัตย์น่ะ ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ตัวเองจะทำ เชื่อมั่นกับชิ้นงานของตัวเอง ผมจะยอมไม่ได้คือถ้าผมทำงานชิ้นไหนแล้วผม ไม่อยากดูเนี่ย ผมจะรู้สึกว่าตัวเองผิดมากต่ออาชีพของตัวเอง นั่นหมายความว่าคุณเองยังไม่อยากจะดูเลย แล้วใครจะมาดูงานคุณ ผมก็ใช้วิธีนี้น่ะ ผมต้องอยากดูงานของตัวเอง ต่อให้มันผ่านไป 10 ปีก็ตาม ทุกวันนี้งานบางงานของผม ผมยังนั่งดูอยู่เลย ว่าอ๋อ เมื่อก่อนเราทำได้แค่นี้จริงๆ แต่เราก็มีความสุขว่าตอนนั้นเราก็ทำเต็มที่แล้วนะ ที่สุดแล้ว ถ้าซื่อสัตย์ต่องานของตัวเอง ศรัทธาเชื่อในงานของตัวเอง เชื่อในคนของตัวเอง คนที่ตัวเองเลือกมาดีที่สุดแล้ว แล้วอย่างที่สำคัญผมว่า ต้องมีการบริหารสภาพจิตใจที่ดี ห้ามเครียด เครียดได้แต่ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าเครียดน่ะครับ เพราะไม่อย่างนั้นงานมันจะหดหู่น่ะ

 คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q: ต้องขอให้เล่าเรื่องให้ฟังกันสักหน่อยแล้วล่ะ เรื่องราวใน "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์" เป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องมันเกิดจากตัวละครที่ชื่อ ชวด ครับ ชวดทำงานเป็นครีเอทีฟรายการทีวี  เป็นผู้ชายชิลๆ คนหนึ่งซึ่งเรื่องความรักเขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่วันหนึ่งเขามาเจอผู้หญิงที่เห็นแล้วกระแทกใจสุดๆ  มองแล้ว โห น่ารักมาก ซึ่งคนนั้นก็คือต้นหลิว  เขาก็คิดว่าผู้หญิงคนเนี้ยแหละใช่เลย ผู้ชายส่วนใหญ่เค้าจะเป็นแบบนี้นะ  เห็นหน้าก่อนพอเป๊ะแล้วก็ใช่เลยกรี๊ดเลย แต่เป็นผู้ชายไงกรี๊ดออกมาไม่ได้เก็บอยู่ข้างในแล้วก็แอบคลั่งอยู่ คอยติดตามรายการ "ที่ซ่อนผี"  ที่ต้นหลิวเป็นพีธีกรอยู่ทุกเทปทุกตอน อยากจะเข้าไปจีบเขาแต่เห็นทีไรใจสั่นตลอด เผอิญว่าเค้าไม่ได้เป็นคนที่กล้ามาก เหมือนเวลาคนเราชอบใครมากๆ ก็มักจะไม่กล้าคุยกับเค้า  เพราะถ้าคุยจะรู้เลยมือจะสั่นปากจะสั่น ในหนังจะเห็นแล้วมันจะมีอาการแบบว่าแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ชวดก็ทำทุกวิถีทางไม่รู้ว่าจะทำไงละ ก็ใช้วิธีแบบสมัยคุณยายละกันคือการใช้แม่สื่อ แล้วเขาได้เจอ เพ็ญ เพื่อนสนิทของต้นหลิว ก็ไปถามไถ่ข้อมูลต้นหลิวให้เพ็ญพาไปรู้จัก ซึ่งพอคุยกับเพ็ญมากๆ ก็เริ่มสนิทกัน แต่ทางเพ็ญก็มีแฟนอยู่แล้วชื่อ ปกป้อง แต่ความสัมพันธ์ของเพ็ญกับชวดก็ดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นเหมือนเพื่อนกัน และเขาก็คลั่งไคล้ต้นหลิวอยู่ แต่สักพักมันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เพ็ญและชวดต้องไปใช้เวลาร่วมกัน "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มเข้ามาเบียดข้างในหัวใจให้ตัวชวดเริ่มคิดว่า เอ๊ะเอายังไงดีวะเนี่ย

 

Q:  คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้

                เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ นะครับ มุมมองของผมเองผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของคาร์แร็คเตอร์มากกว่า ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมเขียนเองนะครับแต่ผมว่านิสัยของตัวละครทุกคนในเรื่องเลยครับทำให้ผมอยากอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ อยากอยู่กับครอบครัวแบบนี้อยากอยู่กับเพื่อนแบบนี้  อยากอยู่กับที่ทำงานแบบนี้ ผมว่ามันเสน่ห์ ผมไม่รู้ว่าคนเข้าไปดูแล้วจะรู้สึกเหมือนผมรึเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้าผมได้อยู่ในโลกแบบเนี้ยมันคงเพลินดีเนอะ

คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q:  คาร์แร็คเตอร์ของเรื่องนี้ค่อนข้างจะมีสีสันทีเดียว แดนมีวิธีการดีไซน์คาร์แร็คเตอร์หลักๆ อย่างไรบ้าง

                ผมขอเริ่มที่เพ็ญก่อนนะครับ ผมนึกถึงผู้หญิงคนนึงที่คล่องๆ ผู้หญิงที่อยู่กับแฟนแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อนแฟนโดยที่บางที ลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนที่กระตุกเค้าว่าคุณกำลังไม่ใช่ตัวเองนะก็คือชวดนั่นเอง  ตัวผมเองผมชอบคุยกับผู้หญิง หรือว่าคนที่ตอบโต้ผมได้ ผมว่ามันสนุกดี เพราะฉะนั้นผมเลยสร้างตัวละครสองตัวที่เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกันเลยสร้างตัวเพ็ญขึ้นมา เราก็จะเห็นการสู้กันด้วยไดอะล็อคบางอันของชวดกับตัวเพ็ญในหนังครับ

                ต่อมาที่ตัวปกป้องเป็นตัวละครที่ผมคิดอยู่นานมากว่าจะให้ชื่ออะไร สุดท้ายก็มาตายตรงที่คำว่าปกป้อง หลายคนขำกับชื่อนี้มากเพราะชื่อมันเชย แต่ผมคิดว่านิสัยคนนี้เหมาะกับชื่อนี้มาก เขาพร้อมที่จะปกป้อง ดูแลใครสักคน แต่เผอิญว่าเขาลืมคำนึงว่า สิ่งที่กำลังทำ ดูแลปกป้องเขาเนี่ย  เขาแฮปปี้มีความสุขกับสิ่งที่เรากำลังทำให้เขาไหม นั่นแหละครับคือปกป้อง แต่คนดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขา เพ็ญไปตกหลุมรักหรือหลงเสน่ห์ปกป้องได้ ไม่ใช่เรื่องเงินแน่ๆ ครับ หลักๆ เลยคือเป็นความที่เป็นคนที่เอาใจใส่แล้วก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่เขาให้จริงๆ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาให้ดันไม่ถามผู้รับเท่านั้นเอง นั่นคือความผิดเล็กๆ ที่ตัวปกป้องมี อยู่ที่ว่าเขาจะเคลียร์กันยังไงเท่านั้นเอง

                ส่วนตัวต้นหลิว ผมตามหาผู้หญิงที่เดินมาแล้วคนต้องมองน่ะ ต้นหลิวเป็นคนสวยมากแต่มาเป็นพิธีกรตามหาผีในบ้านร้าง ซึ่งหน้าเขาอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นพิธีกรรายการแบบนั้นแต่ว่าผมรู้สึกว่า รายการผีพิธีกรต้องสำคัญนะ  พิธีกรต้องเรียกคนดูต้องไม่ไล่คน  ซึ่งต้นหลิวเวลาเขามองกล้อง เขาได้หมดเลย เขาได้ความรู้สึกนั้นหมดเลย ผมสร้างคาร์แร็คเตอร์ ง่ายๆ เลยเป็นคนที่มองโลกในด้านบวกอย่างเดียวเลยเป็นคนที่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสุขกับการคุยกับคน มีความสุขกับงานเป็นผู้หญิงที่ไม่เครียดเลย เป็นผู้หญิงมีสุขภาพจิตดี  เพราะว่าผมต้องการคนที่มีรอยยิ้มจากแววตา ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่รอบๆ เขาจะมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่ได้

คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q:  มาถึงงานยากอย่างหนึ่งของการทำหนังก็คือ การคัดเลือกนักแสดง ช่วยเล่าถึงขั้นตอนนี้หน่อยว่านักแสดงแต่ละคนนั้นเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง

                เพ็ญสุดท้ายแล้ว ผู้หญิงคล่องแคล่วคนนั้นก็ได้น้องแพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มารับบทครับ ซึ่งก็ผ่านทางผู้ใหญ่หลายๆ ท่านแล้ว ทั้งพี่ปรัชญา เขาก็บอกว่าควรจะให้น้องแพทเล่น เพราะเขามีหลายๆ ส่วนที่ตรงกับคาร์แร็คเตอร์อยู่เหมือนกัน น้องเขาเป็นคนที่ร่าเริง ใครคุยด้วยก็ได้ จริงจังกับการทำงาน  ตัวละครนี้เป็นเป็นตัวที่เล่นยากมากครับ ตอนผมเขียนผมไม่ได้คิดถึงใครเลย  บทนี้ต้องทำหน้าทำตาพิลึก ต้องมีความสามารถในเรื่องของการบ้าได้สุดเหวี่ยง ที่สำคัญคือทำแล้วต้องมีเสน่ห์ต้องน่าดู ตัวละครตัวนี้ต้องอยู่ทุกสังคมได้ เป็นเหมือนจิ้งจกตุ๊กแก (หัวเราะ) เปลี่ยนสีได้ทุกสภาพแวดล้อม โดยที่อยู่แต่ละที่แล้วทุกที่ก็รักเขาด้วยนะ เพราะความสดใสร่าเริง ของเพ็ญเนี่ย ทำให้เขาอยู่ในทุกที่ได้โดยที่มีออร่าอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกคนมองเขา 

สิ่งที่ตัวน้องแพทเองต้องแบกรับภาระมากกว่าการท่องไดอะล็อคด้วยซ้ำก็คือการบริหารเสน่ห์ตัวเอง ครับ และยังมีบทแอ็คชั่นนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ อีกด้วย  ซึ่งน้องแพทเขาไม่เคยเล่นบทที่มันหลุดออกไปจากเดิม มันก็เป็นความสะใจอย่างหนึ่งของผมด้วยครับ ที่ผมจะได้เห็นเขาในสภาพนี่หรือนางเอก (หัวเราะ) แต่ผมว่าเลือกถูกคนแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปดูกันครับว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

 

Q:  การทำงานร่วมกับแพทตี้ครั้งนี้เป็นอย่างไร แพทตี้ได้โชว์ความสามารถอย่างไรบ้าง

                ตอนแรกก็กะไว้ว่าตอนเล่นคอเมดี้ น้องคงจะเล่นไม่ได้ คงจะเขินๆ เล่นยาก แต่ปรากฏว่าซีนที่คอเมดี้จัดๆ กลับเล่นได้ กลายเป็นดราม่าที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ใช้อารมณ์แบบพลิกสุดด้านมั้งครับ คือพอคอเมดี้ก็เป็นคอเมดี้แบบใช้ร่างกายใช้ทุกอย่าง ตัวละครต้องสนุกๆ จริง ผมจะถ่ายก็ต่อเมื่อนักแสดงและดูสายตาของทุกคนแล้วรู้สึกว่าเขาสนุกกับซีนนี้แล้ว ผมถึงเริ่มถ่ายทีนี้พอมาโซนความสุขมันอาจจะเยอะไปนิดมั้งครับ เขาก็พลิกกลับมาดราม่าไม่ทัน  ดราม่าเขาก็ต้องใช้สมาธิเยอะหน่อย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ครับ ผมว่าเป็นความท้าทายของเขา

 คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน

Q:  ถัดมากับบีมเข้ามารับบทได้อย่างไร การกลับมาทำงานร่วมกันพี่บีมครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

                พี่บีมภายนอกเนี่ยเขาใช่แน่เป็นผู้ชายลุคสะอาดสะอ้าน มีความรู้มีฐานะมีนิสัยที่มีความมุ่งมั่น เชื่อในบางอย่างในตัวเอง พี่บีมเขาก็เป็นคนแบบนั้น แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือความน่ารักที่พี่บีมใส่เข้าไปให้กับตัวละครปกป้องครับ เวลาเขาสอนเขาจะสอนจริงจัง แต่ว่าท่าทางการแสดงของเขาถ้าได้ดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขา ส่วนที่มาว่าพี่บีมเข้ามาเล่นหนังได้อย่างไร พอเราชวนเขามาเราบอกว่าเราทำหนังเขาก็มาเล่นเลยครับ  พี่บีมอาจจะเป็นคนเดียวด้วยมั้งที่ชินกับความฝันไปเรื่อยของผม คือทุกสิ่งที่ผมทำมักจะผ่านหูพี่บีมมาแล้วทุกเรื่อง การทำหนังเรื่องนี้เขาก็ได้ยินมาก่อนและเขาก็แสดงความดีใจที่เรากำลังจะได้ทำความฝันอีกหนึ่งชิ้นของเรา เขาบอกว่าเขายินดีที่จะช่วยทุกอย่าง ก็ขอบคุณมากนะครับ แล้วเขาก็ทำเต็มที่จริงๆ เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพมากๆ คืดผมเห็นเขาในมุมนี้แต่ว่าเขาพัฒนาขึ้นเยอะมาก เขาไม่ ยึดกับบทอย่างเดียวแต่เขาดีไซน์เยอะ เขาช่วยคิดเยอะมาก เอาแบบนี้ไหม แบบโน้นนี้ไหมแดน ซึ่ง...ผมไม่เอาเลย ล้อเล่นครับ (หัวเราะ) ตัวละครนี้ตอนเขียนก็ไม่ได้นึกถึงใครนะครับแต่พอต้องเลือกนักแสดงก็นึกถึงเขาเป็นคนแรกเลย

 

Q:  ในเรื่องนี้ยังมีอีกหนึ่งสาวสวยระดับซูเปอร์โมเดล มาร่วมเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญด้วย แดนช่วยเล่าถึงการทำงานกับน้องนุช นีรนาทกันสักนิด

                น้องนุช นีรนาท น้องเขาเข้ากล้องแล้วนี่ปิ๊งเลย  ในบทน้องนุชต้องเป็นพิธีกรมืออาชีพครับแต่จริงๆ แล้วเขาเพิ่งเคยจะเป็นพิธีกรครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่เคยรับงานพิธีกรที่ไหนเลย แต่เขาก็ทำได้เยี่ยมมากครับ ตอนเราถ่ายก็เหมือนถ่ายรายการจริงๆ มีป้ายบอกไดอะล็อคเหมือนเหมือนในรายการต่างๆ ให้เขาได้อ่าน แต่เขารู้มุมกล้อง รู้วิธีการพูด มุมไหนสวยน้องนุชจัดให้แป๊บเดียวผ่านครับสมแล้วที่เป็นซุปเปอร์โมเดล น้องนุชเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องมีไดอะล็อคพูดก็ได้ ยืนยิ้มอยู่เฉยๆ ก็สวยมาก เขาก็ส่งเสน่ห์ออกมาให้ทีมงานให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้สมควรแล้วที่จะตกหลุมรักเขา  เขาเสน่ห์แรงมากครับ มีอยู่ซีนหนึ่งขนาดเขาแค่นอนหลับยังสวยเลย! (หัวเราะ) จนทีมงานหลงบอกว่าสวยอย่างกับเจ้าหญิงนิทรา เป็นขวัญใจของกองถ่ายเลยครับ เวลาน้องนุชมาเข้าฉากทีไรจะมีคนมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยตลอด

คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดนคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แดน
Q:  มาถึงตัวละครชวด กันบ้าง ทำไมถึงเขียนบทนี้ขึ้นมาและถ้าเป็นคนอื่นเล่นจะสามารถเล่นได้ไหม

                ชวดเป็นคนชิลครับ เขาเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก เขาเป็นคนขี้เบื่อ ทำงานไปไม่ชอบเหนื่อยละก็ออก เขาก็ออกเขาอยากไปทำงานใหม่เขาก็ทำ ซึ่งเผอิญว่าเขาได้มาทำงานชิ้นใหม่หลังจากที่เขาเพิ่งลาออกจากงานเดิมของเขามา เขาก็โดนเพื่อนเขาที่ชื่อถั่ว มาชวนให้เขาไปทำรายการเรียลลิตี้หมาแพนดี้ ซึ่งก็อปปี้หมีแพนด้ามาเป๊ะเลย แต่เปลี่ยนมานั่งดูหมา หมาตัวนี้มันเป็นหมาที่ไม่รู้เป็นอัมพาตหรือเป็นโรคอะไรสักอย่างมันเป็นหมาที่ไม่ขยับเลย แม้แต่กระพริบตามันยังไม่ค่อยกระพริบเลย (หัวเราะ) พอเข้าไปทำงานวันแรกเนี่ยเขาก็ช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ความสามารถของตัวเองในการทำให้มันขยับให้ได้เพราะว่ามันไม่ขยับเลย มันจะไม่มีคนดูแน่นอนจะให้คนมาดูหมาแช่แข็งเหรอมันก็ต้องทำทุกวิถีทาง แล้ววิธีการของชวดมันก็ห่วยแตก (หัวเรา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook