วิจารณ์หนัง รัก 7 ปี ดี 7 หน
คงจะมีค่ายหนังไม่กี่ค่าย บริษัทไม่กี่บริษัท ที่สามารถทำให้ผู้ชมหรือลูกค้ารู้สึกถึงความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียว เป็นครอบครัวกันได้ GTH เองก็เป็นหนึ่งในนั้น และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาของ GTH ที่แบ่งปันร่วมกับผู้ชมก็ผ่านมาแล้วร่วม 7 ปี และด้วยเป็นการเฉลิมฉลองในรูปแบบของครอบครัวมากกว่าบริษัทเชิงพาณิชย์ พวกเขาจึงเลือกที่จะเฉลิมฉลองและกล่าวขอบคุณผู้ชมด้วยภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเลข 7 เช่นเดียวกับอายุของค่ายหนังพวกเขา และนั่นก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้นี่เอง
รัก 7 ปี ดี 7 หน ประกอบด้วยหนังสั้นเกี่ยวกับความรักสามเรื่องของสามผู้กำกับ โดยมีคียเวิร์ดเกี่ยวกับเลข 7 และเล่นกับความเชื่อที่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป 7 ปี การเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
สำหรับเรื่องแรก 14 แม้จะไม่ใช่อายุของตัวละครทั้งสองคนในเรื่อง แต่ดูเหมือนจะโยงความหมายเกี่ยวกับเรื่องของความรักครั้งแรกที่หนังได้ปุเอา ไว้ในตอนแรก เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นในยุคโซเซี่ยลเน็ตเวิร์คกับเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ที่เริ่มมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตน แต่ระหว่างโซเซี่ยลเน็ตเวิร์คและเทคโนโลยีที่เป็นพลังต่อชีวิตเค้าตลอดกับ แฟนสาวที่ก้าวผ่านมาในชีวิต
ใน 14 นี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบฉูดฉาดและทันสมัย ใช้อุปกรณ์และเครื่องมือ social media มากมายในการเล่าเรื่องเพื่อที่จะนำเสนอในความเป็นเด็ก วัยรุ่น และ ประชาชนหลายกลุ่มในปัจจุปัน ถ้าให้คาดเดาอย่างไม่เขอะเขิน หนังเรื่องนี้ก็คงมุ่งเน้นพุ่งจับไปที่อารมณ์ร่วมของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาในยุคนี้ หลังจากเมื่อ 7 ปีก่อน หนังเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่โด่งดังอย่าง แฟนฉัน เองก็จับความรู้สึกและอารมณ์ร่วมของผู้ใหญ่ที่ผ่านวัยเด็กอันหลากหลายมาแล้ว
ถ้าหากเอาคีย์เวิร์ดคำว่า เปลี่ยน มาวางเทียบกับหนังเรื่องนี้ เราคงเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในที่นี้ก็คงไม่พ้นกับการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยีที่กลายเป็นว่ามีผลกระทบต่อชีวิตของเราตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงยังมีพลังอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องของหนังให้เป็นไป ตามสื่อต่าง ๆ นี้อีกด้วย
ดังนั้นการเล่าเรื่องของ 14 นั้นจึงจะออกไปแนวรวดเร็ว ฉาบวย และ ฉูดฉาด จนบ่อยครั้งมันกลายเป็นมิวสิควีดีโอขนาดย่อม ๆ แม้จะเป็นการที่ทำให้ประเด็นเล็ก ๆ ของหนังที่ดูเผิน ๆ แล้วไม่มีอะไรน่าสนใจให้มีชีวิตชีวาและน่าสนใจขึ้นมาได้ แต่บ่อยครั้งไปมันก็เหมือนกับการฆ่าเวลา แต่ไม่มีผลอะไรกับหนังโดยรวมเท่าไหร่เพราะเนื่องจากเนื้อหาของหนังเองก็ไม่ ได้มีอะไรมาก ประเด็นของหนังที่ค่อนข้างชัดเจนแต่แรก จึงสามารถที่จะดึงอารมณ์ของผู้ชมเข้ามาร่วมกับหนังได้พอสมควร
แม้จะมีจุดที่น่าเสียดาย แต่ก็พอเข้าใจได้ เกี่ยวกับมุมมองด้านบวกของหนังที่หนังเลือกที่จะขึ้นไปจนสุดจนเรียกได้ว่า มองโลกในแง่บวกแบบสุด ๆ แต่พอมุมมองในแง่ลบหนังกลับดึงลงมาในระดับปานกลาง ความรู้สึกมันเลยดูไม่สมดุล แต่ก็ไม่ใช่ข้อเสียอะไรเท่าไหร่นักเพราะหนังเองก็พยายามประณีประนอมในบางจุด ไม่ให้ล้ำเส้นเกินความจำเป็น
ถึงกระนั้นในตอนจบของหนังก็ทำให้ผู้เขียนอภัยให้ได้ในหลายจุด เพราะมันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้พยายามทำตัวเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา อีกต่อไป แต่เป็นเด็กวัยรุ่นที่รู้จักชีวิต ความเจ็บปวด ผลของการกระทำที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ ได้อีกต่อไป
แต่ในขณะเรื่องที่สองอย่าง 21/28 นั้นเองกลับทำออกมาได้ไม่ถึงฝั่งฝัน แม้ว่ามันจะมีฉากที่ดี ๆ เยอะมาก การสร้างอารมณ์ ความพยายามดึงอารมณ์ของผู้ชมเข้าร่วม แต่เนื่องจากพื้นฐานแต่แรกของเรื่องนี้ ทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครรวมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้รับการนำเสนอออกมาอย่างเบาบาง จนผู้ชมเองไม่เกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวและตัวละคร ประกอบกับหลายฉากกับการแสดงที่เดี๋ยวก็เหมือนเล่นตลก เดี๋ยวก็เป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็เป็นหนังดราม่า เดี๋ยวก็เป็นฉากโรแมนติคคอเมดี้เก๋ ๆ สวย ๆ ทั้งหมดเป็นการผลักดันผู้ชมเข้าออกโดยที่ไม่รู้ตัว
แท้ที่จริงแล้ว หนังเรื่องนี้จะดีมากหากมันจบลงแค่ฉากปิดกล้องแล้วก็นั่งริมชายหาดตอนกลาง คืนของตัวละครสองคน เพราะในฉากนั้นฉากเดียวมันก็สามารถสื่อและอธิบายอารมณ์และเรื่องราวเหตุผล ของตัวละครได้เกือบหมดแล้ว หากแต่ว่าหนังคงไม่เชื่อมั่นว่าคนดูจะสามารถเข้าใจได้ มันจึงลากยาวไปนานมากอยู่ แล้วก็ประเคนผู้ชมไปด้วยฉากเก๋ ๆ บทพูดเจ๋ง ๆ ดนตรีประกอบบิวท์ ๆ ทุกห้านาที (ถึงกระนั้นก็ขอขอบคุณที่เป็นเพลงประกอบเพราะ ๆ จาก หัวลำโพงริดดึม) จนบางครั้งมันดูกลายเป็นความดันทุรังมากกว่าความพยายาม ทั้งที่ในส่วนของฉาก 21 มีทั้งความสวยงามมากกว่าอควอเรี่ยมของสยามโอเชี่ยนเวิร์ลหลายเท่าตัว (จะพยายามมองข้ามว่ามันไม่ใช่การโฆษณาแฝงไปแล้วกัน) แต่นั่นกลับทำให้เป็นข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนมากขึ้นไปอีกในความแตกต่างของ ความสามารถในการดึงอารมณ์ร่วมในฉาก 28 และยิ่งกลับกลายเป็นว่ายิ่งหนังพยายามจะโหมจะดึงให้ผู้ชมเศร้าผู้ชมซึ้งมาก เท่าไหร่ เรากลับยิ่งเห็นรอยโบ๋โหวงเหวงของความไม่มีอะไรมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าน่าแปลกที่ว่า ในเรื่อง 42.125 ที่เป็นเรื่องปิดท้ายของเรื่องนี้ ทั้งที่สามารถพูดได้เช่นกันว่าพล็อตของเรื่องค่อนข้างออกไปเชิงชวนฝัน รวมถึงการพยายามบิวท์หลายจุดที่ไม่แพ้ใน 21/28 แต่ด้วยองค์ประกอบอย่างอื่น ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง นักแสดง เนื้อหาแล้ว มันกลับสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในตัวของมันเอง บทพูดน่ากลัว ๆ ที่เหมือนจับยัดใส่ปากตัวละครมาพูดที่เราเห็นในตัวอย่างภาพยนตร์ เมื่อมาอยู่ในหนังและเป็นประโยคเต็ม ๆ แล้วก็ออกมาดูดีกว่าที่คิดเยอะนัก
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการเล่าเรื่องที่ใช้ผู้เล่าเรื่อง (narrator) ที่ให้ผู้ชมอยู่นอกวงตั้งแต่แรก และการใช้ผู้เล่าเรื่องนี้เองก็สามารถทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้นในฉาก หลายฉากที่น่าจะเป็นฉากน่ารำคาญแน่ ๆ หากอยู่ในหนังเรื่องอื่น รวมถึงลุกเล่นเล็กน้อยในบทพูด ประกอบกับการเว้นจังหวะอย่างพอดีว่าตรงไหนที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด
หากเอาคำว่า เปลี่ยน มาวางเทียบกับตอนนี้ ตอนนี้คงจะตรงประเด็นมากที่สุด เพราะนอกจากจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างตรงไปตรงมาแล้ว มันยังเป็นพลังในแง่บวกที่สร้างพลังใจและความประทับใจในอารมณ์ร่วมได้ดีกว่า
โดยส่วนรวมแล้วคงต้องยกความดีให้ผู้กำกับกับการที่รู้ว่าจุดไหนควรขยาย จุดไหนควรปล่อยละทิ้งเอาไว้ เอาจริง ๆ ว่าเราก็ไม่ค่อยเชื่อในความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของตัวละครของสู่ขวัญกับนิ ชคุณเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมรับว่ามันกลับดูน่าเชื่อถืออย่างน่าประหลาดมากกว่าคู่ของซันนี่กับ คริส หอวัง ในตอนที่แล้วอย่างนับไม่ถ้วน
อีกทั้งส่วนตัวแล้วผู้เขียนเองก็ชอบตอนนี้มากที่สุดจากทั้งหมด คงเพราะมันเป็นจุดกึ่งกลางที่กำลังดีของความเพ้อฝันรสหวาน ๆ กับความเป็นจริงโดยที่ไม่ต้องพยายามบิวท์หรือสร้างภาพอะไรให้สวยหรูมากมาย อาจจะเพราะในหนังเรื่องนี้มันเลือกที่จะขึ้นสุดลงสุด (ความตายและการมีชีวิตใหม่) ประกอบกับการเล่าเรื่องอย่างชาญฉลาดที่สามารถไขข้อข้องใจในปมของตัวละครให้ ผู้ชมและสามารถสร้างอารมณ์ร่วมไปด้วยกันได้ รวมถึงการเลือกที่จะเล่าเรื่องราวอย่างพอเหมาะพอดีโดยที่ไม่พยายามยัดเยียด หรืออะไรมากเกินไป ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเวลาของหนังทีอยู่ในระดับกลาง ๆ แต่เรื่องกลางก็พิสูจน์ให้เราเห็นได้ในระดับหนึ่งว่าภายในเวลาที่ไล่เลี่ย กัน เรื่องนึงนั้นทำได้ดี ส่วนอีกเรื่องหนึ่งนั้นออกมาค่อนข้างเลวร้าย
แม้ว่าความน่าประทับใจของภาพรวมจะอยู่ในระดับที่แกว่งขึ้นแกว่งลง รวมถึงมีจุดต่าง ๆ ที่ทางหนังใส่เข้ามาเพื่อเป็นการตอบแทนแฟนคลับของหนังค่ายนี้ให้วี้ดว้าย เต็มไปหมด (แต่ก็นับว่าโชคดีที่หนังไม่ได้ทำออกมาอย่างประเจิดประเจ้อว่าหนังเรื่องนี้ เราทำเพื่อขอบคุณทุกคนนะจ๊ะ จุ๊บ ๆ แต่อย่างใด ยกเว้นฉากมิวสิควีดีโอหลังเครติดที่ค่อนข้างโจ่งแจ้งไปหน่อย...)
แต่นับโดยภาพรวม นอกจากจะเป็นภาพยนตร์สำหรับสร้างความบันเทิงและความรู้สึกดี ๆ ได้แล้ว เพียงแค่ตอนแรกกับตอนสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ก็พอจะสร้างความหวังได้ว่า บางทีอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในแง่ที่ดีขึ้นทั้งแนวคิดและวิธีการทำของหนังค่ายนี้ต่อไปอีกก็เป็นได้